ผ่านการเลือกตั้งกันมาหมาดๆ แม้ผลอย่างเป็นทางการยังไม่ประกาศ แต่เราได้เห็น ‘พรรคอนาคตใหม่’ ที่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งนี้มาก ในฐานะเป็นพรรคน้องใหม่ แต่สามารถกวาดได้ที่นั่งไปอย่างน้อย 80 เก้าอี้ในสภาแล้ว และยังได้คะแนนเสียงไปกว่า 5.8 ล้านคน
แต่ถึงอย่างนั้น นอกจากความดีใจ หลายคนก็ตกใจ ผิดหวัง กับผลที่ออกมา บางคนคับแค้นใจ และยังมึนงง ไม่มั่นใจว่าพรรคที่เราเลือก จะเป็นรัฐบาลไหม จะได้จัดตั้งรัฐบาลหรือเปล่า และเราจะยังต้องอยู่กับระบอบ คสช. ต่อหรือไม่
ซึ่ง ช่อ พรรณิการ์ วาณิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ บอกเล่าว่า หลังการเลือกตั้ง หลายคนจะคาดหวังมากว่าทุกอย่างจะดีขึ้น แต่เหตุการณ์หลังการเลือกตั้งนั้น อาจจะไม่ดีขึ้น อาจจะแย่ลง เราจึงคุยกับคุณช่อว่าในสถานการณ์อย่างนี้ พรรคอนาคตใหม่จะมีจุดยืนอย่างไร ถ้าการเมืองไทยอาจจะต้องอยู่ในระบบ คสช. หรือการจัดตั้งรัฐบาลที่ตอนนี้ยังดูไม่แน่นอน และต้องเป็นรัฐบาลผสมจะเป็นอย่างไร
เป็นยังไงบ้าง กับการมาทำงานการเมือง
นึกว่าตัวเองเป็นแรงงานทาส (หัวเราะ) ตอนที่เป็นนักข่าวเราก็รู้ว่าชีวิตนักข่าวงานหนัก ไม่เป็นเวลา ไม่ค่อยมีชีวิตส่วนตัว ก็คิดว่าไม่น่าจะมีงานอะไรหนักกว่านี้ พอมาเป็นนักการเมือง โดยเฉพาะในช่วงเลือกตั้ง 2-3 สัปดาห์สุดท้ายนี่คือ นอนวันละ 3-4 ชั่วโมง เดินทางเยอะ แต่ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยกายนี่เหนื่อย ปฏิเสธไม่ได้ แต่กำลังใจเวลาไปเจอคนในพื้นที่ เวลามาจับมือ พูดคุย บางคนมาร้องห่มร้องไห้ บอกว่าสู้นะ เอาให้ได้ มันก็เป็นกำลังใจ
อย่างช่วงการเมืองโค้งสุดท้ายของเลือกตั้ง ก็ทำใจไว้แล้วว่าคงมีอะไรสกปรกๆ กลับมาซึ่งมันก็กลับมาจริงๆ มันก็หงุดหงิดใจนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ของเราในการรับมือกับอะไรแบบนี้
ต่างจากที่คิดไว้ไหม ตอนที่จะลงมาเล่นการเมือง
ไม่ต่าง ตอนที่ตัดสินใจเข้ามาทำการเมือง รู้อยู่แล้วว่าเป็นงานหนัก ตอนที่เข้ามาทำงานกับพรรคอนาคตใหม่ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ง่ายแน่นอน เพราะเป็นพรรคที่ชนกับทหารโดยตรง ชนกับผู้มีอำนาจในประเทศ ชนกับอำนาจที่ครอบงำประเทศไทยอยู่ในทุกๆ ทาง เรียกว่าเปิดศึกรอบด้าน ก็เตรียมใจไว้มากพอสมควร จริงๆ เตรียมใจไว้ถึงขั้นจะติดคุกไหม จะลี้ภัยไหมด้วยซ้ำ เตรียมใจไว้ถึงระดับนั้น เรารู้ว่าการทำเรื่องยาก อย่างการเปลี่ยนประเทศเนี่ย ถ้าคุณไม่เสี่ยงหรือไม่เสียอะไรเลยมันเป็นไปไม่ได้ ทำเรื่องยาก ทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ มันก็คงมีราคาที่ต้องจ่าย เราตัดสินใจมาทางนี้ หมายความว่าเราตัดสินใจเสร็จแล้วว่าเราเต็มใจ
วางแผนอนาคตในทางการเมืองเป็นยังไง
อย่างแรกการเป็นนักการเมือง เราไม่ได้คิดว่านักการเมืองเท่ากับต้องเป็น ส.ส. แน่นอน เป็น ส.ส. เป็นผู้แทนราษฎร เป็นบทบาทหนึ่งที่สำคัญ เพราะว่าคุณจะได้เข้าไปผลักดันกฎหมาย ทำนโยบายที่คุณสัญญาไว้ ทำนโยบายที่อยากจะเห็นให้มันเป็นจริงได้ แต่การเป็นนักการเมือง จะอยู่ในตำแหน่งไหนเมื่อเราเข้ามาทำงานการเมือง เมื่อเราตัดสินใจแล้วว่าจะเข้ามา จะอยู่ในตำแหน่งไหนก็ต้องให้เป้าหมายบรรลุผล
เป้าหมายคืออะไร ก็คือสร้างสังคมนี้ เปลี่ยนสังคมนี้ ให้เป็นอย่างที่เราเชื่อว่ามันควรจะเป็น เป็นสังคมที่คนเท่ากัน มีศักดิ์ศรี เหลื่อมล้ำน้อยลง ประเทศไทยไปเท่าทันโลก แข่งขันกับต่างประเทศ กับอารยประเทศได้ ทำสิ่งเหล่านี้ในบทบาทอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นโฆษกพรรค เป็นแค่สมาชิกพรรค เป็นผู้แทนราษฎร หรือเป็นรัฐมนตรีไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าเป้าหมายของเราจะคงเดิม
