ทำไมต้องใส่ใจกับความเหลื่อมล้ำ?
อีริก เอส. มัสกิน (Eric S. Maskin) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อปี 2007 บอกว่ามีอยู่ 3 เหตุผลสำคัญ
เหตุผลแรก คือเหตุผลด้านศีลธรรม – เราเชื่อว่าทุกคนเท่ากัน ควรมีสิทธิเท่ากัน และควรมีโอกาสเท่ากัน ความเหลื่อมล้ำจึงกลายเป็นปัญหา
เหตุผลที่สอง การลดความเหลื่อมล้ำเชื่อมโยงกับการบรรเทาความยากจน และเราก็เชื่อว่า การบรรเทาความยากจนนั้นควรเป็นเป้าหมายที่สำคัญ
เหตุผลที่สาม ซึ่งมัสกินมองว่าน่าจะสำคัญที่สุด คือ ความเหลื่อมล้ำนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพทางการเมือง เมื่อมีความเหลื่อมล้ำ ก็นำไปสู่ความไม่พอใจของคนด้านล่างต่อคนด้านบน นำไปสู่โลกที่มีสันติภาพน้อยลงในที่สุด
ปัญหาหนึ่งก็คือ ในโลกแห่งโลกาภิวัตน์ (globalization) ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนกลับไม่ได้ลดน้อยตามลงไป ตามที่บางทฤษฎีอาจจะเคยคาดการณ์กันไว้
“คำสัญญาหนึ่งที่โลกาภิวัตน์ได้ให้ไว้ ที่กลับไม่ได้ผลดีเท่าไรนัก คือ การลดทอนช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน คนที่มีกับคนที่ไม่มี ในเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ (emerging economies)” มัสกินกล่าว
“และอันที่จริง เรากลับได้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นในหนึ่งชั่วอายุคนที่ผ่านมา ในเกือบทุกประเทศ ประเทศไทยเองก็ปรากฏว่า มีช่องว่างความเหลื่อมล้ำที่กว้างมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก”
ทำไมโลกาภิวัตน์ไม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ? นี่คือโจทย์ใหญ่ของมัสกิน ในการบรรยายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา ในฐานะส่วนหนึ่งของงาน Chulalongkorn University BRIDGES Nobel Laureate Talk Series ภายใต้มูลนิธิสันติภาพนานาชาติ (International Peace Foundation) และจัดโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
The MATTER ขอสรุปความการบรรยายดังกล่าว ไว้ด้านล่างนี้

อีริก เอส. มัสกิน (Eric S. Maskin) ในระหว่างการบรรยายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 15 มกราคม 2024 (Center of Chulalongkorn University Communication)
ทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ: โลกาภิวัตน์ลดความเหลื่อมล้ำ?
“ผมเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ดังนั้น ผมจึงสนใจในการทำความเข้าใจว่าทำไมความเหลื่อมล้ำนี้จึงเกิดขึ้นในเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่” มัสกินเล่าบนเวทีหอประชุมใหญ่ที่จุฬาฯ
“และมันก็พอบอกได้ว่า ความเหลื่อมล้ำจริงๆ แล้วเป็นพัฒนาการที่น่าประหลาดใจของโลกาภิวัตน์ เพราะมันไปขัดแย้งกับหลักการที่ยึดถือกันมาช้านานในเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเรียกว่า ทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (theory of comparative advantage) ทฤษฎีความได้เปรียบเทียบโดยเปรียบเทียบบอกว่า โลกาภิวัตน์เชิงการค้าเสรีจริงๆ แล้วควรจะลดความเหลื่อมล้ำ”
มัสกินอธิบายว่า ตามทฤษฎีนี้ เหตุผลที่แต่ละประเทศค้าขายซึ่งกันและกัน ก็เพราะว่า แต่ละประเทศมีความได้เปรียบในการผลิตสินค้าต่างชนิดกัน ซึ่งนั่นเป็นเพราะแต่ละประเทศมีปัจจัยการผลิต (input) ในการผลิตแตกต่างกัน ในกรณีนี้ให้ยกตัวอย่างว่ามี 2 ประเทศ – ประเทศร่ำรวย และประเทศกำลังพัฒนา – ประเทศร่ำรวยมีคนงานที่มีทักษะสูง (high-skill workers) มากกว่า และประเทศกำลังพัฒนามีคนงานที่มีทักษะต่ำ (low-skill workers) มากกว่า
