ในโลกที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ และการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม นักสิทธิมนุษยชนถือเป็นผู้ที่ยืนอยู่ ‘ระหว่างประชาชนกับอำนาจ’ พวกเขาทำหน้าที่เป็นดั่งเกราะป้องกันให้เสียงของผู้คนไม่ถูกกลบ และส่องให้เห็นความจริงในสังคม ที่มืดมัวด้วยอำนาจและผลประโยชน์
ตามนิยามของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR)
นักสิทธิมนุษยชนคือ “บุคคลหรือกลุ่มคนที่ทำงานโดยสันติวิธี เพื่อส่งเสริมหรือปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการยอมรับโดยสากล”
พวกเขาอาจเป็นทนายความ นักข่าว นักกิจกรรม อาจารย์ ผู้นำชุมชน หรือแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ที่กล้าพูดเมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมในบ้านเกิดของตนเอง และนั่นเองคือสิ่งที่ทำให้ ‘นักสิทธิมนุษยชน’ มีความหมายเกินกว่าอาชีพ แต่เป็นบทบาททางศีลธรรมของพลเมือง
อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยภาพลักษณ์ของนักสิทธิมนุษยชนมักถูกตั้งคำถาม ถูกโจมตี หรือถูกทำให้ดู ‘ไม่น่าเชื่อถือ’ หลายครั้งพวกเขาถูกตราหน้าว่าเป็นพวกรับเงินต่างชาติ หรือคนที่ชอบขัดขวางรัฐ ทั้งที่ในความเป็นจริงพวกเขากลับเป็นแนวหน้าในการช่วยเหลือเหยื่อการละเมิดสิทธิ ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ และปกป้องเสรีภาพของทุกคน แม้ในวันที่เสียงของพวกเขาถูกปิดกั้น
ท่ามกลางกระแสการตั้งคำถามต่อบทบาทของพวกเขา The MATTER จึงอยากชวนทุกคนกลับมาทำความเข้าใจว่า ‘นักสิทธิมนุษยชน’ แท้จริงแล้วคือใคร พวกเขาทำงานอย่างไร และเหตุใดการดำรงไว้ซึ่งหลักสิทธิมนุษยชนจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สังคมเต็มไปด้วยความขัดแย้งและความเห็นต่าง

จากบาดแผลสงคราม สู่การถือกำเนิดของ ‘นักสิทธิมนุษยชน’
แนวคิดเรื่องนักสิทธิมนุษยชน (Human Rights Defenders) เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากประสบการณ์ความโหดร้ายของมนุษยชาติ ที่เห็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการทรมานผู้บริสุทธิ์จำนวนมหาศาล โลกจึงต้องการหลักประกันว่า ความรุนแรงแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก
การจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ (UN) ในปี 1945 และการประกาศใช้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights ปี 1948) จึงถือเป็นหมุดหมายสำคัญของมนุษยชาติ
ต่อมาในปี 1998 สหประชาชาติได้ประกาศใช้ Declaration on Human Rights Defenders ซึ่งเป็นเอกสารที่รับรองสถานะทางกฎหมาย และความคุ้มครองของนักสิทธิมนุษยชนทั่วโลก เพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยและเป็นอิสระจากการคุกคาม
ดังนั้น นักสิทธิมนุษยชนไม่เพียงแต่มีบทบาทใน ‘การเรียกร้อง’ เท่านั้น แต่ยังเป็นพลังสำคัญในการ ‘ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง’ และ ‘แก้ปัญหาสังคม’ ในทุกภูมิภาคของโลก
นอกจากนี้ ตามนิยามของสหประชาชาติ นักปกป้องสิทธิมนุษยชน คือบุคคลที่ทำงานเพื่อส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชนทั้งของตนเองและผู้อื่น ไม่จำกัดอาชีพหรือสถานะทางสังคม พวกเขาอาจเป็นนักข่าว ทนายความ นักกิจกรรม ผู้นำชุมชน ชาวไร่ ชาวนา หรือแม้แต่ประชาชนธรรมดา ที่กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม
เว็บไซต์ Amnesty International Thailand อธิบายว่า “นักปกป้องสิทธิมนุษยชนคือฟันเฟืองสำคัญของทุกสังคม เพราะช่วยให้สังคมเข้มแข็งและเท่าเทียมมากขึ้น” แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขามักถูกมองด้วยสายตาที่หลากหลาย ถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘ตัวป่วน’ หรือ ‘พวกขัดขวางการพัฒนา’ โดยเฉพาะในประเทศที่ยังไม่เปิดรับการตรวจสอบของสาธารณะ

เอกสารวิจัยจากสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียยังชี้ว่า นักสิทธิมนุษยชนเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกคุกคาม การข่มขู่ และการดำเนินคดีทางการเมือง เพราะบทบาทของพวกเขามักท้าทายโครงสร้างอำนาจและผลประโยชน์ที่ฝังรากลึกในสังคม อย่างไรก็ตาม การดำรงอยู่ของนักสิทธิมนุษยชนคือเสาหลักของความโปร่งใส ความยุติธรรม และธรรมาภิบาล
หลักการทำงานของนักสิทธิมนุษยชน
ตามหลักการของ OHCHR และ Amnesty International นักสิทธิมนุษยชนต้องยึดมั่นในหลัก 3 ประการ ได้แก่
- ยอมรับสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ (Universality) ต้องไม่เลือกข้างหรือเลือกปกป้องเฉพาะสิทธิบางด้าน
- ไม่ใช้ความรุนแรง (Peaceful Action) การเคลื่อนไหวต้องอยู่บนพื้นฐานของสันติวิธี
- ความโปร่งใสและความรับผิดชอบ (Accountability) ทุกการกระทำต้องสามารถตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นจากสังคม
นักสิทธิมนุษยชนจึงเป็นพลังสำคัญของสังคมประชาธิปไตย พวกเขามีบทบาททั้งในการเปิดโปงความจริง ช่วยเหลือผู้ถูกละเมิด และผลักดันให้เกิดนโยบายที่เคารพสิทธิมนุษยชนอย่างยั่งยืน แม้ต้องเผชิญความเสี่ยงต่อการคุกคาม การถูกดำเนินคดี หรือการสูญหาย แต่พลังของพวกเขาคือรากฐานของการปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในทุกสังคม
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ต่อไปนี้คือเหตุการณ์สำคัญของโลกและภูมิภาค ที่ทำให้บทบาทนักสิทธิมนุษยชนปรากฏเด่นชัด ทั้งในฐานะผู้ผลักดันกรอบกฎหมายสากล ผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และผู้ลงมือปฏิบัติในภาวะวิกฤติร่วมสมัย
จาก ‘สงครามโลกครั้งที่สอง’ ถึง ‘กาซา’ การเดินทางของแนวคิดสิทธิมนุษยชน

ยุคนาซีและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Holocaust)
เหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยระบอบนาซีเยอรมนีภายใต้การนำของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ทำให้ชาวยิวกว่า 6 ล้านคนและชนกลุ่มอื่นต้องเสียชีวิต หลังสงครามสิ้นสุด นักสิทธิมนุษยชนยุคแรก โดยเฉพาะทนายความ นักกฎหมาย และนักนิติศาสตร์ ได้ร่วมกันผลักดันให้มีการจัดตั้ง ‘ศาลทหารนูเรมเบิร์ก’ (Nuremberg Trials) เพื่อดำเนินคดีต่อผู้นำระดับสูงของพรรคนาซี ในข้อหาอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
ศาลนูเรมเบิร์กถือเป็นก้าวแรกที่ผู้นำรัฐถูกนำขึ้นศาลระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ นักสิทธิมนุษยชนและนักกฎหมายอย่าง ราฟาเอล เลมคิน (Raphael Lemkin) และ เฮิร์ช เลาเทอร์แพคท์ (Hersch Lauterpacht) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแนวคิด ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ (Genocide) และ ‘อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’ (Crimes against Humanity) ซึ่งกลายเป็นรากฐานของกฎหมายอาญาระหว่างประเทศในเวลาต่อมา
ผลจากการทำงานของนักสิทธิมนุษยชนและนักนิติศาสตร์เหล่านี้ ทำให้ผู้นำนาซีหลายรายถูกตัดสินและลงโทษ ทั้งจำคุกตลอดชีวิตและประหารชีวิต และยังนำไปสู่การกำเนิดของหลักความยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Justice) ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นศาลอาญาระหว่างประเทศถาวร (ICC)
ขบวนการสิทธิพลเมืองในสหรัฐฯ
บุคคลอย่าง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และองค์กรสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ ใช้วิธีการประท้วงโดยสันติ เพื่อผลักดันให้รัฐออกกฎหมายยุติการแบ่งแยกสีผิว เช่น Civil Rights Act (1964) และ Voting Rights Act (1965) การเคลื่อนไหวเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพลังของสันติวิธี ในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมอย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ตาม การต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในสหรัฐฯ มิได้จำกัดเพียงประเด็นสีผิวเท่านั้น แต่ยังขยายสู่การเรียกร้องในมิติอื่น ๆ เช่น ขบวนการสิทธิสตรี (Women’s Rights Movement) ซึ่งนักสิทธิมนุษยชนหญิงอย่าง กลอเรีย สไตน์แนม และองค์กร National Organization for Women (NOW) มีบทบาทผลักดันเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงาน การเข้าถึงการศึกษา และสิทธิในการตัดสินใจของผู้หญิงเหนือร่างกายของตนเอง
ต่อมา การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของกลุ่ม LGBTQIAN+ ได้รับแรงบันดาลใจจากการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองเช่นกัน เหตุการณ์สำคัญคือ ‘การจลาจลที่สโตนวอลล์’ (Stonewall Riots ปี 1969) ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียกร้องสิทธิความหลากหลายทางเพศในยุคใหม่

