สองวันที่ผ่านมา (5-6 ส.ค.) ยอดผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้รวมกันเกิน 40,000 คน ขณะที่ตัวเลขผู้ป่วยหายกลับบ้านดูดีขึ้น แต่ก็ชวนให้สงสัยว่าหายป่วยจริง หรือจำเป็นต้องเคลียร์พื้นที่ให้แก่คนที่ป่วยหนักกว่าเข้ามารักษาตัว
แต่ที่เลวร้ายที่สุด คงไม่พ้นจำนวนการฉีดวัควีน ที่ผ่านมาเกือบ 5 เดือนนับตั้งแต่เริ่มฉีดเข็มแรก (ปลายเดือนกุมภาพันธ์) ผู้ที่ได้รับครบสองโดสยังมีจำนวนไม่ถึง 10% ของประชากร ขณะที่ผู้ได้รับแล้วหนึ่งโดสยังมีแค่ 14.7 ล้านรายเท่านั้น หรือประมาณ 1 ใน 5 ของประชากรไทยเท่านั้น ยังไม่นับประชากรแอบแฝง
และขณะที่สายพันธุ์เดลตาได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในขณะนี้ ก็มีเรื่องชวนปวดหัวอีก เมื่อวัคซีนที่มีก็ไม่พอ ที่ฉีดไปก็ไม่ได้ประสิทธิภาพ และที่เลวร้าย ย่ำแย่ จนสังคมเอือมระอามากที่สุดคือ กรณี #VVIP หรือกลุ่มที่ใช้เส้นสายปลายแขนของตัวเอง เพื่อเร่งฉีดวัคซีนก่อนคนอื่น โดยเฉพาะหลังจากที่วัคซีน Pfizer ที่สหรัฐฯ บริจาคเดินทางมาถึงไทย
บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าเริ่มได้ฉีด Pfizer เป็นเข็มที่ 3 กันแล้ว แต่ยังมีบุคลากรกลุ่มอื่นที่ทำงานหน้าด่านเช่นกัน แต่พวกเขากลับโดนแซงคิวด้วยอำนาจมืดอย่างน่ารังเกียจ
The MATTER พูดคุยกับกลุ่มบุคลากรด่านหน้าที่ไม่ใช่หมอพยาบาล แต่พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งและอีกเรี่ยวแรงสำคัญที่คอยช่วยรับมือกับการระบาดครั้งนี้ ถึงแม้ไม่ได้เป็นหมอ แต่งานที่พวกเขาทำมันทำให้หมอทำงานได้ง่ายขึ้น
ทุกอย่างในถุงขยะเรา เขารับผิดชอบ
“เขาคัดเลือกให้เราไปทำ เราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ เราทำงานเพื่อสาธารณะ เพื่อส่วนรวม” พนักงานเก็บขยะลาดพร้าวพูดก่อนยัดร่างเข้าไปในชุด PPE
ปกติ พนักงานเก็บขยะเป็นอาชีพที่เสี่ยงต่อการติดเชื้ออยู่แล้ว และเมื่อไวรัส COVID-19 แพร่ระบาด ความเสี่ยงของพวกเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นไม่ว่าจากหน้ากากอนามัย หรือข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่อาจมีเชื้อไวรัสแฝงอยู่โดยไม่รู้ตัว
“ส่วนใหญ่ทุกบ้านจะใส่ขยะรวมกับหน้ากากอนามัย และเราไม่รู้ว่าบ้านไหนเป็น ไม่เป็นบ้าง” หัวหน้าทีมเก็บขยะเล่าให้เราฟัง
ทุกวันนี้ ทีมเก็บขยะประจำสถานีแห่งนี้ ต้องออกไปเก็บขยะในกะปกติคือ รอบแรก 00.00 – 8.00 น. และรอบสอง 8.00 ถึงประมาณ 15.00 น. แต่การระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้พวกเขามีหน้าที่เพิ่มขึ้นกล่าวคือ พวกเขาต้องไปเก็บขยะตามจากสถานที่พักอาศัยที่มีผู้ป่วย รวมถึงต้องไปเก็บตาม Community Isolation ด้วย
