แผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นอีกไหม มันจะรุนแรงเพียงใด อาคารแบบไหนจะมั่นใจได้ว่าปลอดภัย เกิดความเสียหายฟ้องกับใครต่อ เราควรหลบหรืออพยพกันแน่ และต้องเตรียมรับมือกับแผ่นดินไหวครั้งต่อไปอย่างไรบ้าง
สารพัดคำถามเกิดขึ้นหลังประเทศไทยเผชิญ ‘แผ่นดินไหว’ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคย จนเกิดอาการทำตัวไม่ถูกระหว่างเกิดเหตุ และทิ้งผลลัพธ์ไว้เป็นร่องรอยที่มองเห็นได้อย่างรอยร้าวของอาคาร และสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น อย่างความค้างคา และกังวลใจที่หนีอย่างไรก็ไม่พ้น
เหล่านี้ล้วนทำให้ความเข้าใจเรื่องแผ่นดินไหว กลายเป็นสิ่งสำคัญมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นความไม่มั่นใจกับทุกช่วงจังหวะว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงจะถูกต้อง ทั้งก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และการจัดการกับเรื่องราวหลังเกิดเหตุ?
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง พร้อมรับมือกับทุกประเด็นของภัยพิบัติแผ่นดินไหว วันนี้ (1 เมษายน 2568) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้จัดงานเสวนา ‘จุฬาฯ ระดมคิด ฝ่าวิกฤตแผ่นดินไหว: เราจะรับมือและฟื้นตัวได้อย่างไร?’
ร่วมเสวนาโดย
- ศ.ดร.ปัญญา จารุศิริ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ
- ศ.ดร.สันติ ภัยหลบลี้ ภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ
- รศ.ดร.ฉัตรพันธ์ จินตนาภักดี ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
- รศ.ดร.อังคณาวดี ปิ่นแก้ว คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ
และดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.เจษฎา ศาลาทอง คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ
The MATTER ได้สรุปเนื้อหาสำคัญ เพื่อร่วมทำความเข้าใจ และหาทางออกในการเตรียมพร้อม รับมือ และแนวทางฟื้นตัวจากภัยพิบัติครั้งนี้อย่างยั่งยืนไปด้วยกัน
ทำความเข้าใจ ‘แผ่นดินไหว’
ในการรายงานข่าวต่างๆ หลายคนอาจสังเกตว่า แต่ละแหล่งมีการระบุตัวเลขความรุนแรงของแผ่นดินไหวแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น 7.4, 7.7 และ 8.2 ซึ่งยังมีหน่วยวัดหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็นริกเตอร์ แมกนิจูด หรือเมอร์คัลลิ
แล้วหน่วยวัดจริงๆ คืออะไรกันแน่ แล้วแต่ละอันมันต่างกันอย่างไร?
ดร.สันติ อธิบายว่า หน่วยแมกนิจูด เป็นการบอกถึง ‘ขนาด’ ของพลังงานที่ปล่อยออกมาจากศูนย์กลาง อย่างในเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ก็จะใช้ในการอธิบายขนาดพลังงานที่เกิดเหตุจากศูนย์กลางในประเทศเมียนมา
ในขณะที่ยังมีหน่วยวัดอีกรูปแบบ เรียกว่าหน่วย ‘เมอร์คัลลิ’ ซึ่งเป็นการอธิบายว่าความรุนแรงนั้นทำให้เกิด ‘ผลกระทบ’ ต่อพื้นที่นั้นๆ มากแค่ไหน พูดง่ายๆ ก็คือ เสมือนเป็นการถอดรูปแบบความรุนแรงออกมาให้เข้าใจได้โดยง่ายโดยใช้ภาษาพูด เช่น หากบอกว่ารุนแรงระดับ 2 หมายถึง เริ่มเห็นโคมไฟสั่นไหว และรุนแรงระดับ 3 หมายถึง คนเริ่มตื่นตระหนกและเริ่มอพยพออกมาจากอาคาร โดยระดับความรุนแรงมากที่สุดที่ระดับ 12