cr.Biscayne/Kim Peterson
ขณะเดียวกัน นักสิทธิมนุษยชนจำนวนมากยังมีบทบาทในขบวนการต่อต้านสงครามเวียดนาม (Anti-Vietnam War Movement) ซึ่งใช้แนวทางการประท้วงโดยสันติและการรณรงค์สาธารณะ เพื่อประณามการใช้ความรุนแรงและเรียกร้องสันติภาพ ขบวนการนี้เชื่อมโยงแนวคิดสิทธิมนุษยชนเข้ากับสิทธิในการมีชีวิตและสันติภาพ และขยายขอบเขตของสิทธิมนุษยชนจากระดับบุคคลสู่ระดับระหว่างประเทศ
ดังนั้น ขบวนการสิทธิพลเมืองในสหรัฐฯ จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนสากล ขยายจากเชื้อชาติไปสู่ประเด็นเพศสภาพ ความหลากหลายทางเพศ และสิทธิในการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและปราศจากสงคราม กลายเป็นต้นแบบของการเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลกในเวลาต่อมา
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา
ในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮามาส ระหว่างปี 2023-2025 นักสิทธิมนุษยชนได้ทำหน้าที่สำคัญมากในการบันทึกหลักฐานการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การโจมตีพลเรือน การปิดล้อมทางมนุษยธรรม และการจำกัดการเข้าถึงอาหาร ยา น้ำสะอาด และถูกตั้งคำถามว่า สิ่งที่อิสราเอลทำนั้นเข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
นอกจากการบันทึกหลักฐานแล้ว นักสิทธิมนุษยชนยังมีบทบาทในการผลักดันให้มีการสอบสวนระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้รัฐต่างๆ ดำเนินมาตรการ เช่น คว่ำบาตรอาวุธ เปิดทางให้ความช่วยเหลือมนุษยธรรม และคุ้มครองพลเรือนในพื้นที่สงคราม
ในส่วนของการช่วยเหลือเชิงมนุษยธรรม มีการเคลื่อนไหวจากภาคประชาสังคมและนักกิจกรรม ที่พยายามส่งเรือขนส่งสิ่งของจำเป็นเข้าไปในกาซา โดยพยายามฝ่าการปิดล้อมทางทะเลของอิสราเอล

19 กันยายน 2025 (Photo by AFP)
ทั้งนี้ ในระหว่างปฏิบัติภารกิจนักกิจกรรมถูกอิสราเอลสกัดจับ และถูกควบคุมตัว ซึ่งสถานการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่นักสิทธิมนุษยชนเผชิญเอง เมื่อออกมาเคลื่อนไหวในพื้นที่ความขัดแย้ง
เหตุการณ์นี้จึงตอกย้ำว่า นักสิทธิมนุษยชนไม่ได้จำกัดอยู่ที่การรายงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการลงมือภาคปฏิบัติ เช่น การส่งความช่วยเหลือ การเปิดโปงวงปิดล้อม และการสร้างแรงกดดันสาธารณะต่อรัฐที่ปฏิบัติการละเมิดสิทธิ
นอกจากเหตุการณ์ระดับโลก ที่ช่วยผลักดันให้เกิดกลไกปกป้องสิทธิมนุษยชน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมแล้ว เราขอชวนทุกคนหันกลับมามองภูมิภาคของเรา พื้นที่ที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของอำนาจ การต่อสู้ และความพยายามของผู้คนที่ยังคงยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม
หลายเหตุการณ์อาจเป็นเรื่องที่เราคุ้นหู เห็นผ่านหน้าข่าว หรือเคยถกเถียงในสังคม
เหตุการณ์สิทธิมนุษยชนในเอเชียและบทบาทของนักสิทธิมนุษยชน