“เรามีชุด PPE ไว้ใส่ตอนไปเก็บขยะติดเชื้อจากบ้านเรือน อพาร์ทเม้นที่มีคนไข้ ทางนั้นเขาจะโทรมา เราก็จะเอาถังแดง (ถังสำหรับขยะติดเชื้อ) พร้อมถุงไปให้เขา และนัดวันไปเก็บกับเขา”
อย่างไรก็ตาม มาถึงขณะนี้พนักงานเก็บขยะหลายรายยังคงไม่ได้รับวัคซีนครบสองเข็ม ซ้ำร้าย บางรายอาจจะยังไม่ได้สักเข็ม
“ทางเราเนี่ยเสี่ยงมาก แต่มีแค่ไม่กี่คนที่ได้วัคซีนครบสองเข็ม อย่างผมได้ AstraZeneca มาหนึ่งเข็ม” ขายอมรับว่าในฐานะหัวหน้าทีม อยากให้ลูกน้องในทีมได้ฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ หรืออย่างน้อยๆ แค่ได้รับครบสองเข็มโดยเร็วที่สุดก็ยังดี
เขาแสดงความเห็นถึงกระแสข่าวสิทธิวัคซีน VVIP ว่า “ผมว่าไม่น่าทำเลยนะ น่าจะให้กลุ่มเสี่ยงกับหมอก่อน อย่างผมเองก็ว่าพวกเรา (ทีมพนักงานเก็บขยะ) เสี่ยงนะ แต่มันพูดไม่ได้หรอก”
“เขาคิดว่าเป็นอภิสิทธิ์ส่วนตัวของพวกเขา แต่อย่างพวกเราไม่มีสิทธิคิดว่าจะได้หรอก ต้องรอความเห็นใจจากเขา ทำให้ลึกๆ แล้วมันก็โกรธ” เขาทิ้งท้าย
ก่อนที่ชายอีกคนในชุด PPE ซึ่งอยู่ในทีมของเขาจะพูดขึ้นว่า “ไม่ควร คนที่รอ คนที่เสี่ยงมันมี อย่างผมไม่เคยเรียกร้องจะไปฉีดก่อนเลย ทำตามลำดับขั้นตอนเหมือนคนอื่น แต่คนพวกนั้น #%$#” ผมไม่อาจเขียนถ้อยคำเหล่านั้นลงในนี้ได้
ผิดที่รัฐบาลมากกว่า – เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ไม่ต่างจากพนักงานเก็บขยะ หมอหรือพยาบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอีกอาชีพ ที่ไม่สามารถทำงานที่บ้านได้และยังต้องออกไปพบปะคนจำนวนมาก แถมยังถูกใช้ตามนโยบายของ ศบค. ให้ตั้งด่านสกัด คัดกรองผู้เดินทางข้ามจังหวัด รวมถึงการระงับการเคลื่อนย้ายของกลุ่มแรงงานต่างด้าว
จ่าฤทธิ์ (นามสมมุติ) เล่าให้เราฟังผ่านตัวอักษรว่า ถึงแม้ตัวเขาเองและเพื่อนร่วมงานจะได้รับวัคซีน Sinovac ครบสองเข็มแล้ว แต่ก็ยังมีหลายคนต้องลางานเนื่องจากติดเชื้อจากการทำงาน
ขณะที่ หมวดประสิทธิ์ (นามสมมุติ) เจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายธุรการ ที่บ่นว่าถึงแม้จะได้รับวัคซีนครบสองโดสกันแล้ว แต่ยังมีเพื่อนร่วมงานที่ติดไวรัสเช่นกัน ทำให้เขาพยายามสั่งจองวัคซีนจากโรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้ก็ยังมาไม่ถึง นอกจากนี้ เขายังบ่นเสียงปนเศร้าในฐานะที่เป็นคนต่างจังหวัดคนนึงว่า “เราไม่ได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดมาเป็นปีแล้วเพราะ พ่อ-แม่ ที่อายุเยอะยังไม่ได้รับวัคซีนเลย”