เมื่อยกตัวอย่างแบบนี้ ประเทศร่ำรวยจะมีสัดส่วนของคนงานที่มีทักษะสูงมากกว่า ทำให้มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (comparative advantage) ของการผลิตสินค้าที่ต้องใช้ทักษะสูงมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนา จะมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการผลิตสินค้าบางประเภท เช่น ข้าว มากกว่า เพราะมีสัดส่วนของคนงานที่มีทักษะต่ำมากกว่า
ก่อนที่จะมีโลกาภิวัตน์ ทุกๆ การผลิตจะต้องเป็นการผลิตภายในประเทศทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ประเทศร่ำรวยก็ต้องผลิตทั้งซอฟต์แวร์เอง และข้าวเองด้วย แต่เมื่อมีโลกาภิวัตน์เกิดขึ้น และประเทศร่ำรวยสามารถค้าขายกับประเทศกำลังพัฒนาได้ ก็พอจะสรุปได้ว่า ประเทศร่ำรวยอาจจะไม่จำเป็นต้องผลิตข้าวอีกต่อไป แต่สามารถนำเข้าข้าวจากประเทศกำลังพัฒนาได้ ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาก็สามารถนำเข้าซอฟต์แวร์จากประเทศร่ำรวยได้ โดยไม่ต้องผลิตเอง
ผลก็คือ อุปสงค์ (demand) สำหรับแรงงานทักษะต่ำในประเทศกำลังพัฒนาก็จะสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าจ้างสูงขึ้น เพราะข้าวเป็นที่ต้องการมากขึ้น ในขณะที่แรงงานทักษะสูงในประเทศกำลังพัฒนา ก็จะมีอุปสงค์ที่ต่ำลง เพราะสามารถนำเข้าสินค้าแทนได้ ทำให้ค่าจ้างต่ำลง ในแง่นี้ ความเหลื่อมล้ำก็จะลดลง
“ผมได้อธิบายชัดเจนว่า ทำไมคนที่เห็นด้วยกับโลกาภิวัตน์ถึงบอกว่า ความเหลื่อมล้ำจะต้องลดลงในเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ และนั่นคือข้อถกเถียงที่ผมได้เพิ่งอธิบายไป มันคือทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ” มัสกินกล่าว
แต่ประเด็นก็คือ มัสกินกลับไม่ได้เห็นด้วยกับการใช้ทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ ในการอธิบายโลกาภิวัตน์ที่เกิดขึ้นในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา และมองว่า โลกาภิวัตน์กลับไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำเลยต่างหาก – เป็นเพราะอะไร?

อีริก เอส. มัสกิน (Eric S. Maskin) ในระหว่างการบรรยายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 15 มกราคม 2024 (Center of Chulalongkorn University Communication)
เมื่อโลกาภิวัตน์ไม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ
มัสกินอธิบายว่า โลกาภิวัตน์ที่เกิดขึ้นในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมานั้น วางอยู่บนพื้นฐานของการทำให้การผลิตมีความเป็นนานาชาติ (internationalization of production)
เขายกตัวอย่างคอมพิวเตอร์ในฐานะตัวอย่างของผลลัพธ์จากกระบวนการผลิตที่ผ่านโลกาภิวัตน์ “คอมพิวเตอร์อาจจะถูกออกแบบในสหรัฐฯ มันอาจจะถูกวางโปรแกรมในยุโรป และมันอาจจะถูกประกอบขึ้นในจีน”
ภายใต้สภาวะเช่นนี้ มัสกินแบ่งแรงงานออกเป็น 4 ระดับคร่าวๆ ตามทักษะ จากทักษะสูง ไปจนถึงทักษะต่ำ ซึ่งเรียงได้เป็น
A > B > C > D
พอจะสันนิษฐานได้ว่า ประเทศร่ำรวยจะมีคนงานระดับ A และ B เยอะ ซึ่งเป็นคนงานที่มีทักษะสูงสุด 2 ระดับแรก ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาจะมีคนงานระดับ C และ D เยอะ ซึ่งเป็นคนงานที่มีทักษะต่ำกว่า โดยที่มัสกินถือว่า C อาจจะพอมีทักษะอยู่บ้าง ในขณะที่ D อาจจะมีทักษะที่ตามไม่ทันโลกสมัยใหม่