แต่วงเล็บ ตอนนี้เป็นรัฐมนตรีไม่ได้นะ ต้องอายุ 35 ขึ้นไป ซึ่งเรื่องนี้ตลกมากเลย ชอบมีคนแซว หรือถามจริงจังด้วยว่า ‘คุณช่อต้องเป็นรัฐมนตรีนะ’ ช้าก่อนค่ะ ประเทศไทย จะเป็นรัฐมนตรีต้องอายุ 35 ปีขึ้นไป ก็เป็นกฎหมายที่ไม่ make sense ไม่รู้ว่าอะไรเป็นข้อกำหนด แต่ว่ากฎหมายมันเป็นแบบนี้มา
มีแผนที่จะกลับมาทำงานสื่ออีกไหม
อนาคตอันไกลมากๆ ไม่แน่นะ ถ้าเกษียณจากการเมืองแล้ว เราไม่รู้จะทำงานการเมืองไปตลอดชีวิตหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายของเรามันบรรลุผลเร็วหรือช้า ถ้าเราเปลี่ยนประเทศได้ สังคมนี้มันน่าอยู่ดีพอแล้ว อาจจะยังไม่ดีที่สุด คำว่าดีที่สุดมันไม่มีหรอก มันต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ แต่ว่าถ้าเรารู้สึกว่ามันดีพอแล้ว เกษียณจากการเมืองไปเป็นสื่อก็เป็นไปได้นะ อยากไปทำรายการวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศที่เราถนัด ทำรายการท่องเที่ยว หรือว่าไปทำงานข่าวจริงจัง สารคดีอะไรแบบนี้
แต่ว่าถ้าจะถามว่าถ้าเลือกตั้งไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าพรรคถูกยุบกลับไปทำนักข่าวไหม คิดว่าตอนนี้เราตัดสินใจแล้วว่าตอนนี้เราเป็นนักการเมือง เราทำงานการเมือง ต่อให้เผชิญอะไรหนักหน่วงแค่ไหน งานการเมืองคงเป็นงานที่เรามุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำสำเร็จ ถ้ายังไม่สำเร็จคงไม่กลับมาเป็นนักข่าว
พูดถึงเลือกการเลือกตั้ง คุณช่อคิดว่า Scenario หลังเลือกตั้งจะเป็นยังไง มีโอกาสไหมที่จะมีรัฐบาลแห่งชาติ
พูดกันตรงไปตรงมา คนคาดหวังมากว่า หลังเลือกตั้งทุกอย่างจะดีขึ้น เนื่องจากมันเป็น 8 ปีที่ไม่มีเลือกตั้งที่สมบูรณ์ เลือกตั้งครั้งล่าสุดก็เป็นโมฆะ แต่ปีนี้คนอัดอั้น คนคับข้องใจไปจนถึงคับแค้นใจ และไม่ผิดที่เขาจะคิดว่ามันจะดีขึ้นหลังเลือกตั้ง แต่ความคิดนั้นอาจจะไม่เป็นจริง เผลอๆ หลังเลือกตั้งสถานการณ์อาจยิ่งเข้มข้น หนักหน่วง สำหรับประเทศไทย
ทำไมถึงพูดแบบนั้น ก็เพราะว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่เหมือนกับการเปลี่ยนแจ็คเก็ตให้เผด็จการเฉยๆ คสช.ได้วางหมากวางเกมทุกอย่างเอาไว้แล้ว เป็นผู้กำกับกำหนดกติกาทุกอย่าง ร่างรัฐธรรมนูญ เลือกองค์กรอิสระ กำหนดยุทธศาสตร์ชาติไว้แล้ว และเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งโดยมีพรรคของตัวเอง เพราะฉะนั้นนี่คือการเปลี่ยนผ่านให้ คสช.จากองค์กร จากคณะบุคคล กลายเป็นระบอบ หลังเลือกตั้งคำว่า คสช.หายไป ไม่มีอีกแล้ว แต่ระบอบ คสช.ยังคงอยู่ในฐานะรัฐธรรมนูญ ในองค์กรอิสระ ใน ส.ว. 250 คนที่เขาตั้งมา ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล สิ่งนี้ยังคงครอบงำประเทศไทยอยู่ พูดกันแบบระยะสั้นเลย จริงๆ แล้วอาจจะเป็นคุณประยุทธ์อีกครั้งด้วยซ้ำ เป็นประยุทธ์ 2 ที่บริหารประเทศต่อ เพราะมี ส.ว. 250 ส.ว. รองบ่อนอยู่ในมืออยู่แล้ว มีพรรคการเมืองที่พร้อมจะไปสนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช.เพื่อให้ตัวเองได้เป็นรัฐบาล
และ scenario แบบนี้จะทำให้เกิดอะไร คุณประยุทธ์ไม่ว่าจะยังไงก็คงไม่สามารถได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่ว่าจะได้เป็นนายกฯ จากการสนับสนุนของ ส.ว.หรือ ถ้าสมมติได้เสียงข้างมาก ก็จะไม่ใช่เสียงข้างมากที่เด็ดขาด จะเป็นเสียงข้างมากข้างในสภาผู้แทนราษฎรที่ปริ่มๆ สุดๆ หมายความว่าภายในเดือนกันยายนที่จะต้องมีการผ่านร่างพระราชบัญญัติงบประมาณแผ่นดิน มีความเป็นไปได้สูงที่คุณประยุทธ์จะผ่านร่างงบประมาณแผ่นดินไม่ได้ เมื่อผ่านไม่ได้ ก็จะเกิด deadlock ซึ่งจะมีความเป็นไปได้ว่าไม่รัฐประหาร ก็รัฐบาลแห่งชาติ