นายหมวดถอดหน้าที่การงานกล่าวถึงเรื่องกลุ่มที่อาจมีสิทธิแซงคิวได้รับวัคซีน VVIP ว่า ตัวเขาเองเข้าใจว่าทุกคนอยากคุ้มครองคนที่เรารัก แต่มันก็ไม่สมควรอยู่ดี เขามองว่าความผิดนี้เกิดจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาลมากกว่า
“ไม่ได้หมายความว่ายอมรับได้นะ แค่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้น เราว่าความผิดมันเป็นของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลมีมาตรการที่ดีพอก็จะป้องกันปัญหานี้ได้ หรือมันจะดีกว่านี้มาก ถ้ารัฐบาลนำวัคซีนเข้ามาให้พอกับปริมาณประชากร”
“กลุ่มแรกที่ควรได้วัคซีนเข็ม 3 เลยคือบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครที่คอยรับส่งผู้ป่วย ผู้สูงอายุแล้วก็เด็ก แต่ทางที่ดีทุกคนต้องได้ฉีดวัคซีนเพราะถ้าทุกคนยังไม่ได้ฉีดวัคซีนก็ไม่มีใครปลอดภัยจากโรคระบาดทั้งนั้น” หมวดประสิทธิ์กล่าว
นายตำรวจทั้งคู่มองว่า สังคมไทยคุ้นเคยกับการใช้มือที่ยาวกว่าในการเอารัดเอาเปรียบคนอื่นมาตลอด ซึ่งสุดท้ายมันทำให้ปัญหาที่ไม่ควรเกิดขึ้น ต้องมาเกิดในภาวะวิกฤตแบบนี้
นายจ่ากล่าวว่า “มันสะท้อนระบบอุปถัมภ์มีอยู่ในสังคมไทยเวลานี้ ใครมีบันไดก็ไปได้ไกลกว่า ผมว่ามันจำเป็นมากที่ต้องลบระบบนี้ออกไป ทั้งจากการบริหารบ้านเมือง และยิ่งกว่านั้นคือเรื่องสุขภาพ วัคซีนมันจะได้ถึงมือทุกคนเท่าเทียมกันจริงๆ”
หมวดประสิทธิ์กล่าวคล้ายกันว่า “เราว่าคนไทยส่วนหนึ่งยอมรับกับมัน (วัคซีน VVIP) ได้เพราะเราต่างก็โดนปลูกฝังเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก ทั้งจากละคร ในโรงเรียน หรือสังคมที่เราสังกัดอยู่ แต่อย่างน้อยตอนนี้ผู้คนก็เริ่มตระหนักถึงปัญหาแล้ว และหวังว่าสังคมจะตกผลึก แล้วร่วมกันแก้ปัญหาแบบนี้ในอนาคต”
คุณมีค่ากว่าคนอื่นหรอ ? – ปลัด/ ฝ่ายปกครอง
ช่วงที่ผ่านมา ผู้เขียนไถเฟซบุ๊ก และมักเห็นการทำงานของเพื่อนและรุ่นพี่นักปกครองหลายคนในต่างจังหวัด และพบว่าพวกเขาเป็นทุกอย่างให้ชาวบ้านแล้ว ตั้งแต่อธิบายเรื่องวัคซีน COVID-19 เข้าไปดูแลการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ตั้งด่านกลางดึกร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงแอบเปิดไพรเวท เพื่อตั้งสเตตัสด่าการทำงานของรัฐบาลและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ปลัดหนุ่มคนหนึ่งในพื้นที่ภาคกลางที่มีประชากรราว 800,000 คนเล่าว่า “การทำงานมันยากลำบากและทุลักทุเลมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ต้องปรับตัวให้ทันเรื่องโรคระบาด ซึ่งพูดตรงๆ ว่ามันก็ยุ่งยากและวุ่นวาย และสอง งานประจำยังต้องเดินต่อ มีแค่งานที่ไม่สำคัญบางอย่างเท่านั้น ที่ราชการประกาศให้ชะลอหรือยกเลิก แต่งานที่มีความจำเป็นยังต้องทำอยู่”
