วันนี้เมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว (16 กันยายน) ขณะที่เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนกำลังตั้งแนวเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมในซอยมิตรไมตรี ลูกปืนนัดหนึ่งไม่รู้ที่มาแหวกอากาศเจาะเข้าก้านคอหนุ่มน้อยวัย 15 ปี ที่ยืนอยู่ตรงข้าม สน.ดินแดง เขาร่วงลงกับพื้น เลือดเลอะเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า ก่อนที่หน่วยกู้ภัยประสานพาตัวเขาไปที่โรงพยาบาลราชวิถีในทันที
ประกาศจากทางโรงพยาบาลในเวลาต่อมา มีใจความว่าหนุ่มคนดังกล่าว หรือนายวาฤทธิ์ สมน้อย มีกระสุนเจาะที่ก้านสมอง 1 นัด กระดูกต้นคอซี่ที่ 1 และ 2 แตก และไม่กี่วันต่อมามีการยืนยันว่าวาฤทธิ์จะเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงมาจนถึงขา ถ้าหากเขายังมีชีวิตอยู่ต่อไป
มาถึงขณะนี้ วาฤทธิ์ยังคงนอนไม่รู้สึกตัวอยู่ในโรงพยาบาล และนิภาพร สมน้อย แม่ของเขายังคงมานั่งรออยู่หน้าห้องผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรม โรงพยาบาลราชวิถีตตั้งแต่เช้าจรดเย็นด้วยความหวังถึงอาการป่วยของลูก และกระบวนการยุติธรรมจะต้องจับผู้กระทำความผิดให้ได้
“ผ่านมา 1 เดือนแล้ว ตำรวจยังไม่บอกอะไรแม่เลย” นิภาพรกล่าวถึงกระบวนการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ “มันเกิดขึ้นตรงข้าม สน.ดินแดง นิดเดียวเอง”
จากบทสนาราวหนึ่งชั่วโมง ความหวังของนิภาพรในตอนนี้มีแค่ 2 ข้อ หนึ่งให้ลูกชายฟื้นจากอาการโคม่า และลุกขึ้นมาโต้ตอบพูดคุยกับเธอ และสอง หวังต่อกระบวนการยุติธรรมให้หาตัวผู้ลั่นไกปืนเจาะเข้าก้านคอลูกชายเธอมารับโทษทางกฎหมาย
อยากให้คุณแม่ช่วยเล่าเรื่องของน้องวาฤทธิ์ให้ฟังหน่อยได้ไหม
นิภาพร สมน้อย: เขาก็เหมือนเด็กทั่วไป เขาเป็นคนร่าเริง ชอบเล่นเกม ชอบเตะฟุตบอล ไปโรงเรียน ช่วยงานบ้านบ้าง เขาเคยบอกว่าอยากเป็นนักฟุตบอล ซึ่งน้าของเขาก็ส่งเขาไปเรียนเตะฟุตบอล แต่ช่วงนี้ก็พักไปเพราะมีโรคระบาด
เวลาอยู่บ้านเขาเป็นพี่ชายคนโตที่สุด เด็กเล็กในบ้านมี 4 คน เขามีน้องสาวแท้ๆ คนหนึ่ง และมีลูกของน้าอีก 2 คน อยู่บ้านเขาก็จะวิ่งเล่นกันบ้าง เล่นซ่อนแอบบ้าง พาน้องสาวไปเล่นข้างบ้าน เล่นเสร็จแล้วก็ไปดูหนัง เล่นเกมเหมือนเด็กปกติทั่วไป
บางทีกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียนก็มาหาเขาที่บ้าน หรือน้องออกไปหาเพื่อนที่บ้านเพื่อนบ้าง ก่อนที่จะเกิดเรื่อง แม่ถามว่าไปไหนมา เขาก็บอกไปขายเสื้อมา เขาบอกกับแม่ว่า วันนี้ได้เยอะมากเลยนะแม่ ได้ตั้ง 200 บาทแหนะ ตอนนั้นแม่ก็มีความคิดในใจกะเซอไพรส์เขาว่า เอางี้ไหม เดี๋ยวแม่จะลงทุนให้แล้วเราเอาไปขาย ก็อยากให้เขาได้ทำกิจกรรมของเขา แต่ก็ไม่ทันได้บอกเขาเลย
