เราในตอนนี้ คล้ายหรือใกล้เคียงกับคนที่เราวาดฝันไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้วหรือเปล่า? ผู้ใหญ่วัย 20 30 40 ปีที่เราเคยมองว่าดูโต ดูเท่ ดูจริงจังกับชีวิต ปัจจุบันเราเป็นแบบนั้นมั้ยนะ?
ในขณะที่ชีวิตกำลังเดินไปตามแพทเทิร์นที่คุ้นเคย เข้าโรงเรียน ต่อมหาลัย จบออกมาทำงาน และเก็บเงินสร้างครอบครัว ความเครียดจากการเติบโตก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ มีเรื่องของการเงิน การงาน และความสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยว จากเด็กตัวเล็กๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความฝัน ก็กลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่ทำงานจ่ายภาษีไปวันๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
หลังจากวันทำงานที่ยาวนานได้จบลง หลายๆ คนกลับมานอนก่ายหน้าผากที่บ้าน ในคืนที่ยาวนานไม่แพ้กัน เฝ้านึกถึงอดีตที่น่าเสียดาย และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง จะว่าไปการเป็นผู้ใหญ่เจ๋งๆ นี่ก็ยากเหมือนกันนะ ถ้ายังเป็นเด็ก ตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่? ต่อโมเดล เล่นซ่อนหา ปั่นจักรยาน ดูการ์ตูน เล่นขายของ วิ่งไล่จับ ดูเป็นกิจกรรมที่ไม่มีเรื่องให้ต้องคิดมาก
“อยากกลับไปเป็นเด็กอีกสักครั้งจังเลย”
ลองกลับไปเป็นเด็กสักครั้ง ในวันที่โลกผู้ใหญ่โหดร้าย
เราห้ามกาลเวลาและการเติบโตของมนุษย์ไม่ได้ เมื่อคืนนี้ผ่านไป อายุเราจะเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน และถึงแม้เราจะรู้ดีว่าอายุเท่านี้ควรมีเส้นทางชีวิตอย่างไร จากคำบอกเล่าของพ่อแม่ ครูแนะแนว คนรู้จัก นักสร้างแรงบันดาลใจ แต่ไม่มีใครเคยบอกเราว่า ระหว่างทางจะต้องเจอกับความยากลำบากขนาดไหน และแต่ละก้าวที่เดิน จะทำให้เราค่อยๆ หลงลืมช่วงเวลาในวัยเด็กไปยังไงบ้าง
กว่าจะได้เงินเดือนแต่ละเดือน เราแลกมาด้วยเวลา สุขภาพ และความสุข แต่เมื่อได้เงินมาแล้ว ก็ต้องเอาไปผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ จ่ายภาษี จนเงินที่ได้กลับมาชดเชยความเหนื่อยที่เสียไป มีเหลืออยู่เพียงไม่กี่บาท ความสุขในวัยผู้ใหญ่จึงเป็นสิ่งที่ได้มายากเย็น แต่หายไปง่ายราวกับดีดนิ้ว
ไม่เห็นเหมือนกับตอนซื้อไอศกรีมแล้วได้ไม้ฟรีอีกแท่ง
หรือแกะขนมซองแล้วเจอของแถมเลยแฮะ
ตอนเป็นเด็ก จำได้ว่าเราคุ้นเคยกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมากกว่านี้ อาจเพราะหลายๆ ครั้งความสุขเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้คาดหวัง ผสมกับความไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร มันจึงกลายเป็นเรื่องสนุกและน่าตื่นเต้น เหมือนเวลาฝนตกแล้วแม่สั่งห้ามไม่ให้ออกไปตากฝน แต่เราก็ยังแอบพับเรือกระดาษไปลอย เพื่อดูว่ามันจะไปได้ไกลขนาดไหน แค่นี้ก็ถือเป็นเรื่องที่พิเศษมากพอจะทำให้ยิ้มออกมา ซึ่งถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ เราคงส่ายหัวให้กับความไร้เดียงสา และพูดออกมาเบาๆ ว่า “โถ…เด็กน้อย”
แต่เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าความสุขในชีวิตไม่หลงเหลืออยู่เลย หรือเกิดขึ้นได้ยากราวกับต้องใช้ความพยายามจำนวนมากเพื่อแลกมา เรื่องไร้สาระเหล่านี้อาจเปลี่ยนวันนั้นให้ดีขึ้นได้ ลองใช้เวลาสักวันหลังเลิกงาน ไปเดินห้างฯ สำรวจโซนตุ๊กตาและของเล่น หิ้วกลับมาสักชิ้นสองชิ้น หรือจะเป็นสมุดภาพระบายสีเล่มหนึ่ง ที่นอกจากจะฝึกสมาธิ กระตุ้นจินตนาการ ปลุกสกิลการระบายสีในวัยเด็ก ยังจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย อยู่กับปัจจุบัน และไม่ฟุ้งซ่านไปกับเรื่องอื่นๆ ได้ด้วย