ซึ่งคำว่ารัฐบาลแห่งชาติอาจจะฟังดูดี ดูสวยหรู แต่ประเด็นก็คือรัฐบาลประชาธิปไตยไม่มีวันที่จะเป็นรัฐบาลแห่งชาติได้ รัฐบาลแห่งชาติหมายความว่า เป็นกลไกที่เรียกง่ายๆ ว่ารัฐประหารเงียบ คือไม่จำเป็นต้องรัฐประหารเอารถถังมา มารวมกัน ฮั้วกันเป็นรัฐบาลแห่งชาติ และไปข้างหน้าต่อแบบนั้น เราคิดว่ามันไม่นำไปสู่ประชาธิปไตยที่มากขึ้น มันอาจทำให้ประเทศไปต่อได้ แต่ไปแบบผิดทาง แล้วนี่ยังไม่นับว่าเกิดคุณประยุทธ์ได้เป็นนายกอีกสมัย ถ้าประชาชนโกรธแค้นลงถนนขึ้นมา ก็จะเป็นชนวนเหตุให้เกิดรัฐประหาร หรือรัฐบาลแห่งชาติอยู่ดี เพราะว่าหลังเลือกตั้งมันจะมีอยู่แค่ 2-3 ทางเลือก คือ deadlock, รัฐประหาร และรัฐบาลแห่งชาติ
แต่ถามว่าเห็นแบบนี้จะเข้ามาเลือกตั้งทำไม หลอกประชาชนหรือเปล่า บอกว่าเปลี่ยนได้ หวังได้ แต่ก็เพราะว่าเราเห็นว่ามันเป็นแบบนี้ เราเห็นว่า scenario ที่จะเกิดขึ้นเป็นแบบนี้ จึงจำเป็นต้องมีพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย มีพรรคที่บอกว่าแม้แต่รัฐบาลแห่งชาติที่ฟังดูดี ฟังดูสวยหรู มันไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องตามหลักประชาธิปไตย
คุณไม่มีทางได้ประชาธิปไตยมาด้วยวิธีที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องพูดซ้ำให้เข้าใจตรงกัน คุณหวังว่าการรัฐประหารจะแก้คอร์รัปชัน ทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยขึ้น มันจะเป็นไปได้ยังไง ด้วยวิธีที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องมีพรรคอย่างอนาคตใหม่เข้าไปในสภา เพื่อไปเป็นสมอเรือ เป็นหลัก เป็นหมุด เป็นอะไรบางอย่างที่อย่างน้อยเสียงเราจะมากจะน้อยแค่ไหน อย่างน้อยมีคนที่ยืนยันในสภาว่าจะแก้ปัญหาได้ต้องแก้ที่รัฐธรรมนูญ ทำใหม่ให้มันเป็นประชาธิปไตย ใช้เวลานานก็ไม่เป็นไร แต่ว่ากระบวนการต้องเริ่มเลย ล้มล้างระบบ คสช.ให้ได้ ไม่งั้นอยู่กันไปแบบนี้ประเทศมีแต่ทางตัน พัฒนาต่อไปตามรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนที่ประชาชนต้องการ ทำไม่ได้ จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองแบบนี้อยู่ในสภา
ถามว่าทำไมต้องอยู่ในสภา เพราะเรารู้ว่าคนไทยเบื่อแล้วกับการเมืองนอกสภา เบื่อแล้วกับความขัดแย้ง การที่ต้องมาต่อสู้กันบนถนน และคนก็ตายเปล่า เราเชื่อมั่น และเคารพในสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม แต่ว่า 10 กว่าปีที่ผ่านมาเห็นแล้วว่าการชุมชุมบนท้องถนนสุดท้ายไม่ได้นำไปสู่อะไรเลยนอกจากความตายของประชาชน ความเดือดร้อนวุ่นวาย สิทธิเสรีภาพการชุมนุมเป็นของทุกคน แต่ว่าในประเทศที่บอบช้ำขนาดนี้ อย่าให้คนต้องมาตายบนถนนอีกเลย แก้ปัญหาในสภา ชุมนุมบนท้องถนนชุมนุมได้ แต่เพื่อให้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง มันเสี่ยงไปที่จะนำไปสู่ความตาย ทำในสภา ช้ากว่า ยากกว่า แต่ว่ามันจะเป็นวิธีที่สันติที่สุด
จากที่บอกว่าจะมี scenario ที่มี deadlock หรืออาจมีการทำรัฐประหารอีกรอบ ทางพรรคจะทำยังไง
เรื่องแบบนี้ถ้ากลัวว่ามันจะเกิดขึ้น เราจะไม่ได้ทำอะไรเลย ถ้าเกิดอยู่ในการเมืองของความกลัว ประเทศก็จะอยู่แบบนี้ ก็จะดักดานอยู่แบบนี้ ไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำอะไร ไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยน เราอาจจะมองเห็น scenario ที่เป็นไปได้ในทางเลวร้ายว่ามันจะเป็นอย่างไร การเห็น scenario แบบนั้น ผลลัพธ์ไม่ควรจะเป็นเรากลัว และเลิกทำ เมื่อเห็นแบบนั้นเราต้องคิดทุกวิถีทางว่าทำยังไงไม่ให้มันเดินไปสู่จุดนั้น
เราจะสร้างทางออกทางใหม่ยังไง ไปสู่อนาคตได้ยังไง เมื่อเรารู้ว่ากำลังของเราอย่างเดียว ของพรรคเดียวไม่พอ ผนึกกำลังทั้งในสภา นอกสภา พรรคการเมืองฝั่งประชาธิปไตย และประชาชนที่อยากเห็นประเทศนี้มีประชาธิปไตยจริงๆ สักที ทำร่วมกัน เราเชื่อว่าการเมืองแห่งความกลัวมันจะจบในยุคของ คสช. ยุคต่อไปยุคการเมืองแห่งความหวัง อุปสรรคขวากหนามอะไรยังอยู่ แต่ถ้าประชาชนร่วมกัน เราเชื่อว่าประชาชนคือองคาพยพที่ใหญ่ที่สุดของประเทศนี้ เพราะคุณมีกัน 70 ล้านคน ถ้าร่วมกันแล้วสร้างความเปลี่ยนแปลงจากนอกสภา ในสภาสามารถเปลี่ยนได้ ส.ว.จะมาจากการแต่งตั้งของใครก็ตาม แต่สังคมกดดันจริงๆ เราเชื่อว่าทำได้
เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ เรื่องของการฝ่าสภาวะ deadlock ต่างๆ ทางการเมืองในสภา การป้องกันรัฐประหารไม่ให้เกิดขึ้น ถ้าประชาชนเลิกที่จะเชื่อว่ารัฐประหารคือทางออก เลิกที่จะเชื่อว่าการรัฐประหารจะทำให้เป็นประชาธิปไตยได้มากขึ้น นำไปสู่ทางออกของประเทศ ถ้าประชาชนเลิกเชื่อแบบนั้นการรัฐประหารเกิดขึ้นไม่ได้
คุณธนาธรเพิ่งพูดไปว่าสมมติ พลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ทำรัฐประหารขึ้นมาวันนี้ วันรุ่งขึ้น ส.ส. 500 คนเปิดสภาเลยบอกว่าอำนาจอธิปไตย รัฏฐาธิปัตย์อยู่ที่สภา พลเอก อภิรัชต์ จะกล้ายิง ส.ส.ทั้ง 500 คนนี้ไหม หรืออาจจะกล้า แต่ว่าลองดูว่าถ้า ส.ส.ไม่ยอมกับการรัฐประหารจะเปิดประชุมสภาแล้วบอกว่ารัฐประหารครั้งนี้ผิดกฎหมาย ไม่ชอบธรรม เป็นกบฏ คุณจะกล้าปิดสภา และยิงคนทั้งสภาไหม เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิด ถ้าเกิดคนทั้งประเทศบอกว่าไม่เอาแล้วรัฐประหาร ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถ้าคุณกล้าทำตามมติของประชาชน ไม่มีใครทำอะไรได้
ถ้าเข้าไปอยู่ในสภา เงื่อนไขในการร่วมรัฐบาลของพรรคมีอะไรบ้าง
พรรคอนาคตใหม่ยืนยันเสมอในหลักการของการจัดตั้งรัฐบาล มี 3 เงื่อนไขที่เราไม่ประนีประนอม
- ยุติการสืบทอดอำนาจของ คสช. ไม่ใช่แค่พลเอกประยุทธ์ คือระบอบ คสช.ทั้งหมด
- แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ย้ำว่าทั้งฉบับ แก้นิดแก้หน่อยไม่เอา ไม่ได้ ต้องร่างฉบับใหม่
- ล้มล้างผลพวงของการรัฐประหาร อะไรที่ คสช.ทำเอาไว้ วางเอาไว้ สร้างความเดือดร้อน กฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ คดีความต่างๆ ที่ดำเนินกับศัตรูผู้เห็นต่างทางการเมืองเหล่านี้ต้องล้มล้าง กำจัดออกไปให้หมด ถึงจะเดินหน้าไปสู่ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงได้
3 เรื่องนี้ไม่ประนีประนอม จะร่วมรัฐบาลกับใคร ไม่ได้อยู่ที่ชื่อพรรค อยู่ที่ว่ารับเงื่อนไข 3 เรื่องนี้ได้หรือไม่ ถ้ารับได้ก็ร่วมรัฐบาลกันได้ และอีกอย่างการร่วมรัฐบาลจะทำให้เป็นบรรทัดฐานทำเหมือนประเทศที่เป็นอารยประเทศทำ อย่างเช่นเยอรมนี คือจะร่วมรัฐบาลกับใคร คุณทำ MOU ทำเลยเป็นเอกสาร และประกาศต่อสาธารณะ ไม่มีการไปจับมือกินโต๊ะจีนโรงแรม ออกมาจับมือ ถ่ายรูป จบ ไม่รู้ว่าข้างหลังคุณไปตกลงเจรจากันไว้ยังไงบ้าง ให้อะไรกับใคร แลกเปลี่ยนอะไรกับใคร เราจะไม่ทำแบบนั้น เราจะเซ็น MOU บอกไปเลยว่าเราร่วมรัฐบาลกับพรรคนี้ ด้วยเงื่อนไขอะไร ข้อตกลงคืออะไร และเราจะทำนโยบายอะไรให้สังคม นี่คือสิ่งที่ต้องประกาศต่อสาธารณชน เพราะพรรคอนาคตใหม่บอกว่า เราคือพรรคที่เป็นของประชาชน มีเจ้านายคือประชาชน ต้องให้เจ้านายของเราเป็นผู้ที่รู้ว่าเราจะทำงานอะไรต่อไป ด้วยเหตุผล และเงื่อนไขอะไร
เรื่องที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีกระบวนการในเรื่องแก้ไขยังไงได้บ้าง
แก้ไขรัฐธรรมนูญคือสิ่งสำคัญที่สุด เป้าหมายของพรรคอนาคตใหม่คือเปลี่ยนประเทศไปสู่สังคมที่เท่าเทียม และเป็นธรรม จะเปลี่ยนได้คุณก็ต้องเป็นรัฐบาล จะเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจในการบริหารประเทศจริง ต้องไม่มีรัฐธรรมนูญ 60 และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตร์ชาติที่ทำอะไรไป องค์กรอิสระที่ คสช. ตั้งมา อาจจะบอกว่าพรรคคุณขัดต่อยุทธศาสตร์ชาติ และโดนยุบพรรคไปได้ และรัฐบาลก็ล่มสลายไป จะเป็นรัฐบาลที่เปลี่ยนประเทศได้จริง ต้องล้มล้างระบบ คสช.