แสดงว่าที่บ้านก็สนิทสนมคุยกันทุกเรื่อง
นิภาพร สมน้อย: จริงๆ แม่ต้องทำงานต่างจังหวัดอยู่ตลอด ทำให้ส่วนมากเป็นตา ยาย และน้าที่เลี้ยงเขามา เขาจะสนิทกับน้า มีอะไรก็บอกน้าตลอด
น้า: ส่วนมากเขาจะเล่าเรื่องเพื่อนที่โรงเรียน และก็เรื่องส่วนตัว เรื่องคนที่เขาคุยด้วย เขาก็มีคนที่คุยกันเล่นๆ ไม่ได้คุยกันจริงจังอะไรขนาดนั้น
นิภาพร สมน้อย: ตอนแรกแม่ก็คิดว่าจะให้เงินเขาไปลงทุนขายเสื้อ แต่อีกอย่างหนึ่งที่แม่คิดไว้คือ อยากซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้เขา เพราะตอนแรกโทรศัพท์ที่เขาใช้อยู่หน้าจอมันแตกหมดเลย มันก็มีเงินที่ทางโรงเรียนให้ผู้ปกครองมา 2,000 บาท ตอนแรกก็คุยกับน้าว่าจะไปซ่อมให้ แต่น้าเขาก็บอกว่าไม่ต้องซ่อมหรอก เดี๋ยวซื้อให้ใหม่เลย เพราะมันพังจนหน้าจอละเอียดแล้ว แต่ก็ยังไม่บอกเพราะกะจะเซอไพรส์ พาเขาไปที่ห้างแล้วให้เขาไปเลือกเลย แต่หลังจากวันนั้น ไม่ถึงสองวันก็เกิดเหตุขึ้นเสียก่อน
น้า: ที่บ้านเปิดเป็นร้านชุบกับพ่นสีรถ และน้องเขาก็ช่วยงานตลอด ไปกับคนขับรถช่วยยกของขึ้นลงอะไรพวกนี้
นิภาพร สมน้อย: ถ้าเขาอยู่บ้านเขาก็ช่วยงานบ้าน ล้างขี้นก ล้างหน้าบ้าน ล้างถังขยะ อะไรพวกนี้
ย้อนไปหนึ่งเดือนที่แล้ว ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น วันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
นิภาพร สมน้อย: วันนั้นเขาก็ใช้ชีวิตปกติเลย มีไปโรงงาน ไปหาเพื่อน แต่ตอนเย็นน้องเขาอยู่บ้านเพื่อนแถวนั้น เขาก็โทรมาหาแม่ถามว่า แม่อยู่บ้านไหม และก็บอกแม่ว่าหนูขอไปม็อบได้ไหม แม่ก็บอกว่าไม่ได้ มันไม่ใช่หน้าที่ของเด็ก ไปแล้วมันอันตราย และแม่กลัวเรื่องโรคระบาด เพราะที่บ้านมีทั้งเด็กเล็กและคนแก่ เขาก็บอกไม่ไปก็ได้
พอเขาเข้ามาที่บ้าน เขาก็บอกว่าเพื่อนหนูเขาไปกัน เขาโดนแก๊สน้ำตามาด้วยนะแม่ แม่ก็เลยบอกว่าเนี่ยแหละ เหตุผลที่ทำไมแม่ถึงไม่อยากให้ไป เพราะถ้ามันโดนมากกว่าแก๊สน้ำตา โดนทำร้าย โดนจับ ติดโรคมาจะทำอย่างไร
แล้วหลังจากนั้น ทำไมน้องถึงตัดสินใจไป
นิภาพร สมน้อย: เย็นวันนั้นเขานั่งอยู่ที่บ้าน แม่ก็เลยบอกว่างั้นไปเอาผ้าลงมาซัก เอาผ้าห่มลงมาปั่น และไปอาบน้ำแล้วไปกินข้าวให้เรียบร้อย เขาทำเสร็จแล้วก็ไปทำการบ้าน
แต่ก่อนที่จะไปเขาบอกว่า ขอเอากระเป๋าไปให้เพื่อนได้ไหม แม่ก็ถามว่าไปที่ไหน เขาก็บอกว่าหมู่บ้านข้างๆ ถัดไปเนี่ย แม่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่วันนั้นเขาดูรนเป็นพิเศษ เขาหากระเป๋ามาใส่สายชาร์จโทรศัพท์ ใส่เสื้อกางเกง แม่ถามเขาว่าเอาเสื้อกางเกงไปไหน เขาก็บอกว่าเพื่อนขอยืม สักพัก 15-20 นาที แม่ก็ไม่เห็นเขาอยู่ในบ้านก็เลยเดินออกไปถามยามข้างๆ หมู่บ้าน ยามบอกว่าน้องที่ใส่เสื้อสีฟ้าใช่ไหม เห็นไปกับเพื่อนแล้ว แม่ถามว่ากี่คน เขาก็บอกคนเดียวตัวเล็กๆ