เขายังแบ่งรูปแบบงานเพื่อใช้ในการอธิบาย โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ งานด้านบริหารจัดการ (managerial task) ซึ่งใช้ทักษะสูง กับงานระดับรอง (subordinate task) หรือพูดเป็นภาษาไทยง่ายๆ ก็คือ งานของลูกน้อง ซึ่งใช้ทักษะที่ต่ำกว่า งานทั้ง 2 ประเภทนี้ จะต้องจับคู่กัน โดยมีคนงานที่มีทักษะสูงกว่าดูแลงานประเภทแรก และคนงานที่มีทักษะต่ำกว่าดูแลงานประเภทหลัง
ก่อนที่จะมีโลกาภิวัตน์ การจับคู่ดังกล่าว จะต้องเป็นการจับคู่ภายในประเทศเท่านั้น ในกรณีของประเทศร่ำรวย A อาจจับคู่กับ B ได้ และในประเทศกำลังพัฒนา C อาจจับคู่กับ D ได้ ตามภาพครึ่งบนในสไลด์ของมัสกินด้านบน
แต่เมื่อเกิดโลกาภิวัตน์แล้ว การจับคู่ จะจับคู่ข้ามประเทศอย่างไรก็ได้ ในรูปแบบใดก็ได้ อย่างไรก็ดี ถ้าระดับของทักษะระหว่างแรงงานฝ่ายบริหารจัดการ กับแรงงานระดับรอง ห่างกันเกินไป ก็อาจจะทำให้ไม่มีประสิทธิภาพ และไม่มีเหตุผลที่แรงงานทักษะสูงๆ จะต้องมาจับคู่กับแรงงานทักษะต่ำ (เช่น A จับคู่กับ D)
ผลที่ปรากฏจากโลกาภิวัตน์ ซึ่งพบเห็นได้ก็คือ แรงงานระดับ C ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งถือว่าพอมีทักษะที่ดี จะหันมาทำงาน โดยจับคู่กับ B ในประเทศร่ำรวย ในบริษัทข้ามชาติมากขึ้น (ตามภาพครึ่งล่างในสไลด์ด้านบน) ถือว่าได้รับโอกาสในตลาดแรงงานระหว่างประเทศ ในขณะแรงงานระดับ D ซึ่งมีทักษะไม่เพียงพอ ก็จะไม่ได้รับโอกาสเดียวกัน ทำให้ค่าแรงของ C สูงขึ้น ในขณะที่ D มีรายได้เท่าเดิม
และสำหรับมัสกิน นี่คือสาเหตุที่อธิบายได้ว่า ทำไมโลกาภิวัตน์กลับทำให้ความเหลื่อมล้ำในประเทศกำลังพัฒนาย่ำแย่ลงกว่าเดิม

อีริก เอส. มัสกิน (Eric S. Maskin) ในระหว่างการบรรยายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 15 มกราคม 2024 (Center of Chulalongkorn University Communication)
ใครต้องช่วยแก้ปัญหานี้? คำตอบคือรัฐบาล
“คุณอาจจะบอกว่า ก็หยุดโลกาภิวัตน์สิ เพราะโลกาภิวัตน์สร้างความเหลื่อมล้ำ แต่การหยุดโลกาภิวัตน์ ถึงเป็นไปได้ ก็จะเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง” มัสกินบรรยายต่อมา “เพราะโลกาภิวัตน์ก็เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดความมั่งคั่งที่สำคัญ ตลอด 20-30 ปีที่ผ่านมา
“ดังนั้น เราจะไม่ต้องการหยุดโลกาภิวัตน์ ถึงแม้จะทำได้ แต่เราต้องการแก้ความเหลื่อมล้ำ และวิธีแก้ที่ชัดเจนก็คือ เพิ่มระดับทักษะให้กับแรงงาน D เพื่อให้พวกเขาได้รับโอกาสในต่างประเทศด้วยเหมือนกัน เพื่อให้บริษัทข้ามชาติอยากจ้างพวกเขา แบบเดียวกับแรงงาน C ด้วย
“ปัญหาสำหรับนโยบายดังกล่าวก็คือ จะต้องมีใครบางคนควักกระเป๋าจ่ายเพื่อการศึกษาและการอบรมทักษะ เพื่อเพิ่มระดับทักษะให้กับ D”
แล้วใครจะต้องเป็นคนจ่าย?
มัสกินบอกว่า แรงงานเองจ่ายไม่ได้แน่ๆ ด้วยฐานะที่ยากจน
ส่วนผู้ผลิต และนายจ้าง ก็ไม่มีแรงจูงใจให้จ่ายเงินอบรมให้แรงงาน D มีทักษะดีขึ้น เพราะถ้าหากทำแบบนั้นแล้ว แรงงาน D ก็จะได้รับโอกาสในการหางานบริษัทอื่นๆ ที่ดีขึ้น จนทำให้ไม่ต้องทำงานกับนายจ้างเดิมก็ได้ หรือย้ายไปทำงานให้กับคู่แข่งก็เป็นได้ การลงทุนจ่ายเงินอบรมจึงถือว่าเป็นการลงทุนที่เสียเปล่า
ดังนั้น คำตอบสุดท้ายก็คือรัฐบาล ที่จะต้องมาช่วยลงทุนในการศึกษาและอบรมให้กับแรงงาน “รัฐบาลถือว่าจำเป็นอย่างยิ่ง เราไม่สามารถไม่มีรัฐบาลได้” คือข้อสรุปของมัสกิน ซึ่งเสนอต่อมาว่า รัฐบาลอาจจะลงทุนอบรมเองก็ได้ หรืออาจจะไม่จำเป็นต้องอบรมเองก็ได้เช่นกัน แต่อาจจะช่วยลดหย่อนภาษีให้กับผู้ผลิต ถ้าผู้ผลิตยอมจ้างแรงงานทักษะต่ำ และฝึกฝนให้กับพวกเขา เป็นต้น