“และมีภาระจากการระบาดของ COVID-19 ต้องรับงานตรงนี้มาทำเพิ่มอีก ซึ่งมันทั้งพิเศษและเร่งด่วนกว่า ซึ่งมันทำให้แต่ละวัน เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานบางวันไม่ต่ำกว่า 16 ชั่วโมง บางวัน 24 ชั่วโมง สภาพตอนนี้สะบักสะบอมกันหมดแล้ว แต่ก็ต้องทำ เพราะความเป็นความตายมันรอไม่ได้”
ปลัดหนุ่มเล่าต่อว่า ตัวเขามองว่าทางฝ่ายปกครองมีหน้าที่เป็นฝ่ายสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มอาสาสมัครรับส่งผู้ป่วยมากกว่า แต่มีครั้งหนึ่งเหมือนกันที่เขาหวุดหวิดติดเชื้อ หลังจากใกล้ชิดผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ และพยายามเดินทางข้ามจังหวัด
“ก่อนหน้านี้ มีพี่คนหนึ่งเขารู้ตัวว่าติดเชื้อและพยายามเดินทางข้ามจังหวัด ตอนนั้นผมก็ขอดูใบอนุญาตเดินทางจากเขา ปรากฎว่ามันเป็นใบจากแพทย์ที่บอกว่าเขาติดเชื้อ เราก็ซวยแล้วทีนี้ เราไปสัมผัสกับคนติดเชื้อ คือเหตุการณ์แบบนี้มันเจอได้ทุกวัน และถือเป็นความเสี่ยงมากๆ”
มาถึงตอนนี้ ปลัดหนุ่มได้รับ Sinovac ครบแล้วสองเข็ม แต่เมื่อถามว่าเขามั่นใจไหมกับวัคซีนที่ได้รับ เขากล่าวว่าตัวเองยังไม่เคยเข้ารับการตรวจภูมิ จึงขอไม่ตอบในประเด็นนี้ แต่มีความคิดเห็นว่า
“มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเราทุกคนได้รับวัคซีนที่มีการการันตีจาก WHO ว่าเป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและสามารถป้องกันเราจากไวรัสได้จริงๆ”
เมื่อถามเขาต่อถึงประเด็นที่คนบางกลุ่มมีสิทธิแซงคิวเพื่อรับวัคซีน VVIP น้ำเสียงเขาเข้มขึ้นอย่างชัดเจน
“ผมตอบอย่างเต็มปากเต็มเสียงเลยว่า มันไม่เหมาะสมอย่างรุนแรง มันไม่มีประเทศไหนในโลกที่ยอมรับเรื่องแบบนี้ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนกลุ่มนี้ มองตัวเองอย่างไร มองตัวเองมีค่ามากกว่าคนอื่นเขาหรอ ทั้งที่ มันควรเป็นไปตามคิว เพราะประชาชนและบุคลากรด่านหน้าหลายคนยังไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับแล้วก็ภูมิไม่ขึ้น ผมไม่เห็นด้วย ไม่เหมาะสมเลย”
ในประเด็นนี้ ผู้เขียนได้ส่งคำถามไปถึงเพจ ‘ข้าราชการปลดแอก’ และได้คำตอบที่น่าสนใจ แอดมินเพจกล่าวว่า เขายอมรับว่าได้เห็นการใช้เส้นสายหน้าที่ของราชการมาตลอด ถึงแม้บางครั้งเป็นกรณีจำเป็น เช่น การหาเตียงให้ญาติซึ่งเป็นผู้ป่วย อย่างไรมันก็ไม่เหมาะสมและค่อนข้างน่าเศร้าอยู่ดี