หลังจากนั้น แม่และน้าก็พยายามโทรหาเขาตลอด แต่เขาก็ไม่รับสายเลย
ก่อนหน้านี้ เขาเคยคุยเรื่องการเมืองกับแม่หรือน้าบ้างไหม
นิภาพร สมน้อย: เขาก็พูดบ้าง แต่ไม่ได้พูดจริงจัง เป็นแบบติดตลกประมาณว่า ออกไปก็จบ ทุกอย่างจะได้เหมือนเดิม วัคซีนก็ไม่มี เขาอยากกลับไปเรียนหนังสือ มันก็เป็นสิ่งสะท้อนเหมือนกันว่าเด็กอายุเท่านี้คงคิดได้ประมาณนี้
หลังจากนั้น ทราบข่าวน้องได้อย่างไร และความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไร
นิภาพร สมน้อย: หลังจากที่แม่เดินหาเขาแล้วไม่เจอก็เลยโทรหาเพื่อนเขาที่โรงเรียน แต่เพื่อนเขาก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน ตอนนั้นประมาณสามทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่เขาโดนกระสุน
แล้วพอตกกลางคืน ปกติแม่และน้าจะไม่ปิดเสียงโทรศัพท์ แต่คืนนั้นแปลกมาก เพราะปิดเสียงโทรศัพท์ เพื่อนเขาพยายามโทรหาแม่และน้า แต่ก็ไม่มีคนรับสาย จนกระทั่งประมาณตี 5 แม่เดินลงมาข้างล่างเพื่อจะดูว่าน้องกลับมาหรือยัง ถ้าเขามาก็จะเห็นรองเท้า แต่ก็ไม่เห็น พอลองขึ้นไปเคาะห้องข้างบน ปรากฎว่ายังไม่กลับมา เลยเปิดดูโทรศัพท์ปรากฎว่ามีสายของเพื่อนเขา และมีข้อความส่งมาในแชทแม่ว่าวา (ชื่อน้อง) ถูกยิง
ตอนแรกที่เราเห็นภาพ เขาเบลอหน้าไว้ เราก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นลูกเราหรือเปล่า แต่พอเห็นมือเขา เห็นเล็บเขา เราก็มั่นใจแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์
เราเป็นแม่จำทุกส่วนของร่างกายลูกได้ แต่ก็ยังภาวนาอยู่ขออย่าให้เป็นลูกเรา แต่พอไปถึงโรงพยาบาลน้าก็เอารูปถ่ายน้องไปให้พยาบาลดู พยาบาลบอกว่าใช่ แม่ก็ช็อค ทำอะไรไม่ถูก แขนขาชาไปหมด ไปไม่เป็นเลย
มาถึงตอนนี้ ทางทีมแพย์บอกว่าอาการของน้องเป็นอย่างไรบ้าง
นิภาพร สมน้อย: หมอยืนยันแล้วว่าน้องจะเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงมาถึงขา ส่วนอาการตอนนี้คือยังเหมือนเดิมไม่ดีขึ้น ต้องเจาะคอใส่เครื่องช่วยหายใจ แล้วก็ต้องให้ยากระตุ้นหัวใจกับยาความดันในปริมาณสูงสุด ทางคุณหมอพยายามช่วยอย่างเต็มที่แล้ว ตอนนี้ก็อยู่ที่ตัวน้องว่าจะสู้ได้แค่ไหน
ตอนแรกที่น้องผ่านช่วงวิกฤต 3 วันแรกมาได้ 2 อาทิตย์ถัดมาน้องเริ่มหายใจเองได้ แม่ก็คิดว่าเป็นสัญญาณที่ดี เริ่มใจชื้นว่าน้องต้องรอดกลับมา แต่พอสัปดาห์ที่ผ่านมาหัวใจก็กลับมาเต้นช้าลง ต้องให้ยากระตุ้นหัวใจและความดันเพิ่มอีก
ทางทีมแพทย์บอกยังมีความหวังที่น้องจะฟื้นขึ้นมาใช่ไหม