เมื่อความสุขชิ้นใหญ่ไม่หลงเหลือ ลองหันกลับมองความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ บ้างก็ได้ เพราะเมื่อจดบันทึกความสุขเหล่านี้ลงบนกระดาษ ก็อาจจะเห็นว่ามันดูใหญ่กว่าความสุขที่เราเคยคาดหวังไว้เสียอีก
ถ้าเครียดกับงาน อย่าหลงลืมจินตนาการในวัยเด็ก
เมื่อการทำงานที่ต้องยึดหลักปฏิบัติตามขั้นตอน 1 2 3 ทำให้เรารู้สึกถูกตีกรอบ จนหมดแรง หมดพลัง และสูญเสียความเป็นตัวเอง
ลองให้จินตนาการแบบเด็กๆ ได้โลดแล่นบ้าง
จำได้มั้ยว่าตอนเด็กๆ เราฝันอยากเป็นอะไรกัน? นักบินอวกาศ พยาบาล ตำรวจ นักดับเพลิง แอร์โฮสเตรส แต่ไม่สำคัญหรอกว่าตอนนี้เราจะเป็นได้อย่างที่เราเคยฝันไว้หรือไม่ เพราะความฝันและความสนใจของคนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แต่สิ่งที่อยากให้จดจำนั่นก็คือ ‘ความเชื่อ’ และ ‘ความตั้งมั่น’ ในขณะนั้น ที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เราจะได้เป็นอาชีพเหล่านั้นจริงๆ มั้ย แต่เราก็ยังเชื่อว่าเราจะเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากเป็น ลองทำในสิ่งที่เราอยากทำ จินตนาการได้ไกลถึงนอกอวกาศ สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง หรือมีอยู่จริงแต่เป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง ซึ่งจินตนาการเหล่านี้สำคัญมากสำหรับงานบางสาย ฉะนั้น ลองดึงมันออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ดูสิ
และบางครั้ง ลองทำมันโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก เหมือนอย่างการวาดรูป ระบายสี และร้องเพลงในวัยเด็ก ซึ่งเราไม่เคยกังวลกับการทำอะไรเหล่านั้นหรอก เพียงแค่หยิบกระดาษ จับปากกา วาดลวดลายโค้งไปโค้งมาอย่างคาดเดาไม่ได้ เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว หรือจะร้องเพลงผิดคีย์แค่ไหนก็ได้ เพราะยิ่งเพี้ยนเท่าไหร่ก็ยิ่งสนุก ต่างจากตอนนี้ ที่กว่าจะทำอะไรได้แต่ละอย่าง ก็มัวแต่จะคิดหน้าระวังหลังว่ามันจะออกมาดีมั้ย? เราจะทำอะไรพลาดไปหรือเปล่า? จนสุดท้ายงานนั้นก็หยุดอยู่ที่เดิม
เพราะความคาดหวังและความกดดันของตัวเราเอง อาจเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้งานเรายากที่จะไปต่อ ถ้าเปลี่ยนมาลองคิดแบบเด็กๆ ว่า “ก็แค่ทำ” ทำเพื่อความสุข วาดเพื่อความสุข ร้องเพื่อความสุข เขียนเพื่อความสุข แบบนี้ส่วนอื่นๆ ที่เหลือก็จะตามมาเอง
และดีไม่ดี ความเพ้อฝันที่ว่าก็อาจพาเราไปเจอไอเดียใหม่ๆ ที่ทำให้งานของเราแปลกไม่เหมือนใครก็ได้ ลองเริ่มจากการคิดอะไรให้ใหญ่ไว้ก่อน คิดให้กว้าง คิดให้เพ้อเจ้อที่สุด เพ้อเจ้อกว่าการที่คิดว่าเมล็ดแตงโมจะไปโตในท้อง แล้วค่อยๆ เหลามันให้เป็นที่เป็นทาง บางครั้งมันก็น่าจะดีกว่าการเริ่มจากจุดเล็กๆ ที่ยากจะขยายเป็นก้อนใหญ่ เพราะแบบนั้นเราอาจจะฝืน เหนื่อย และเสียพลังงานมากเกินไป
รักษาความเป็นเด็กเอาไว้ และจริงใจกับความรู้สึกของตัวเอง
เมื่ออายุมากขึ้น หลายคนไม่รู้ตัวว่ามีบางอย่างได้เติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับเรา บางอย่างที่ใช้ปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงข้างในจิตใจ ที่เรียกกันว่า ‘หน้ากาก’ เพราะเมื่อย้อนกลับไปเป็นเด็ก เราสามารถร้องไห้ได้เมื่อเจ็บ หัวเราะเมื่อตลก ยิ้มเมื่อมีความสุข แต่ในตอนนี้ หลายๆ สถานการณ์ทำให้เราจำเป็นต้องซุกซ่อนความจริงข้างในเอาไว้ เพื่อรักษามารยาท เพื่อความเป็นมืออาชีพ เพื่อความเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์
แต่การทำแบบนั้นมันเจ็บปวดเกินไปมั้ยนะ? โดยเฉพาะการฝืนยิ้มในขณะที่เศร้า จนหลายครั้งทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมเราถึงแสดงความเศร้าเหล่านั้นออกมาไม่ได้? เพียงเพราะเขาบอกว่าโตแล้วต้องอดทน โตแล้วต้องไม่อ่อนแอ อย่างนั้นหรือ?