โดยเหตุแผ่นดินไหวที่เกิดล่าสุดในกรุงเทพฯ ที่มีอาคารถล่มลงมา ถือเป็นความรุนแรงระดับ 7-8
การทำความเข้าใจระดับเมอร์คัลลิ จึงจะช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้แบบง่ายๆ และเตรียมตัวได้ว่าควรจะรับมือกับสถานการณ์อย่างไรบ้าง
นอกจากนั้น คือการทำความรู้จักกับลักษณะและพิกัดของรอยเลื่อน อย่างแผ่นดินไหวครั้งนี้ เกิดขึ้นจากรอยเลื่อนสะกายในประเทศเมียนมา ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นรอยเลื่อนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือบางคนก็อาจกล่าวว่าเป็นรอยเลื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก จึงสร้างความรุนแรงได้มาก
ซึ่ง ดร.ปัญญา ระบุว่า ในประเทศไทย ก็มี ‘รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน’ ที่แม้จะมีขนาดเล็กกว่า สั้นกว่า แต่ก็ขนานไปกับรอยเลื่อนสะกาย ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ในภาษาพูดเรียกว่า ‘แผ่นดินไหวโดมิโน’ ได้ คือเมื่อรอยเลื่อนสะกายขยับจนเกิดแผ่นดินไหว ในแม่ฮ่องสอนก็อาจเกิดด้วยเช่นกัน
ในประเทศไทยเอง ยังมีรอยเลื่อนอีกในหลายพิกัด ซึ่งสามารถศึกษาได้จาก ‘แผนที่รอยเลื่อนมีพลัง’ จากกรมทรัพยากรณี ที่จะเห็นได้ว่าในประเทศไทยมีทั้งหมด 16 รอยเลื่อนด้วยกัน

แผนที่รอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทย
ความสำคัญของแผนที่นี้ คือช่วยให้เรารับรู้ได้ว่าควรจะหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมหรือการพัฒนาเมืองในพื้นที่ใด เพราะ “ถ้ารู้ว่าอันตราย และเสี่ยง ก็ไม่ต้องไปอยู่” ดร.ปัญญา กล่าว
อีกหนึ่งความกังวลของคนจำนวนมากหลังเกิดแผ่นดินไหวไปแล้ว คือการเกิด ‘Aftershock’ หรือแผ่นดินไหวตาม โดย ดร.สันติ ระบุว่า แม้ว่าพอจะประเมินได้ว่าจะเกิด Aftershock ขึ้นเมื่อไร แต่ไม่มีทางที่จะระบุเวลาอย่างชัดเจนได้ จึงขอให้ระมัดระวังข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จ
ดร.สันติ อธิบายเพิ่มเติมถึงความหมายและลักษณะของ Aftershock โดยเปรียบเทียบว่า แผ่นดินไหวหลัก (Main Shock) เป็นเสมือน ‘ตัวแม่’ ในขณะที่ Aftershock เป็น ‘ตัวลูก’ ดังนั้น ลูกย่อมจะไม่มีทางรุนแรงมากกว่าหรือเท่ากับแม่ กล่าวคือ จะลดความรุนแรงลงไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่สามารถระบุได้ชัดว่าจะเกิดกี่ครั้ง ในอดีตที่เคยเกิดมากถึง 500 ครั้งก็มี
ส่วนความกังวลเรื่องการเกิด ‘สึนามิ’ นั้น ดร.สันติ ระบุว่า สึนามิจะเกิดจากแผ่นดินไหวในทะเล แต่ในครั้งนี้เป็นการเกิดบนผืนดิน จึงไม่น่าเป็นห่วงนัก แต่ก็ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ในปี 2547 ที่ประเทศไทยเจอสึนามิครั้งรุนแรงและได้รับผลกระทบหนัก เป็นเพราะไทยยังไม่รู้จักกับสึนามิและไม่รู้วิธีรับมือ แต่ถ้าหากอนาคตเกิดอีก ก็จะรู้สัญญาณ และอพยพได้ทันอย่างแน่นอน