ยังมีความหวัง แต่เขาก็บอกเราว่าถ้าให้ยาในปริมาณที่สูงแล้ว หัวใจน้องยังเต้นอ่อนลง ทางครอบครัวจะให้ทางทีมแพทย์ปั๊มหัวใจน้องไหม หรือไม่ปั๊ม มันเป็นคำถามที่ เราไม่อยากได้ยิน เราไม่อยากตัดสินใจเลย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันกระทบครอบครัวอย่างไรบ้างไหม
นิภาพร สมน้อย: ครอบครัวเรากลายเป็นคนวิตก เวลาออกไปไหนก็กลัว กลัวคำถามจากคนรู้จักว่าอาการน้องเป็นอย่างไร ตอนนี้
คนในครอบครัวเราเจอคำถามมากมายว่า น้องพิการแล้วจะเลี้ยงทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้น้องตายไปเลย คำถามเหล่านี้ ถ้าไม่เจอกับครอบครัวเขาเอง เขาจะไม่มีวันเข้าใจ และถ้าได้เจอ เขาจะไม่มีวันถามคำถามนี้อีกเลย
ครอบครัวเราไม่ได้สนใจว่าน้องวาจะเป็นอัมพาตแล้วเป็นภาระของครอบครัว ครอบครัวพร้อมเป็นแขนขาให้เขา ขอให้น้องฮึดสู้ ขอให้น้องวาลุกขึ้นสู้ แม่กับครอบครัวพร้อมเป็นแขนและขาให้วาเสมอ
ทางเจ้าหน้าที่ติดต่อมาอย่างไรบ้างเกี่ยวกับความคืบหน้าของคดี
นิภาพร สมน้อย: เราไปแจ้งความที่ สน.ดินแดงหลังจากเหตุเกิดเกือบ 10 วัน ตอนนั้นคนที่รับเรื่องน่าจะเป็นสารวัตร แต่มีทางผู้กำกับเดินเข้ามาถามว่า แม่เด็กอายุ 15 ปีใช่ไหม เห็นออกข่าวอยู่ แม่ก็เลยสวัสดีเขา และบอกเขาไปคำนึงว่า ถ้าเลือกได้ แม่ไม่อยากเป็นข่าว แม่ไม่อยากเป็นคนดัง แม่อยากใช้ชีวิตปกติ แม่อยากให้ลูกแม่มีชีวิตปกติ
แต่มาถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานมา แต่ทางเราก็อยากทราบความคืบหน้าคดีเหมือนกันว่าตอนนี้มันไปถึงไหนแล้ว เพราะตอนนี้มันมีเสียงแตกมากว่า อริยิงหรือเปล่า กลุ่มผู้ชุมนุมหรือเปล่า หรือเป็นตำรวจหรือเปล่า เราก็อยากรู้ว่า 3 แนวทางที่คาดการณ์ไว้เนี่ย มันคืออะไรกันแน่ อยากให้มันชัดเจนและโปร่งใส
1 เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ไม่ติดต่อมาเลยหรอครับ
นิภาพร สมน้อย: มีแค่ครั้งเดียว เขาถามว่าแม่ทราบได้อย่างไรว่าน้องโดนยิง แล้วแม่รู้กี่โมง แล้วใครเป็นคนบอก แค่นี้ค่ะ
แล้วเจ้าหน้าที่เขามาเยี่ยมบ้างหรือเปล่า
นิภาพร สมน้อย: ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเยี่ยมแค่วันแรก เขามาถามว่าน้องเป็นอย่างไรบ้าง ผ่ากระสุนออกแล้วใช่ไหม แล้วเขาก็ไปพูดคุยกับคุณหมอ แต่เราไม่ทราบเรื่องหลังจากนั้น
แต่ก่อนหน้านี้ก็มีคนจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มาหาแล้วบอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย
คุณแม่คิดว่าเป็นไปได้ไหมที่จะเป็นปัญหาระหว่างเขากับคู่อริ
นิภาพร สมน้อย: ในความเห็นของแม่ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่อริ หนึ่ง น้องไม่เคยเข้ามากรุงเทพฯ (บ้านอยู่ จ.สมุทรปราการ) เข้ามาไกลสุดก็คือพระโขนง ไม่เคยเข้ามาถึงดินแดง นอกจากแม่จะขับรถพาเขามา สอง ถ้าเป็นคู่อริไม่ต้องรอให้มาถึงที่นี่หรอก เพราะคู่อริกันที่ไหนก็ทะเลาะกันได้