การสังหารหมู่และการสั่งอพยพชาวโรฮิงญา
นักสิทธิมนุษยชนในและนอกประเทศเมียนมาได้รวบรวมหลักฐานการสังหารหมู่ และการบังคับให้ประชาชนอพยพ ส่งต่อข้อมูลให้คณะกรรมการสอบสวนของสหประชาชาติ (UN Fact-Finding Mission on Myanmar) และศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ซึ่งนำไปสู่การตั้งข้อหากับผู้นำกองทัพบางราย นอกจากการเปิดโปงความจริง นักสิทธิมนุษยชนยังให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัย และผลักดันให้เกิดแรงกดดันทางการทูตต่อรัฐบาลเมียนมา
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์
นักสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศ มีบทบาทสำคัญในการเปิดเผยข้อมูลจากภายในเขตซินเจียง เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม รายงานผู้รอดชีวิต และเอกสารหลุดของรัฐบาลจีน ซึ่งการทำงานนี้นำไปสู่แรงกดดันระหว่างประเทศ เช่น การคว่ำบาตรและการเรียกร้องให้จีนยุติการกักกัน นักสิทธิมนุษยชนมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลอิสระ การสนับสนุนผู้ลี้ภัยอุยกูร์ และการผลักดันให้มีการตรวจสอบโดย UN Human Rights Council

การเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในฮ่องกง
นักสิทธิมนุษยชนในฮ่องกง มีบทบาทในการจัดตั้งขบวนการเรียกร้องสิทธิโดยสันติ ต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน (2019) หลังการประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในปี 2020 พวกเขายังคงต่อสู้ผ่านเครือข่ายระหว่างประเทศ เช่น Amnesty International Hong Kong Chapter เพื่อให้โลกจับตาความเคลื่อนไหว
‘แรงงานข้ามชาติ’ และ ‘สแกมเมอร์’ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Photo by Sai Aung MAIN / AFP
องค์กรสิทธิมนุษยชน เช่น UNODC, IOM และ NGO ภูมิภาค มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ที่ถูกบังคับทำงานในศูนย์หลอกลวงออนไลน์ในกัมพูชา เมียนมา และลาว นักสิทธิมนุษยชนเป็นผู้ประสานงานช่วยเหลือด้านกฎหมาย สร้างแรงกดดันให้รัฐบาลท้องถิ่นปราบปรามขบวนการดังกล่าว
สิทธิสตรีในอัฟกานิสถาน
หลังจากกลุ่มตาลีบันกลับมามีอำนาจในปี 2021 สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในอัฟกานิสถานเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะต่อผู้หญิงและเด็กหญิงที่ถูกห้ามเข้าศึกษาในระดับมัธยมและมหาวิทยาลัย รวมถึงถูกจำกัดสิทธิในการทำงานและการเคลื่อนไหว
นักสิทธิมนุษยชนสตรีในและนอกประเทศ เช่น มาลาลา ยูซัฟไซ (Malala Yousafzai) และเครือข่ายของ UN Women Asia-Pacific ได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ประชาคมโลกกดดันตาลีบันให้คืนสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานแก่สตรีและเด็กหญิง

นักสิทธิมนุษยชนในอัฟกานิสถานจำนวนมากต้องทำงานใต้ดินหรือจากต่างประเทศ เพื่อรายงานการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเรียกร้องการคุ้มครองต่อองค์การสหประชาชาติ
เมื่อมองผ่านบทเรียนจากต่างประเทศแล้ว เราชวนผู้อ่านหันกลับมาดู ‘พื้นที่บ้านเรา’ ว่า บทบาทของนักสิทธิมนุษยชนไทยปรากฏอย่างไรในเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ตั้งแต่การติดตามการใช้กำลังของรัฐ การปกป้องเสรีภาพการแสดงออก ไปจนถึงการช่วยเหลือเหยื่อการบังคับสูญหายและแรงงานข้ามชาติ
บทบาทของนักสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