โดยคนส่วนหนึ่งกังวลกับการเกิดสึนามิ เพราะอาจสังเกตว่าขณะเกิดแผ่นดินไหวมีน้ำกระฉอก ไม่ว่าจะเป็นในสระว่ายน้ำตามคอนโดต่างๆ หรือแหล่งน้ำทางธรรมชาติอย่างบึง แต่นั่นเป็นเพียง ‘คลื่นเซซ’ (Seismic Seiche) ซึ่งถือว่าอันตรายน้อยกว่าสึนามิมาก
อาคาร บ้านเรือน ปลอดภัยไหม ต้องตรวจอย่างไรจึงจะแน่ใจได้
แม้ว่าแผ่นดินไหว(ดูเหมือนจะ)จบลงไปแล้ว แต่ความกังวลใหม่ที่จะยังคงอยู่คือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับอาคาร ทั้งที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างรอยร้าวต่างๆ และแม้จะไร้ร่องรอย ก็ไม่อาจรู้สึกมั่นใจได้เลยว่าจะเกิดความเสียหายภายในโครงสร้างอาคารหรือไม่
ดร.ฉัตรพันธ์ ให้ความมั่นใจในประเด็นนี้ว่า ประเทศไทยได้ออกกฎกระทรวงว่าด้วยการที่อาคารที่สร้างทุกอาคาร จะต้องถูกออกแบบให้รองรับกับสถานการณ์แผ่นดินไหวได้ โดยบังคับใช้กับทุกอาคารในกรุงเทพฯ ที่สร้างตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ซึ่งทั้งกระทรวงมหาดไทย และกรมโยธาธิการและผังเมือง ก็วางแผนและเตรียมการอย่างเคร่งครัด
โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นที่มองเห็นอยู่ในขณะนี้อย่างรอยร้าวต่างๆ ส่วนใหญ่เป้นความเสียหายทางสถาปัตยกรรม กล่าวคือ ไม่ได้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างภายในมากเท่าไร
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่ารอยร้าว หรือสัญญาณแบบไหนบ่งบอกว่าอาคารนี้ไม่ปลอดภัยในการอยู่อาศัยแล้ว? ดร.ฉัตรพันธ์ แนะนำให้ศึกษาจากเอกสารของกรมโยธาธิการและผังเมือง ซึ่งแสดงถึงชิ้นส่วนต่างๆ ของอาคารที่ควรถูกตรวจสอบโดยละเอียด

ลักษณะความเสียหายทั่วไปที่มักตรวจพบในโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก (ที่มา: Field Guide: Rapid Post Disaster Building Usability Assessment – Earthquakes, 2014, New Zealand)
จากภาพ ดร.ฉัตรพันธ์ ได้ชี้ให้เห็นถึงจุดสำคัญเพื่อให้เข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น โดยอธิบายว่า ส่วนสำคัญๆ ที่เป็นโครงสร้างหลักของอาคารซึ่งถ้าเกิดความเสียหายจะน่ากังวลมาก คือ ‘เสา’ จากนั้น จึงตามด้วย ‘คาน’ และส่วนที่น่ากังวลน้อยที่สุดหากเกิดความเสียหาย คือ ‘ผนัง’ ซึ่งไม่ส่งผลใดต่อความแข็งแรงของโครงสร้างหลัก
แน่นอนว่าอย่างดีที่สุดแล้ว ก็ควรให้วิศวกรผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเข้ามาตรวจสอบ แต่ในสถานกาณ์ที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดอย่างการหาจัดสรรบุคลากรมาตรวจสอบ ประชาชนทั่วไปก็อาจลองตรวจสอบเองในเบื้องต้นได้ โดย ดร.ฉัตรพันธ์ แนะนำให้นำแบบแปลนของอาคารไปดูเปรียบเทียบกับสถานที่จริง ซึ่งถ้าหากมีความเสียหายเกิดขึ้นในจุดที่เป็นเสา ก็จะถือว่าน่ากังวลและควรตรวจสอบเพิ่มโดยละเอียด