แก้รัฐธรรมนูญคือก้าวแรก กว่าจะสำเร็จ และได้ฉบับใหม่ที่เป็นของประชาชนต้องผ่านการประชามติถึง 3 ครั้ง หมายความว่าใช้เวลานานหลายปีแน่นอน การร่างก็ต้องนานเพราะต้องฟังเสียงทุกคน ให้มันเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยฉบับประชาชนที่ทุกคนมีสิทธิออกความคิดเห็น ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายจริงๆ มันก็ต้องใช้เวลานาน แต่เนื่องจากต้องใช้เวลานานนี่แหละ จึงเป็นสิ่งแรกที่จะทำ แม้จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่สำเร็จ เพราะถ้าไม่เริ่มเลยตั้งแต่ตอนนี้ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะใช้เวลานาน แล้วชาติไหนจะสำเร็จ แล้วเมื่อไหร่ประเทศนี้จะมีรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ พาประเทศไปข้างหน้า แก้ปัญหาปากท้องได้จริง
ทิศทางในอนาคตถ้าเข้าไปในสภา ถ้าเป็นรัฐบาลจะทำอะไรที่เป็นรูปธรรม ถ้าเป็นฝ่ายค้านจะทำอะไร
ถ้าเป็นรัฐบาล 2 ขาก้าวไปพร้อมกัน เรื่องของเศรษฐกิจปากท้อง และเรื่องการเมือง เราบอกชัดว่าทั้ง 2 อย่างนี้เป็นเรื่องเดียวกัน แก้ไปพร้อมๆกัน เราพูดกันเรื่องปัญหาการเมืองมาแล้ว ว่าแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องยาวและยาก แต่ต้องรีบทำ ขาขวาเดินหน้าเรื่องแก้การเมืองไป ล้มล้างระบบรัฐประหาร แก้รัฐธรรมนูญ ขาซ้ายเดินเรื่องเศรษฐกิจปากท้องที่รอไม่ได้อีกแล้ว
2 เรื่องหลักๆ ที่ควรแก้ทันที และทำได้เลย คือเรื่องของเกษตรก้าวหน้า และการแก้ปัญหาประมง เรื่องของประมง 4 ปีที่ผ่านมาแก้ปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย (IUU) เรือจอดไป 7 พันลำ คนตกงานไปปีละ 8 หมื่น มูลค่าสินค้าส่งออกประมงลดลงไป 5 แสนล้าน นี่คือความเสียหายมหาศาล คนเดือดร้อน ชาวประมงเจ๊งไปหมด โดยเฉพาะรายย่อย ตรงนี้ต้องแก้ได้ทันที กฎหมายที่ออกโดย คสช. 2-3 ร้อยฉบับ ช่วง 4 ปีที่ผ่านมาโละให้หมด ตั้งกรรมการที่มีตัวแทนของทุกภาคส่วน NGO ด้านสิ่งแวดล้อม ตัวแทนประมงพาณิชย์ ตัวแทนประมงท้องถิ่น ประมงขนาดใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ให้ ตัวแทนของ EU เข้ามาทำกฎหมายที่จะสอดคล้องกับวิถีประมง ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ด้านมนุษยชนของ EU ด้วย ทำให้เกิดขึ้นได้
เรื่องพวกนี้ภายใน 6 เดือนทำได้ ไม่มีอะไรยาก ฟื้นฟูทำกองทุน ฟื้นฟูยาวๆ ชาวประมงที่ได้รับผลกระทบ อันนี้ต้องทำทันที เกษตรก้าวหน้าก็เช่นกัน เวลาเราบอกว่า เราเชื่อเรื่องของการประกันราคาจำนำราคา เราเชื่อเรื่องของเกษตรก้าวหน้า ให้เกษตรกรได้รวมตัวกัน เป็นเจ้าของโรงงานแปรรูป เปลี่ยนเกษตรกรจากผู้ขายวัตถุดิบเป็นผู้ประกอบการขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ฟังดูเหมือนเป็นทฤษฎีที่ยาวมากกว่าจะทำให้สำเร็จ ไม่จริง โรงงานนำร่องในทุกภาคตั้งได้เลยภายใน 1 ปี และภายใน 4 ปีทั้งประเทศเราเชื่อว่าทำได้ การตั้งโรงงานไม่ได้ใช้เวลาขนาดนั้น แล้วก็เป็นสิ่งที่จะแก้ปัญหาอย่างระยะยาว อย่างยั่งยืนให้เกษตรกรยืนบนขาของตัวเองได้ เติมเงินในรากฐานของประเทศให้ประมง เกษตรกร คนส่วนใหญ่ของประเทศ เศรษฐกิจฐานรากที่พังอยู่ตอนนี้มีการแก้ไข ก้าวไปข้างหน้าได้
ถ้าเป็นฝ่ายค้าน ขาการเมืองไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เรายังเดินหน้าได้เหมือนเดิม สมมติถ้าคุณมีผู้แทนราษฎรในสภา 25 คน คุณก็เสนอกฎหมายได้ เรื่องแก้รัฐธรรมนูญจะเสนอแล้วมีคนเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับเรา ก็ต้องเสนอ และเราจะไม่ได้ทำงานแค่ในสภา นอกสภาเราจะทำงานด้านความคิด ขับเคลื่อน แคมเปญแก้รัฐธรรมนูญ ทำให้เป็นกระแสของสังคม ทำให้คนทั้งประเทศเข้าใจตรงกันให้ได้ว่า ถ้าไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ สร้างรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน ประเทศนี้เดินหน้าต่อไปไม่ได้ เราจะกำหนดอนาคตของตัวเองไม่ได้ เราจะอยู่ภายใต้ คสช. ตลอดไป เรื่องนี้เป็นฝ่ายค้าน หรือเป็นรัฐบาลก็ต้องทำ และสามารถทำได้ เราในสภา ประชาชนนอกสภา ทำร่วมกัน
กระบวนการทั้งหมดที่พูดมาดูจะใช้เวลามากกว่าการเป็นรัฐบาลสมัยหนึ่ง 4 ปี คิดว่าต้องไปถึงเมื่อไหร่