เขากล่าวถึงประเด็น VVIP ต่อมาว่า “เราคิดว่าตัวเองอาจเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งความคิดแบบนี้มันสะท้อนความเป็นสังคมไทยชัดเจน และยิ่งสะท้อนสิ่งที่สังคมมองระบบราชการว่าเชื่องช้าและเลือกปฏิบัติ เพราะถ้าไม่ใช้วิธีพิเศษ เราไม่มีทางได้สิ่งที่ต้องการมา ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนควรมีสิทธิที่จะได้อย่างเท่าเทียมกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันกำลังบอกว่าสังคมไทยมีที่ทาง งบประมาณ ทรัพยากรอย่างเหลือเฟือสำรองไว้ให้กับคนบางกลุ่มเสมอ
ทั้งปลัดหนุ่มและแอดมินเพจข้าราชการปลดแอกเห็นตรงกันว่า ควรกระจายวัคซีนให้แก่กลุ่มเสี่ยงและบุคลากรสาธารสุขเป็นลำดับแรก แต่ปลัดหนุ่มเสริมอีกนิดว่า
“ผมอยากให้ขยายไปถึงมูลนิธิร่วมกตัญญู อาสากู้ภัย และกลุ่มอาสาต่างๆ ที่เข้ามาช่วยในพื้นที่ เขาควรจะได้รับการฉีดวัคซีนเป็นลำดับแรกๆ รวมถึงสัปเหร่อที่ต้องจัดการศพด้วย เพราะผมได้รับข่าวมาว่ามีสัปเหร่อติดเชื้อไปหลายรายแล้ว ผมคิดว่าคนกลุ่มนี้มีความสำคัญมากกว่า VVIP ด้วยซ้ำ”
“ผมอยากฝากถึงคนกลุ่ม VVIP ว่า ท่านรักตัวเองและครอบครัวเท่าไหร่ คนกลุ่มนี้ที่อาสามาทำงานด่านหน้า เขาก็รักตัวเองและครอบครัวเท่านั้น คนเราทุกคนมีค่าในชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน”
ทั้งคู่ในฐานะคนที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ สะท้อนปัญหาสถานการณ์ภาพรวมที่นำไปสู่การใช้สิทธิลัดคิวฉีดวัคซีน โดยทางปลัดจากจังหวัดตอนเหนือภาคกลางกล่าวว่า
“ประการแรก มันสะท้อนการจัดการที่ล้มเหลวของภาครัฐมากเลย เพราะถ้าภาครัฐจัดการดี โปร่งใส เปิดเผยตัวเลขแน่นอน สร้างความหลากหลายในวัคซีนให้ประชาชน มันจะแทบไม่มีโอกาสเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเลย”
“สอง การสื่อสารในภาวะวิกฤตแย่มาก ปัญหาแบบนี้มันเลยเกิดขึ้น เพราะต้องรีบวิ่งเส้นไปฉีดวัคซีนเพราะกลัวหมด”
“สาม มันสะท้อนให้เห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างรุนแรงมาก ผลงานจากคนที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศ มันบอกแล้วว่าคุณทำไม่ได้ คนเสียชีวิตเป็นใบไม้ร่วง คุณควรตระหนักแล้วว่าคุณล้มเหลว และขอให้ระลึกเถิดว่าอย่าให้คนตายเป็นแค่ตัวเลข ชีวิตทุกชีวิตมีค่า อย่ามองคนเป็นตัวเลข”
“ประการที่สี่ ถึงแม้ตอนนี้ดีขึ้นแต่ผมต้องพูดว่า การทำงานช่วงแรกของภาครัฐในวิกฤตโรคระบาค มันไม่สอดประสานกันคือ ทุกหน่วยงานถือว่าตัวเองเป็นแม่งานหลักและไม่แชร์ข้อมูล เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาด้วยกัน สุดท้ายมันล่าช้า เกิดการตั้งแง่ระหว่างหน่วยราชการกันเอง และสุดท้ายคนที่เสียประโยชน์ที่สุดคือประชาชน”