การจะบอกได้ว่ารอยร้าวแบบใดซ่อมได้ และแบบใดควรทุบทิ้ง ก็ใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวเช่นกัน คือถ้าหากตำแหน่งของโครงสร้างบิดเบี้ยวไปจากเดิม เช่น เสาเคลื่อน พื้นยุบ ก็อาจซ่อมได้ยาก หรือแม้เทคนิคทางการช่างในปัจจุบันอาจซ่อมได้ ก็ต้องชั่งน้ำหนักว่าคุ้มค่าต่อการซ่อมหรือไม่
แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ได้สะเทือนความเชื่อมั่นในอสังหาริมทรัพย์ประเภทห้องชุด หรือคอนโดมิเนียมอยู่ไม่น้อย แต่ ดร.ฉัตรพันธ์ เห็นว่า ด้วยวิถีชีวิตคนเมือง อย่างไรคอนโดก็จะยังเป็นที่นิยมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งสำคัญจึงเป็นการยกระดับความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ แต่จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ตนก็เห็นว่าส่วนใหญ่ยังเป็นความเสียหายทางสถาปัตยกรรมอยู่ ชาวกรุงเทพฯ จึงยังอุ่นใจกับการอาศัยในคอนโดได้
สรุปปัญหาทางข้อกฎหมาย เกิดความเสียหายแล้วใครต้องรับผิดชอบ
หากคอนโดเสียหาย ผู้เช่า เจ้าของ นิติบุคคล โครงการ หรือใครกันแน่ที่ต้องรับผิดชอบ? เป็นอีกปัญหาน่าหนักใจที่มีความซับซ้อน ที่มีคนจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
ดร.อังคณาวดี สรุปว่า ในกรณีนี้ ความเสียหายเกิดจากภัยพิบัติหรือเหตุทางธรรมชาติ จึงอยู่บนสมมติฐานว่าไม่มีใครผิดหรือถูกเพราะเกิดจากธรรมชาติโดยแท้ จึงต้องดูพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องแทน
หากเราอยู่อาศัยในห้องชุดนั้นๆ มาระยะหนึ่ง แล้วเกิดความเสียหายจากแผ่นดินไหว แนะนำให้ตรวจสอบว่า นิติบุคคลของโครงการได้ทำกรมธรรม์ประกันภัยไว้หรือไม่ และครอบคลุมอะไรบ้าง โดยส่วนใหญ่จะครอบคลุมในส่วนกลางคอนโด แต่อาจมีบ้างที่ทำประกันครอบคลุมถึงทรัพย์สินส่วนตัวของลูกบ้าน
นอกจากนั้นควรตรวจสอบสัญญาประกันภัยที่เราเองอาจทำไว้ เช่น ตอนกู้ซื้อบ้าน ธนาคารก็มักให้ทำประกันควบคู่ไปด้วย
กรณีเพิ่งตรวจรับห้อง แต่ยังไม่ได้เข้าอยู่หรือเพิ่งเข้าอยู่ได้ไม่นานนัก กล่าวคือ ก่อสร้างเสร็จไม่นานแล้วเกิดควาทเสียหาย ให้ลองดูเรื่องการรับประกันความชำรุดบกพร่อง ทั้งนี้ ส่วนใหญ่มักจะไม่ครอบคลุมถึงความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ จึงต้องกลับไปอ่านข้อสัญญาโดยละเอียดว่าครอบคลุมความเสียหายทุกรูปแบบเลยหรือไม่
และถ้าหากห้องชุดยังอยู่ระหว่างก่อสร้าง ก็ต้องดูข้อสัญญาเช่นกัน ว่ามีการตกลงกันไว้อย่างไร ถ้าเป็นข้อสัญญาระหว่าง เอกชน-เอกชน ก็เป็นไปแล้วแต่ตกลงกันขณะทำสัญญา
แต่ถ้าหากเป็นสัญญากับภาครัฐ จะต้องใช้สัญญามาตรฐานของรัฐ ซึ่งมีข้อหนึ่งระบุชัดเจนว่า ‘ผู้รับจ้าง’ ต้องรับผิดชอบทุกความเสียหาย รวมถึงเหตุสุดวิสัย เว้นแต่ความเสียหายนั้นเกิดจากผู้ว่าจ้าง ดังนั้น ขั้นตอนทางกฎหมายก็จะต้องไปพิสูจน์ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากส่วนไหน ส่วนนั้นก็จะเป็นผู้รับผิด
ในมิติของความเสียหายต่อร่างกายและทรัพย์สิน เช่น ขณะเกิดแผ่นดินไหวอาจมีของหล่นใส่จนบาดเจ็บ หรือของหล่นลงมาจนเกิดความเสียหาย ก็ต้องดูว่าประกันที่มีครอบคลุมถึงอะไรบ้าง และที่สำคัญคือการพิสูจน์ว่าเหตุนั้นเกิดขึ้นจากอะไร หรือเกิดจากใคร