อย่างแก้ปัญหาเศรษฐกิจรากฐานระยะต้น บอกแล้วว่าภายใน 1 ปี และ 4 ปีทำได้เลย ภายใน 1 สมัย แต่ว่าแน่นอนการเปลี่ยนประเทศที่มีปัญหามาตลอด 87 ปีที่ได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตย คงไม่ได้ทำสำเร็จใน สมัยเดียวของการเป็นรัฐบาล และพรรคอนาคตใหม่พูดเสมอว่าเราไม่ได้มองการเลือกตั้งเพียงแค่ครั้งเดียว ไม่ใช่พรรคที่ทำงานระยะสั้น ที่สำคัญเป้าหมายของเราไม่ใช่การเป็นรัฐบาล ไม่ใช่การเป็นรัฐมนตรีด้วยซ้ำ เป้าหมายเราคือการเปลี่ยนประเทศ แต่การจะเปลี่ยนประเทศจำเป็นต้องเป็นรัฐบาล เป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส.มันถึงต้องเข้าไปในสภา หมายความว่าเป้าหมายไกลที่สุดคือการเปลี่ยนประเทศ
คุณจะผ่านการเลือกตั้ง จะชนะ หรือแพ้อีกกี่ครั้งก็ตาม เป้าหมายก็ยังคงเดิมอยู่ข้างหน้าก็คือการเปลี่ยนแปลง ผลักดันประเทศนี้ไปสู่สังคมที่เท่าเทียมกัน ประเทศที่ก้าวทันโลกให้ได้ เป้าหมายอยู่ตรงนั้น ระหว่างทางจะเป็นฝ่ายรัฐบาลบ้าง ฝ่ายค้านบ้าง นี่คือเกมระยะยาว คุณอย่าคิดว่าประเทศที่เป็นปัญหาระดับนี้จะแก้ได้โดยรัฐบาลเดียว เก่งแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เราถึงต้องมีประชาชนคอยอยู่กับเรา หนุนหลังเรา เพราะงานที่ระยะยาวขนาดนี้ ถ้าไม่ได้พลังของประชาชน ไม่ได้ความคิดเห็น มติของประชาชนว่ามันต้องเป็นแบบนี้จริงๆ เราก็จะทำไม่สำเร็จ
จากพรรคที่คนเคยมองว่าไร้เดียงสา เป็นพรรคหน้าใหม่ มองว่าตอนนี้พรรคเปลี่ยนแปลงไปยังไง
พรรคก็ยังเป็นพรรคที่ไร้เดียงสา และพรรคหน้าใหม่อยู่ คำว่าไร้เดียงสาเราไม่อยากที่จะสูญเสียมันไป เราจะโดนบอกว่าเด็กอ่อน ไม่มีประสบการณ์ ฮิปสเตอร์ เป็นพรรคเด็กลองของ หรืออะไรก็ตาม เราเชื่อว่า 87 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าพรรคการเมืองเก่าแก่เขี้ยวลากดินที่เป็น ส.ส.มา 10 สมัยไม่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขาพัฒนาประเทศให้ไปข้างหน้าได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตรงข้ามอย่างความใหม่ ความไม่มีประสบการณ์ ความไร้เดียงสาทางการเมืองไม่ได้พิสูจน์เหมือนกันว่าจะไม่สามารถทำให้ประเทศไปข้างหน้าได้
ในทางกลับกัน ความใหม่นี้ต่างหากคือจุดแข็ง ความไร้เดียงสาทางการเมืองนี้ต่างหากคือจุดแข็งให้เราแตกต่าง เพราะว่าคนที่มีประสบการณ์ คุณเรียนรู้มาก่อน อาจจะรู้สึกว่าได้เปรียบอะไรบางอย่าง ในขณะเดียวกันมันทำให้คุณชินกับของเก่า คุณอยู่ในระบบเดิม คุณ enjoy กับผลประโยชน์ที่ได้ในระบบนั้น และคุณก็ชินกับมัน จนลืมไปว่ามีคนจำนวนมากสูญเสียประโยชน์จากโครงสร้างนั้น คุณเลยไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหา
เราคือคนที่ไมได้อยู่ในระบบนั้น เราคือคนที่มองแล้วเห็นว่ามันเป็นปัญหา และต้องเปลี่ยน ต้องแก้ไข และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ ความใหม่ต่างหากจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ความไม่พอใจในสิ่งเก่าเท่านั้น จะนำไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า ถ้าคุณพอใจกับสิ่งเก่าอยู่แล้วจะไปสร้างสิ่งใหม่ทำไม ความไร้เดียงสาถ้าจะหมายถึงการไม่เชื่อในการเมืองที่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องมีป้ายเยอะๆ เต็มถนน ไม่เชื่อว่าต้องซื้อสิทธิขายเสียง ถึงจะชนะเลือกตั้งได้ ถ้านี่คือสิ่งที่เรียกว่าความไร้เดียงสา เราขอไร้เดียงสาแบบนี้ตลอดไป อีก 50 ปีพรรคอนาคตใหม่ก็จะยังไร้เดียงสาแบบนี้
ตัวพรรคเองดูยืดติดกับภาพของคุณธนาธร ถ้าไม่มีคุณธนาธร หรือปิยบุตร จะทำยังไงให้พรรคเป็นสถาบันที่ยังอยู่ได้
เราพูดเสมอว่าพรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่สถานที่ พรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่แค่พรรคการเมือง ไม่ใช่แค่สถาบัน แต่คือผู้คน แน่นอนในการที่จะทำอะไรบางอย่างย่อมมีคนที่มีบทบาทแตกต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่อยู่แถวหน้า ที่มี spotlight ส่องคือคนที่มีบทบาทสูงสุด สำคัญที่สุดของพรรค ในพรรคมีคนที่ทำงานอยู่ข้างหลังมากมายก่อนที่ธนาธรจะออกไปพูดอะไร มีคนที่ช่วยเตรียมข้อมูล ทำงานอยู่ด้วยกันอย่างขยันขันแข็งมากมาย และเขาไม่ต้องการให้ spotlight ส่องที่เขา
เป้าหมายของเราคือสิ่งเดียวกัน คนแต่ละคนทำหน้าที่ต่างกัน มีความถนัดต่างกัน นี่คือพรรคอนาคตใหม่ สำคัญยิ่งกว่านั้นคือทำไมถึงบอกว่าพรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่สถานที่ แต่คือผู้คน ไม่ว่าคุณจะบอกว่าคุณธนาธรเป็นคนเด่น เป็นตัวนำของพรรคยังไงก็ตาม สิ่งที่เราพูดเสมอก็คือคนทุกคนเปลี่ยนประเทศนี้ได้ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเป็นฮีโร่ ประเทศนี้ร้ายแรงหนักหน่วงเกินไป ปัญหาที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงหนักหน่วงเกินไปที่คนเดียวจะกอบกู้ประเทศ ไม่มีอัศวิน หรือนารีขี่ม้าขาว คนเป็นแสนเป็นล้านรวมกันเท่านั้นถึงจะเปลี่ยนประเทศนี้ได้