การสังหารคนเสื้อแดง
นักสิทธิมนุษยชนไทยและต่างประเทศ เช่น ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน (TLHR) และ Human Rights Watch มีบทบาทในการตรวจสอบการใช้กำลังของรัฐ และเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างโปร่งใสต่อเหตุการณ์การสลายการชุมนุมปี 2553 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 90 คน พวกเขารวบรวมหลักฐาน ภาพถ่าย และคำให้การจากผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อเสนอให้เกิดการตรวจสอบโดยองค์กรระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้รัฐไทยรับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519
ถือเป็นจุดดำมืดในประวัติศาสตร์สิทธิมนุษยชนไทย นักศึกษาจำนวนมากถูกสังหาร และซ้อมทรมานระหว่างการปราบปรามของเจ้าหน้าที่รัฐ นักสิทธิมนุษยชนและนักประวัติศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการบันทึกความจริง รวบรวมหลักฐาน และผลักดันให้สังคมไทยไม่ลืมบทเรียนจากความรุนแรงของรัฐ

เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ cr.ศิลปวัฒนธรรม
โศกนาฏกรรมตากใบ (25 ตุลาคม 2004)
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในจังหวัดนราธิวาส เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐใช้กำลังสลายการชุมนุมของประชาชนในพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 85 คน จากการขาดอากาศหายใจระหว่างการควบคุมตัว เหตุการณ์ดังกล่าวถูกมองว่าเป็นหนึ่งในกรณีละเมิดสิทธิพลเมืองที่รุนแรงที่สุดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นักสิทธิมนุษยชนได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐไทยรับผิดชอบ เปิดเผยข้อเท็จจริง และยุติการใช้ความรุนแรงในการจัดการความขัดแย้งทางศาสนาและชาติพันธุ์

เหตุการณ์ตากใบ cr.ประชาไท
การอุ้มหายและการซ้อมทรมาน
ประเทศไทยยังเผชิญปัญหาการบังคับสูญหาย และการซ้อมทรมาน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งทางการเมือง หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น กรณีการหายตัวไปของ สมชาย นีละไพจิตร ทนายความสิทธิมนุษยชน ภรรยาของเขา อังคณา นีละไพจิตร ซึ่งเธอกลายเป็นนักสิทธิมนุษยชนคนสำคัญ ที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้ถูกอุ้มหายและผู้ถูกละเมิดสิทธิในหลายกรณี รวมถึงออกมาประณามรัฐบาลไทย ในกรณีการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการถูกทรมาน

อังคณา นีละไพจิตร
นอกจากนี้ ยังมีกรณีผู้ลี้ภัยทางการเมืองไทยในต่างประเทศ เช่น วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ถูกอุ้มหายในกัมพูชาในปี 2020 ซึ่งนักสิทธิมนุษยชนทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้ร่วมกันกดดันให้มีการสอบสวนข้อเท็จจริง
ปัญหาแรงงานข้ามชาติและแรงงานบังคับในอุตสาหกรรมประมงไทย
ประเทศไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ในเรื่องการใช้แรงงานบังคับและแรงงานเด็กในอุตสาหกรรมประมง ซึ่งเกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติจากเมียนมา ลาว และกัมพูชา นักสิทธิมนุษยชนได้ทำงานร่วมกับ IOM และ Human Rights Watch ในการเปิดเผยข้อมูลการละเมิดสิทธิของแรงงาน เช่น การทำงานเกินเวลา การถูกกักขัง และการไม่จ่ายค่าจ้าง พร้อมผลักดันให้รัฐบาลไทยปรับปรุงกฎหมายแรงงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
การละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ในการแสดงความเห็นทางการเมือง

ตั้งแต่ปี 2020 นักสิทธิมนุษยชนไทยได้ทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังจากคดีการเมือง โดยเฉพาะผู้ถูกดำเนินคดีตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางความคิด พวกเขาจัดทำรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนไทย เผยแพร่ต่อ UN Human Rights Council และ Amnesty International เพื่อกดดันให้รัฐบาลไทยเคารพเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น พร้อมให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย ประกันตัวผู้ต้องหา และเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ
เหตุการณ์ทั้งหมดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า นักสิทธิมนุษยชนไทยทำงานอยู่ในบริบทที่มีความเสี่ยงสูง ต้องเผชิญแรงกดดันจากทั้งภาครัฐและสังคม แต่พวกเขายังคงยืนหยัดในการเปิดเผยความจริง ช่วยเหลือผู้ถูกละเมิด และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เพื่อให้ประเทศไทยเคารพในศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชนของประชาชนทุกคน
จะเห็นได้ว่านักสิทธิมนุษยชน คือส่วนหนึ่งของการช่วยให้สังคมไทยและสังคมโลก ‘ยืนหยัดอยู่บนหลักสิทธิ ศักดิ์ศรี และความยุติธรรม’ ได้อย่างแท้จริง
อ้างอิงจาก
ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล. (2565). การคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย (A Study on Protection of Human Rights Defenders). วารสารนิติศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่