สุดท้ายปลัดหนุ่มตั้งข้อสังเกตว่า “กลุ่ม VVIP ที่สามารถแซงคิวหรือได้รับวัคซีนก่อนคนอื่น สิ่งเหล่านี้ทำให้สังคมตั้งคำถามว่าเป็นเกมการเมืองหรือเปล่า เป็นเกมของกลุ่มมีอำนาจใช้ต่อรองทางการเมืองหรือเปล่า มันไม่ควรเกิดขึ้นเลย ที่วัคซีนจะต้องจำกัดจำนวนให้กลุ่มใดเป็นพิเศษ”
“ไม่ว่าจะมีความเชื่อ ศาสนา อยู่ในสังคมแบบไหน เราควรจะมีการเข้าถึงวัคซีนเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่ากลุ่มหนึ่งที่เชื่อฟังรัฐบาลเข้าถึงวัคซีนก่อน และกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลเข้าถึงทีหลัง เราต้องแยกให้ออกระหว่างเรื่องหน้าที่ของรัฐกับอุดมการณ์การเมือง”
ทางด้านแอดมินเพจราชการปลดแอกทิ้งท้ายว่า “สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ แก้ปัญหาจากปลายเหตุ ซึ่งเอาเข้าจริงทั้งหมดมันเชื่อมกับระบบการเมือง เชื่อมกับผู้มีอำนาจ ยิ่งตัวเขาและบริวารของปฏิบัติกับคนอื่นแบบสองมาตรฐาน ข้าราชการระดับกลาง/ล่าง ประชาชนคนธรรมดาจะทำอะไรได้ ประชาชนอาจรวมกลุ่มเรียกร้องหรือด่ารัฐบาลจนยอมถอยได้ แต่มันกลับยิ่งชัดว่าสังคมไทยผิดปกติไปมาก ระบบที่ควรจะดี กลับติดนู่นติดนี่ จะขยับสักทีต้องถูกด่าก่อน”
“อยากจะบอกทิ้งท้ายว่า ข้าราชการ ประชาชน คนธรรมดาทุกคนทำอะไรได้มากกว่าที่คิด ถ้าเจอใครแซงคิว นอกจากด่า ก็ถ่ายรูปเก็บหลักฐานไว้ เราเช็คกฎหมายแล้วมันไม่ถือว่าไม่หมิ่นประมาท”
“หากเจอการกระทำของข้าราชการด้วยกัน ของผู้มีอำนาจที่ไม่ถูกต้อง ต้องขุดคุ้ย เอามาเปิดโปง ทำไปเรื่อยๆ แม้จะสิ้นหวังแค่ไหนมันต้องมีวันสิ้นสุด การปลดแอกเรื่องต่างๆ ไม่เคยง่าย” แอดมินเพจทิ้งท้าย
วัดและเมรุ
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อจำนวนผู้เสียชีวิตทะยานขึ้น ก็มีข่าวเรื่องเมรุเผาศพแตกร้าวตลอดจนพังลงมาหลายแห่ง ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม เมรุในวัดลาดปลาเค้าก็เพิ่งแตกร้าวหลังจากเผาผู้เสียชีวิตจากไวรัสอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ทุกวันนี้ วัดลาดปลาเค้ากลายเป็นภาคประชาสังคมที่เข้ามาแบ่งเบาปัญหาไวรัส COVID-19 อย่างเต็มตัว โดยนอกจากกลายเป็นศูนย์เสบียงแจกของสดให้ชาวบ้าน รับทำพิธีฌาปนกิจศพแล้ว ทางวัดยังดัดแปลงรถไว้รับส่งผู้ป่วยที่ไม่มีเงินเดินทางไปโรงพยาบาลด้วย
“ทุกวันนี้คนป่วยมันเยอะ โยมโทรมาให้ช่วยหาเตียงบ้าง รถบ้าง ช่วงแรกๆ เราก็โทรไปตรงนู้นตรงนี้ จึงรู้ว่าเขายุ่งกันมาก บางที่ส่งวันละเป็น 100 คน”
“เราเลยตัดสินใจเอารถตู้ของวัดไปดัดแปลงเป็นรถส่งผู้ป่วย ใครโทรมาจะใกล้ไกลเราก็ไปรับส่งหมด บางพลี บางกอกน้อย สมุทรปราการ คลองหลวง หรืออยุธยา เรายินดีไปส่งหมด”