และพรรคอนาคตใหม่มาได้ไกลขนาดนี้ในเวลา 10-12 เดือน เพราะว่าเราเจ๋งหรือ เพราะว่าเรามีธนาธรหรือ ไม่จริง แต่เป็นเพราะว่ามันมีคนที่คิดแบบนี้อยู่ในประเทศไทยเต็มไปหมด แต่ไม่เคยมีใครลุกขึ้นมา และตะโกนดังๆ ว่าเราคิดแบบนี้ เราคิดว่าประเทศไทยต้องเปลี่ยน และต้องเปลี่ยนโดยให้ผลประโยชน์ตกถึงมือประชาชน ให้สังคมเท่าเทียมเป็นธรรมกว่านี้ พอมีคนคนหนึ่ง คน 10-20 คน ลุกขึ้นมาตะโกน และ spotlight ส่อง คนทั้งประเทศเลยรู้ว่าคนที่คิดแบบเราก็มีเหมือนกัน แล้วก็มายืนรวมกันอยู่ในที่เดียว นี่คือพรรคอนาคตใหม่ เป็นแบบนั้น
การที่บอกว่าธนาธร ปิยบุตร คนที่เป็นแกนนำพรรคไม่กี่คนที่เป็นคนตะโกนแล้วมี spotlight ส่องว่าเราคิดแบบนี้นะ และทำให้คนมารวมกัน คือคนที่สำคัญที่สุดของพรรค ไม่ใช่ เขาเป็นจุดเริ่มต้นก็จริง แต่เขาไม่ใช่จุดสุดท้าย ไม่ใช่จุดความสำเร็จของพรรคแน่ๆ ความสำเร็จของพรรคจะเกิดขึ้นได้ก็คือมีคนเป็นล้านๆ คนที่รู้แล้วว่าคนที่คิดแบบเรา มี และมีเยอะ มารวมตัวกันเรื่อยๆ และเดินหน้าไปด้วยกัน นี่คือพรรคอนาคตใหม่
ตอนนี้การเมืองไม่ใช่แค่สีไหน สีไหน ตีกัน แต่เป็นเรื่องวัยด้วย มองการเมืองครั้งนี้ที่มีการประทะเรื่องของวัยยังไง
เวลาเราพูดว่าพรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ก็ต้องบอกก่อนว่าเราไม่เคยบอกว่าเราเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่เลย เป็นสิ่งที่สื่อขนานนามให้ เราต้องบอกเสมอว่าคนรุ่นใหม่ในความหมายของเราไม่ใช่คนอายุน้อย พรรคการเมืองทุกพรรคตอนนี้ไปโฟกัสที่คนอายุ 18-26 First Time Voters เพราะรู้ว่าเขามีส่วนสำคัญจะกำหนด 100 ที่นั่งในสภา
แต่สำหรับเรา เราบอกเลยว่า คนรุ่นใหม่ไม่ใช่แค่อายุ 18-26 ปี ไม่ใช่เด็กวัยรุ่น เด็กมหาวิทยาลัย แต่คือคนที่ไม่ยอมจำนน ต้องการความเปลี่ยนแปลง คิดในสิ่งใหม่ๆ เชื่อในสิ่งใหม่ๆ เชื่อในความเป็นไปได้ใหม่ๆ นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่าคนรุ่นใหม่ จะอายุ 60-70 ปี ถ้าคุณยังเปิดกว้างกับความเปลี่ยนแปลง ยังต้องการความเปลี่ยนแปลง คุณก็คือคนรุ่นใหม่เหมือนกัน
และเราไม่ได้มองคนอายุ 18-26 เป็นแค่คะแนนเสียง เป็นตัวเลข เพราะว่าพวกคุณคือคน พวกคุณไม่ใช่บัตรเลือกตั้ง ไม่ใช่บัตรสี่เหลี่ยม ความสำคัญของพวกคุณไม่ใช่แค่ว่าคุณกำหนด 100 ที่นั่งในสภาอย่างเดียว
ที่สำคัญกว่าคือพวกคุณคือเจ้าของอนาคต พวกคุณคือคนที่จะอยู่ในประเทศนี้ไปอีก 50-60 ปี และเป็นเจ้าของอนาคตของประเทศ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่พวกคุณจะกำหนดอนาคตของตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นมากำหนด กำหนดโดยการใช้สิทธิใช้เสียงเลือกคนที่คิดว่าเป็นตัวแทนของพวกคุณได้เข้าไปในสภา
ไม่ว่าจะเป็นคนวัยไหน ไม่มีความแตกต่างกัน คนทุกวัยมีความหวังถึงอนาคตใหม่ที่ดีขึ้นได้ หรือว่ามีความคิด conservative ก็ได้เหมือนกัน ในเวทีของพรรคการเมืองที่เป็น conservative เขาก็มีคนทุกวัยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องของความ crash ของวัยในฝั่งประชาชน
แต่ถ้าในฝั่งของนักการเมือง เชื่อว่ามีความพยายามที่จะแข่งขันกันว่าเอาคนรุ่นใหม่เข้ามาเติมพรรค ที่จะเอาฐานเสียงที่เป็นคนรุ่นใหม่ การคิดแบบนั้นออกจะเป็นการคิดที่ผิวเผินเกินไปสักนิด การเอาคนอายุน้อยเข้ามาทำงานการเมือง แต่ความคิดของคุณมันไม่ได้ใหม่ การทำงานการเมืองของคุณมันไม่ได้ใหม่ เขามองเขาก็รู้ ไม่ใช่ว่าคุณหน้าเด็ก คุณเป็นเด็ก แล้วคุณจะเป็นตัวแทนของเด็กได้ ไม่จำเป็น
ดูในอังกฤษ Jeremy Corbyn นี่แก่นะ แต่เขาเป็นคนที่เป็นฮีโร่ เป็นคนที่คนรุ่นใหม่ชอบมากในอังกฤษ ดู Bernie Sanders ในสหรัฐอเมริกา นี่เป็นคุณลุงมากๆ ลุงกว่าลุงตู่ แต่ว่าเขาคือความหวังของคนหนุ่มสาวในสหรัฐอเมริกา นี่คือตัวอย่าง ไม่ใช่เรื่องของวัยแต่เป็นเรื่องของทัศนคติ คือสิ่งที่สำคัญ
ถ้าเข้าไปในสภาแล้วเจอเรื่องวัย ความอาวุโส คุณช่อจะทำยังไง ตอบโต้ยังไง