ข้อสันนิษฐานนี้มันมีขึ้นเพราะเคยมีตำรวจถามแม่ว่าน้องมีคู่อริหรือเปล่า แม่ก็บอกไม่น่าใช่ ถามเด็กเคยมีทะเลาะกันไหมในโรงเรียนไหม ซึ่งมันก็คงมีตามประสาวัยรุ่นแหละ แต่คงไม่ถึงขั้นไปยิงกัน มากสุดก็แค่ชกต่อย
แต่คือตอนนี้ แม่ไม่รู้อะไรเลย ไม่มีข้อมูลอะไรเลย แม่รู้อะไรก็รู้พร้อมสื่อ ถามว่าแม่กล้าที่ดูคลิปตอนที่ลูกโดนยิงไหม บอกเลยว่าแม่ใจไม่แข็งพอ เห็นแต่ตอนช่วงที่เขาอุ้มน้องขึ้นรถ และก็พามาส่งที่โรงพยาบาล ตอนแรกแม่คิดว่าคงไม่โดนจุดสำคัญ และคงแค่สลบไป แต่มันไม่ใช่แบบนั้น
แล้วคุณแม่ว่าเป็นไปได้ไหมที่น้องจะถูกเจ้าหน้าที่ คฝ. ยิง
นิภาพร สมน้อย: แม่ว่าไม่น่าเป็นไปได้นะ เพราะ คฝ.เขาไม่มีกระสุนจริง มีแค่กระสุนยางและกระบอง แต่แม่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะที่บ้านไม่ค่อยได้ดูข่าวการชุมนุมเลย
คุณแม่ให้สัมภาษณ์ว่า เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องรอผ่ากระสุนออกจากคอน้อง ทำไมหรอครับ
นิภาพร สมน้อย: ช่วงแรก มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถามแม่ว่าผ่ากระสุนออกหรือยัง แต่เขาอยากรู้แค่นั้นหรอ อยากรู้ว่ากระสุนเป็นกี่ มม.หรือลักษณะไหนหรอ หรือเขาไม่ได้คิดว่าสิ่งสำคัญคือ ถ้าผ่ากระสุนออกแล้วน้องจะปลอดภัยไหม
ถ้ามันยังไม่ปลอดภัย น้องยังหายใจเองไม่ได้ แม่ยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ให้ผ่า เพราะการจะผ่าตัดน้องต้องหายใจเองได้ ไม่ได้อยู่ในห้อง ICU เพราะการผ่ากระสุนน้องต้องคว่ำหน้า และถ้าท่อออกซิเจนมันหลุด นั่นคือชีวิตของน้องเลย เพราะฉะนั้นแม่บอกเลยว่าแม่ไม่ให้ทำ
นอกจากกระสุนปืนที่ยังฝังอยู่ในแผล คิดว่ามีหลักฐานอื่นไหมที่เจ้าหน้าที่น่าจะตามสืบได้
นิภาพร สมน้อย: จริงๆ แม่ว่ามีหลายคนที่อยู่ตรงนั้นในวันเกิดเหตุและสามารถเป็นพยานได้ วันที่แม่ไปแจ้งความที่ สน.ดินแดงก็มีนักข่าวพาแม่ไปดูว่าจุดที่น้องล้มคือตรงไหน และแม่ก็เห็นว่ามีกล้องวงจรปิดบริเวณนั้นอยู่หลายตัว (ทั้งของ สน.ดินแดง และ กทม.) และเห็นว่าด้านหลังจุดที่น้องโดนยิง มันรอยแตกร้าวบนกำแพงคล้ายรอยกระสุนทะลุมา 2-3 จุดได้
แม่ว่าพยานหลักฐานน่าจะมากพอสมควรที่จะบอกได้ว่าเรื่องมันไปถึงไหนแล้ว แต่ตอนนี้แม่ยังไม่ได้รับความคืบหน้าอะไรเลย
เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีความตั้งใจในการสืบคดี
นิภาพร สมน้อย: เราไม่อยากเชื่อแบบนั้น เราเชื่อว่าเจ้าหน้าที่คงทำงานอย่างหนักแหละที่จะหาคนผิดมาดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา
คุณแม่อยากเรียกร้องอะไรถึงกระบวนการยุติธรรมไหม