หลวงพ่อเล่าต่อถึงสาเหตุที่ทำให้เมรุแตกไม่นานมานี้ว่า ทุกวันนี้วัดลาดปลาเค้าเผาศพอย่างต่ำวันละ 3 ศพ รวมถึงยอมทำฌาปนกิจให้ฟรีสำหรับผู้ที่ไม่มีปัจจัยเหลือบริจาคอีกแล้ว
“บางคนบอก ไม่มีเงินจ่ายค่าฌาปนกิจแล้ว เพราะที่บ้านจ่ายไปหลายศพแแล้ว เราก็บอกเอามาเถอะหนู 10-20 บาท เราก็ยินดีหมด”
ทางด้านพี่แดง (นามสมมุติ) สัปเหร่อประจำวัดอธิบายว่า ทุกวันนี้ขั้นตอนการฌาปนกิจในวัดเป็นไปอย่างรัดกุม เมื่อผู้เสียชีวิตเดินทางมาถึงต้องนำเข้าเตาเผาทันที ขณะที่ในศาลาก็เริ่มสวดมนต์ทันทีที่ศพเข้าในเมรุ
“เจ้าอาวาสเน้นย้ำเสมอว่าให้ป้องกัน ถ้าผู้เสียชีวิตจาก COVID-19 มาถึงให้เจ้าหน้าที่ยกศพเข้าไปในเตาเลย อย่างเช่น ถ้าเขาประสานมา 13.00 น. พอ 12.30 เจ้าหน้าที่ต้องมารอแล้ว พอมาถึงศพก็ยกเข้าเตาเผาและสวดไปพร้อมกันเลย”
ทั้งหลวงพ่อและพี่แดงได้รับวัคซีนแล้ว (พี่แดงเพิ่งได้รับเพียงเข็มเดียวจากการประสานของหลวงพ่อไปที่เขตจตุจักร) ทั้งคู่มองว่า อยากให้รัฐบาลฉีดวัคซีนให้แก่ทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะกับแรงงานข้ามชาติ เพราะเขาเป็นมนุษย์เท่ากับเราทุกคน
เจ้าอาวาสวัดลาดปลาเค้า ซึ่งมีแรงงานข้ามชาติคนหนึ่งทำงานเป็นสัปเหร่อกล่าวว่า “อยากให้เฉลี่ยวัคซีนให้ได้เท่ากัน ไม่ว่าจะคนไทยหรือคนต่างด้าว ตอนนี้มันก็ติดข้อกฎหมายว่าไม่ให้คนต่างด้างฉีด ซึ่งเขาก็เป็นคนเหมือนกับเรา อีกอย่าง ถ้าเขาติดเราก็อาจติดด้วยก็ได้”
ทางด้านพี่แดงกล่าวถึงกลุ่มที่มีสิทธิได้รับวัคซีน VVIP ว่า ไม่ควรทำ อยากให้ทุกคนเคารพกฎกติกาไปด้วยกัน รวมถึงอยากให้แรงงานต่างชาติและบุคลากรของวัดอื่นได้รับวัคซีนด้วย
“ตอนนี้ ถ้าพูดจริงๆ อยากให้คนต่างด้าวได้ฉีดด้วย เพราะหลายคนทำงานในวัดบ้าง ลูกจ้างบ้าง เขาเป็นมนุษย์เหมือนกันทั้งหมด และเจ้าหน้าที่ตามวัดก็เป็นห่วงเหมือนกัน เขาได้ฉีดกันบ้างหรือเปล่า”
ก่อนจากกันเราทิ้งคำถามถึงเจ้าอาวาสว่า คิดไหมว่าควรปิดวัดไม่ให้ญาติโยมเดินทางมา เพราะอาจกลายเป็นจุดแพร่ระบาดแห่งใหม่ได้ ท่านตอบว่า
“เราปิดวัดไม่ได้หรอก มันจะปิดได้อย่างไร ถ้าคนตายจะเอาศพไว้บ้านหรอ ยิ่ง COVID-19 ถ้าคนตายโยมจะไปพึ่งใคร อย่างวันก่อน 3-4 ทุ่มเขาโทรมาบอกลุงเสียชีวิตเพราะ COVID-19 เจ้าของหอไม่ให้อยู่ เราก็ต้องเปิดวัดให้”
“มันปิดวัดไม่ได้หรอก มันเหมือนลงสนามรบ ใครเจ็บใครตายก็หามกลับ ใครยังไม่ตายก็สู้กันต่อไป ใครป่วยก็รักษา ใครไม่ป่วยก็สู้กันต่อไป มันหนีไปไหนไม่ได้หรอก”
แต่หลวงพ่อคงลืมไปว่า คนที่มือยาวกว่าคนอื่น เขามีแรงหนีไปต่างประเทศได้ และถึงไม่หนีไปไหน เขาก็มีโอกาสมากกว่าหลายคนเยอะนัก ..
Photograph By Sutthipath Kanittakul
Illustrator By Waragorn Keeranan