ก็มาสิคะ (หัวเราะ) ต้องค่อยๆ ปรับทัศนคติกันไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนักการเมืองอายุน้อย นักการเมืองหญิง นักการเมืองหลากหลายทางเพศ ความที่เราไม่ได้เป็น mainstream ทั้งเรื่องเพศ เรื่องวัย เรื่องความไม่ใช่ลูกหลานตระกูลใหญ่ ไม่ใช่ลูกหลานนักการเมืองเก่า ทั้งหมดนี้อาจทำให้เรารู้สึกว่าเราแปลกแยกกับการเมืองที่ผ่านๆ มา แต่เราเชื่อว่าในการเมืองแบบศตวรรษที่ 21แบบนี้ ในการเมืองยุคที่คนไทยรู้สึกว่าต้องสร้างความเปลี่ยนแปลง การมีนักการเมืองที่หน้าตาเหมือนคนธรรมดาบนท้องถนนมากที่สุดคือจุดแข็ง การที่นักการเมืองด้วยกันจะมองเรายังไงไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญที่ว่าประชาชนมองเรายังไง เชื่อเรายังไงมากกว่า
คนรุ่นใหม่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเลือกตั้งกันมาก่อน
นอกจากคุณกำหนด 100 ที่นั่งในสภา ก็คือพลังของคนรุ่นใหม่เนี่ยเรียกว่าพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่สำคัญมากสำหรับประชาธิปไตยก็คือพวกคุณคือ generation ที่กระตือรือร้นกับการแสดงออกมาก เป็น generation ที่แสวงหาความเป็นตัวตนของตัวเองผ่านการแสดงความคิดเห็น ผ่านการคอมเมนต์ ไลก์ แชร์ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งตรงนี้คือพลังที่ยิ่งใหญ่มาก
ส่วนหนึ่งที่พรรคอนาคตใหม่มาได้ไกลขนาดนี่ก็เพราะว่าผู้สนับสนุนของเรามีจำนวนมากที่เป็นกลุ่มของคนอายุน้อยๆ ไลก์ แชร์ และผลิตสื่อของตัวเองกันขึ้นมามหาศาล เราเชื่อว่านี่คือสีสัน คือความเบ่งบานของประชาธิปไตย คุณจะสามารถเปลี่ยนประเทศนี้ได้แน่นอนด้วยเฟซบุ๊ก ด้วยทวิตเตอร์ อย่าคิดว่ามันเป็นแค่กระแส hashtag เดี๋ยวนี้อย่าคิดว่าเป็นแค่กระแส มันคือการชุมนุมในโลกออนไลน์ ทุกวันนี้คุณไม่ต้องมาเดินบนถนนแล้ว คุณอยู่บนโลกออนไลน์คุณชุมนุมกันได้ในเรื่องเดียวกันโดยติด hashtag
ทำให้ประชาธิปไตยของประเทศไทยสมบูรณ์ขึ้น มีคุณภาพ และมีชีวิตชีวามากขึ้น และนี่คือสิ่งที่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้ อย่ารอแค่วันเลือกตั้ง วันเลือกตั้งสำคัญมากๆ แน่นอน แต่นั่นมันแค่วันเดียว แค่ 10 วินาทีในคูหาเลือกตั้ง แต่ระหว่างนี้ ก่อนหน้านี้ หลังจากนี้ เปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้ โดยการแสดงพลังของคุณออกมา อยากให้ประเทศเป็นแบบไหน แสดงความคิดเห็น ช่วยกันไลค์กันแชร์ในคอนเทนต์ที่คุณรู้สึกว่าคุณเชื่อในมัน นี่คือพลังของคนรุ่นใหม่จริงๆ
คนรุ่นใหม่กระตือรือร้นกับการเลือกตั้ง ถ้าเกิดเขาต้องเจอ scenario การเมืองแบบ deadlock หรือรัฐประหารอีกแบบนั้นขึ้นมา แล้วต้องเลือกตั้งใหม่อีกรอบ คิดว่าเขายังจะตื่นตัวหรือมีความหวังกับการเลือกตั้งอยู่ไหม
คำถามนี้สำคัญมาก สิ่งที่เรากลัว ช่อเนี่ยคุยกับคนในพรรค คุยกับคุณธนาธร คุยกับอาจารย์ปิยบุตรอยู่เสมอว่า เราจะแพ้แบบหมดรูปในการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้ มันไม่ใช่แค่เกี่ยวกับเราแล้วถ้าเราแพ้ขนาดนั้น มันจะทำให้คนหมดหวังกันทั้งประเทศ ไม่ใช่ว่าสำคัญตัวผิดหรืออะไร แต่มันจะเหมือนเป็นข้อพิสูจน์อะไรบางอย่างว่าประเทศนี้มันเปลี่ยนไม่ได้ การเมืองที่ไม่ใช้เงิน การเมืองที่ไม่ใช้เส้นสายอิทธิพล การเมืองที่ไม่ใช้ฐานเสียงหัวคะแนนเก่าเป็นไปไม่ได้ในประเทศนี้
แล้วคนจะพากันหมดหวัง และคนจะรู้สึกว่าเลิก เท พอ ไม่เอาอีกแล้วพอ กลับไปเล่นเกมอยู่บ้านดีกว่าอะไรแบบนี้ เราไม่อยากให้เกิดสถานการณ์แบบนั้นขึ้น ทีนี้ถามว่าทำยังไงไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบนั้นขึ้น คำตอบก็คือหลังเลือกตั้งมันจะมีความคับแค้นใจแน่ๆ ว่าทำไมมันไม่ดีขึ้นเหมือนที่คิดว่ามันจะดีขึ้น ทีนี่จากความคับแค้นใจนั้นมันจะมีทาง 2 แพร่ง 1 ก็คือคับแค้นใจแล้วเลิกไปเลย ซึ่งเรากลัวเราไม่อยากให้เกิด จึงนำมาสู่ทางที่ 2 ความคับแค้นใจนั้นจะนำไปสู่ความไม่พอใจและยิ่งต้องการผลักดันให้มันเกิดความเปลี่ยนแปลงให้ได้ ต้องการให้เกิดความเสียดาย ทำให้เกิดความรู้สึกว่าอีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะได้แล้ว แต่มันไม่ได้
เปลี่ยนความไม่พอใจนี้ให้เป็นพลังของการเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงให้เกิดขึ้นในสังคม เราเชื่อว่านี่จะเป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสครั้งสำคัญ หลังเลือกตั้งเมื่อคุณเจอวิกฤตการณ์แบบนี้ เจอ deadlock ทางการเมืองแบบนี้ คุณควรจะต้องรู้สึกตรงกันว่าใช่จริงๆ มรดก คสช. ยังคงอยู่กับเรา การเลือกตั้งมันลบล้างมรดก คสช.ไม่ได้ การเลือกตั้งมันทำลายระบอบ คสช.ไม่ได้
มันต้องมีอะไรที่เปลี่ยนมาก เปลี่ยนใหญ่กว่านั้น และน่าจะเป็นการทำให้การทำงานทางการเมืองของเราไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้นด้วยซ้ำ เราไม่มองว่าสิ่งนี้จะทำลายเป้าหมายทางการเมืองของเรา