ความยากอยู่ตรงที่ว่าเมื่อแผ่นดินไหวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดนฉับพลัน จึงยังบอกได้ยากว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากภัยพิบัติโดยตรง หรือก่อสร้างไม่ดีกันแน่ ซึ่งก็จะต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตามกระบวนการทางกฎหมาย ระหว่างนี้ ประชาชนจึงควรเก็บหลักฐานไว้ให้ละเอียดและครบถ้วน เช่น ถ่ายภาพความเสียหายเก็บไว้ทุกมุมให้เห็นชัดเจน
อีกประเด็นทางกฎหมายที่ทุกคนควรระมัดระวัง คือเรื่องของการส่งต่อข่าวสาร ซึ่งจะสังเกตุเห็นได้ว่าในวันที่เกิดเหตุมีการส่งข้อมูลให้กันจำนวนมาก และหลังเกิดเหตุก็เช่นกัน กรณีนี้ ดร.อังคณาวดี อธิบายว่า หากส่งต่อข้อมูลที่เป็นความผิดก็อาจเข้าข่ายการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และทำให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ต้องปฏิบัติอย่างไร หากเกิดแผ่นดินไหวอีก
แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่คนไทยส่วนใหญ่เผชิญกับแผ่นดินไหว ทำให้ยังไม่แน่ใจนะว่าควรจะปฏิบัติตนอย่างไร แต่เหตุที่เกิดขึ้นก็ทำให้หลายคนเริ่มตระหนักว่าควรจะมีการเตรียมการรับมือกับแผ่นดินไหวครั้งต่อไปให้ดียิ่งขึ้น แต่ข้อมูลจำนวนมากบนโลกออนไลน์ก็อาจทำให้สับสนว่าวิธีการปฏิบัติตนที่ถูกต้องคืออะไรกันแน่
ดร.สันติ ชี้ว่า ในเบื้องต้น สถานการณ์ที่แตกต่างกันก็อาจส่งผลให้มีข้อควรปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป
ในภาพรวมคือการไม่ควรอยู่ใกล้อาคารสูงชัน หรือหากอยู่ใกล้กับทะเลก็ควรอพยพขึ้นที่สูงก่อน เพื่อติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดว่าแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้มีโอกาสเกิดสึนามิหรือไม่
หากยังอยู่ในอาคารระหว่างเกิดแผ่นดินไหว จริงๆ แล้ว ควรเริ่มต้นตั้งแต่การตรวจสอบอาคารไว้เสมอว่าเราสามารถมั่นใจในความแข็งแรงของอาคารได้มากแค่ไหน
หากประเมินได้ว่ามั่นใจในอาคารว่าค่อนข้างปลอดภัยและตึกไม่น่าจะถล่ม เมื่อเกิดแผ่นดินไหวก็อาจหลบที่ใต้โต๊ะได้
คำแนะนำเพิ่มเติมคือระหว่างที่เกิดคลื่น หากทำได้ให้รีบไปเปิดประตูห้องทิ้งไว้ เพราะหลังเกิดแผ่นดินไหวอาจทำให้วงกบเบี้ยว แล้วเปิดประตูได้ยาก ซึ่งจะทำให้เราออกจากห้องและอพยพหนีไปไหนไม่ได้ อันเป็นกรณีที่เห็นได้จากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยออกมาบอกเล่าประสบการณ์ว่าเกือบเปิดประตูออกจากห้องไม่ได้นั่นเอง
สิ่งสำคัญที่สุดที่ ดร.สันติ ฝากไว้ คือการยืนระยะในการเตรียมรับมือให้สม่ำเสมอ เพราะจริงๆ แล้วกันอพยพระหว่างภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่จะต้องมีการเตรียมตัวอย่างจริงจังและเรียนรู้ข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง
ดร.สันติ บอกว่า ตามทฤษฎีแล้ว แผ่นดินไหวครั้งต่อไปน่าจะใช้เวลานานระดับหนึ่งกว่าจะเกิดขึ้นอีก จึงทำให้เรามีเวลาเตรียมตัวและเรียนรู้ได้อีกมาก อยู่ที่ว่าจะจริงจังกับการเตรียมรับมือมากแค่ไหนเพียงเท่านั้น