เอาล่ะ ก่อนที่จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เติบโตไปด้วยโรคเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า หลังเลิกงานหรือกลับบ้านมา ลองถอดหน้ากากนั้นออก แล้วถามตัวเองดูว่ารู้สึกยังไงบ้าง วันนี้เหนื่อยมั้ย อยากร้องไห้หรือเปล่า ไม่ไหวสินะ งั้นก็เบะปากแล้วระเบิดน้ำตาออกมาแบบไม่ต้องอายใคร ลองจริงใจกับสิ่งที่ตัวเองรู้สึก แล้วเรียนรู้ที่จะปลดปล่อยออกมาบ้าง เพราะในอนาคตเราจะต้องเจอเหตุการณ์อีกมากมายที่ยากจะควบคุม อย่างการกระทำหรือคำพูดคำจาที่ทำร้ายจิตใจ หากเป็นอย่างนั้น ลองตีมึนดูบ้างก็ไม่เสียหาย ทำเหมือนเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่รู้ตัวว่ากำลังโดนแซะ โดนนินทา โดนจิกกัด หรืออาจจะรู้ แต่ไม่เก็บมาคิดให้เจ็บปวด เพราะสิ่งที่เจ็บที่สุดอยู่ที่ไม้เรียวของแม่ต่างหาก
เสร็จแล้วก็ล้างหน้าล้างตา แล้วไปหากิจกรรมสนุกๆ ทำ กิจกรรมที่ไม่ต้องใช้ความคิดอะไรมาก เช่น เล่นเกมโง่ๆ สักเกม ดูการ์ตูนสักเรื่องที่ไม่มีบทพูด หรือกระโดดโหยงเหยงกับเพลงโปรด เพื่อรับเอาความสนุกกลับเข้ามาในตัว ชดเชยความเศร้าที่เกิดขึ้นในวันนี้ บางคนอาจจะบอกว่า “ฉันในวัย 30 ปี นึกว่าจะโตกว่านี้ซะอีก ตัดภาพมาที่ยังเล่นตุ๊กตาอยู่เลย” ซึ่งนั่นก็คงไม่เป็นไร ถ้าเราทำพาร์ทในผู้ใหญ่ได้ดีแล้ว และอยากจะมีความสุขในแบบของตัวเองสักหน่อยก็คงไม่ใช่เรื่องผิด
โลกของผู้ใหญ่อาจดูโหดร้ายสำหรับบางคน ไม่น่าล่ะ ทำไมปีเตอร์ แพน ถึงไม่อยากโต แต่อย่าเผลอสับสนกับสิ่งที่เรียกว่า Peter Pan Syndrome นะ เพราะนั่นคืออาการที่เกิดขึ้นกับคนที่ ‘ไม่ยอมเติบโต’ ต่างหาก คนเหล่านั้นอยากจะเป็นเด็กตลอดไป ไม่อยากทำงาน ไม่อยากมีภาระหรือความรับผิดชอบ และไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้ ซึ่งไม่ใช่เรา เราเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว ทำได้ดีมากๆ แล้ว เพียงแต่อยากจะมีพื้นที่เล็กๆ ให้ความเป็นเด็กได้โลดแล่นก็เท่านั้นเอง
หากเราไม่เคยเป็นเด็กมาก่อน ก็คงไม่รับรู้และสัมผัสถึงการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะเราเมื่อ 10 20 30 40 ปีที่แล้ว ก็คือส่วนผสมที่สำคัญของเราในวันนี้ จึงเชื่อว่าทุกคนยังคงมีความเป็นเด็กซ่อนเอาไว้อยู่ ฉะนั้น หัวเราะให้กับเรื่องไร้สาระบ้าง ทำอะไรไร้สาระบ้าง ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าอายขนาดนั้นหรอก จริงมั้ยเด็กหญิงและเด็กชายทั้งหลาย?
อ้างอิงข้อมูลจาก