นิภาพร สมน้อย: แม่อยากให้เรื่องนี้มันกระจ่าง อยากให้เรื่องแบบนี้มันหมดไปจากประเทศไทย ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกไม่ว่ากับใครก็ตาม มันกี่ครั้งแล้วที่เด็กหรือคนธรรมดาโดนกระทำแล้วเรื่องเงียบหาย
แม่อยากให้มีความยุติธรรมเกิดในสังคมไทย และกระบวนการยุติธรรมต้องพิสูจน์ให้ดู โดยการหาคนผิดมาลงโทษให้ได้ ไม่ใช่ว่าเราไม่ใช่คนดัง เป็นคนธรรมดาแล้วพอเกิดเรื่องแบบนี้กับเราแล้วเรื่องเงียบไม่ไปไหน
กระบวนการยุติธรรมต้องพิสูจน์ให้ดู โดยการหาคนผิดมาลงโทษให้ได้ ไม่ใช่ว่าเราไม่ใช่คนดัง เป็นคนธรรมดาแล้วพอเกิดเรื่องแบบนี้กับเราแล้วเรื่องเงียบไม่ไปไหน
ถ้ามีพรให้คุณแม่สักข้อ อยากขออะไร
นิภาพร สมน้อย: แม่อยากได้ชีวิตลูกแม่คืน
Fact Box:
บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นวันที่ 16 กันยายน 2564
ขณะที่ในวันที่ 17 กันยายน 2564 ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. พรรคก้าวไกล และประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ได้แถลงที่รัฐสภาถึงความคืบหน้าในการสอบสวนคดีดังกล่าวของ กมธ.
โดยภาพจากกล้องวงจรปิด 54 ตัวและจากการสืบพยานพบว่าคดีของวาฤทธิ์ (เด็กชาย B) มีความเป็นไปได้ว่าเกี่ยวข้องกับอีกคดีหนึ่งที่เด็กวัย 14 ปี (เด็กชาย A) ถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่หัวไหล่ โดย กมธ. พบว่ามีผู้ก่อเหตุในบริเวณนั้นทั้งหมด 12 ราย ขี่มอเตอร์ไซค์ แต่งกายในชุดไปรเวท และมีอาวุธเป็นไม้และปืน
สำหรับกรณีเด็กชาย A ภาพและคำให้การของผู้เสียหายตรงกันว่า ขณะที่เขาขี่มอเตอร์ไซค์จะไปรับเพื่อน พบกลุ่มชายชุดดำยืนทำร้ายผู้ชุมนุมอยู่กลางถนน และเมื่อเขาพบกับกลุ่มคนดังกล่าว เขาได้ทิ้งมอเตอร์ไซค์เพื่อวิ่งหนี แต่กลับถูกไล่ตีด้วยไม้ และพบว่าตนเองถูกยิงในภายหลัง
ส่วนกรณีของเด็กชาย B (น้องวาฤทธิ์) กล้องวงจรปิดจับภาพกลุ่มผู้ก่อเหตุ ขับมอเตอร์ไซค์เลี้ยวเข้าซอยประชาสงเคราะห์ 21 ซึ่งตรงไปยังด้านหลังสน.ดินแดง ตรวกับคลิปวีดีโอที่ประชาชนบนแฟลตดินแดงถ่ายไว้ได้ว่า มีชายหลายคนวิ่งอยู่ในซอยหน้าสน.ดินแดง และยิงปืนไปทางถนนมิตรไมตรี
ก่อนที่ในเวลาต่อมา ภาพจากกล้องวงจรปิดจะจับภาพเด็กชาย B วิ่งอยู่บนถนนมิตรไมตรี ก่อนถูกยิงล้มลง และมีรอยกระสุนเจาะตรงเข้ากำแพง จากทิศทางกสารยิงระบุว่าตรงมาจากซอยหน้า สน. ดินแดง ซึ่งไม่มีผู้ชุมนุมอยู่ เนื่องจากปากซอยถูกตำรวจกั้นรั้วกีดขวางกันผู้ชุมนุม และผู้ชุมนุมเผาสิ่งของบริเวณรั้วเป็นกองไฟกองใหญ่
ทั้งนี้ล่าสุด ยังไม่มีการแถลงเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
Photograph By Channarong Aueudomchote
Illustrator By Sutanya Phattanasitubon