เหตุการณ์กราดยิงที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 8 – 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา ได้สร้างความสูญเสีย และสร้างความรู้สึกโศกเศร้าให้กับใครหลายๆ คน และยังทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า จะมีมาตรการรับมืออย่างไรต่อไป เพื่อไม่ให้มันเหตุการณ์แบบเดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก
The MATTER ได้คุยกับหนึ่งในผู้อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเป็นผู้รอดชีวิต ที่เล่าสถานการณ์ และบทเรียน จากเหตุการณ์กราดยิงที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครราชสีมา
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ ประมาณบ่าย 3 โมง เกิดเหตุจ่าสิบเอกคนหนึ่ง ใช้อาวุธปืนบุกยิง พ.อ.อนันตโรจน์ กระแสร์ ทหารสังกัดค่ายสุรธรรมพิทักษ์ และ อนงค์ มิตรจันทร์ ที่บ้านแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
จากนั้นคนร้ายได้หนีเข้าไปในค่ายทหาร สังหารเจ้าหน้าที่ และขโมยอาวุธจากคลังอาวุธ ได้แก่ HK 3 กระบอก, ปืน M60 3 กระบอก พร้อมกระสุนจากคลังกระสุน ได้แก่ HK 736 นัด และปืน M60 อีก 3 สาย และได้ขโมยรถทหาร ขับหนีมายังห้างสรรพสินค้าเทอร์มินัล 21 โคราช กราดยิงประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย ก่อนหลบหนีเข้าไปในตัวห้าง
เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานแรงจูงในการก่อเหตุว่า เกิดจากผู้ก่อเหตุไปทวงเงินค่านายหน้าค่าซื้อขายที่ดิน จากผู้เสียชีวิตทั้งสอง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงได้ลงมือก่อเหตุ
เรื่องเล่าจากผู้รอดชีวิต
สุทธินี จารุกำเนิดกนก ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ติดอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ เธอได้เล่าให้เราฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นว่า “เรากับแฟนแวะทานอาหารที่เทอร์มินอล ตอนแรกตัดสินใจว่าจะไปทานข้าวที่บ้าน แต่พอดีว่าวันรุ่งขึ้นจะต้องเดินทางไปที่กรุงเทพฯ ก็เลยตัดสินใจแวะที่นี่ เพราะสะดวกและรวดเร็วดี”
“ตอนเพิ่งสั่งอาหาร พนักงานเสิร์ฟเริ่มเห็นแล้วว่าที่หน้าห้างมีคนมามุงเต็มเลย แต่ตอนนั้นเราอยู่ใต้ดิน เลยไม่เห็นเหตุการณ์หน้าห้าง เขาเห็นว่ามีคนไปมุงแถวหน้าประตูดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นว่ามีคนยิงกัน คิดว่าน่าเป็นเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง”
“สักพักได้ยินเสียงปืนอีก 2 นัด แล้วมีน้องที่ไปออกบูทอยู่ข้างนอกชั้นใต้ดิน บอกว่ายามไล่ให้มาหาที่หลบ น้องที่เป็นพนักงานร้านถูกและดีเลยบอกว่า ให้ไปหลบใน ห้องเก็บของข้างหลังร้าน เราก็เข้าหลบไปในนั้นตั้งแต่ประมาณ 6 เย็น ก็อยู่ในนั้นตลอด”
สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจรายงานว่า ตอนช่วงเวลา 18.00 น. ของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ภายในห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 โคราช มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ประชาชนหาที่หลบซ่อนตามมุมต่างๆ ที่อยู่ภายในห้างสรรพสินค้า
“ห้องนั้นก็โอเคอยู่ มันเป็นห้องเก็บของที่อยู่หลังร้านอาหารอีกทีหนึ่ง แต่รู้สึกว่าตอนอยู่ข้างในนั้น สักพักก็ได้ยินเสียงปืนดังเป็นระยะๆ บางช่วงก็รู้สึกว่าเสียงปืนอยู่ใกล้มาก น่าจะอยู่ที่ชั้นนี้ หรือว่าชั้นหนึ่ง อะไรแบบนั้น แล้วเหมือนบางช่วงน่าจะ 4 ทุ่ม เหมือนจะเกิดการยิงตอบโต้กัน อันนั้นก็ดังแล้วนานด้วย” สุทธินีเล่าให้เราฟังถึงเหตุการณ์ตอนที่เธออยู่ในสถานที่หลบภัย
นอกจากนี้เธอยังอธิบายถึงคนที่อยู่ร่วมกับเธอในห้องนั้นด้วยว่า “ตอนนั้นเราอยู่กับแฟน 2 คน แล้วในห้องนั้นมีคนอยู่กันประมาณ 10 กว่าคน”
ถึงแม้ว่าเธอจะติดอยู่ในห้าง แต่ก็ไม่ได้ขาดการสื่อสารกับโลกภายนอก เธอเผยว่าระหว่างที่ติดอยู่ในห้างก็มีคุยไลน์คุยกับที่บ้านไว้ว่าอย่าเป็นห่วง
“มีช่วงที่ใกล้ๆ ที่เหมือนเขารู้จุดคนร้ายแล้วว่าอยู่ในฟู้ดแลนด์ ก็มีพี่ที่รู้จักบอกว่า เหมือนตำรวจรู้ว่าเขาอยู่ในนั้นแล้ว และอาจจะต้องระวัง เพราะว่า ไม่แน่ใจว่าตัวคนร้ายมีระเบิดหรือไม่ ให้เราระวังเรื่องระเบิดกับเรื่องไฟด้วย เพราะว่าหน้าห้องเก็บของมันเป็นส่วนครัว แม่ครัวบอกว่ามันมีแก๊สอยู่ พี่เขาบอกว่าถ้ามันเริ่มมีประกายไฟ หรือมีควันอะไรตรงนั้น เราควรรีบวิ่งออกมาหรือทำอะไรยังไง ซึ่งเราก็ต้องเตรียมตัวไว้ในระดับหนึ่ง
ตอนเวลาประมาณตี 2 หน่วยสวาท ในเครื่องแต่งกายแบบเต็มยศ ได้เข้ามาช่วยเหลือเธอ สามีและผู้ที่หลบซ่อนอยู่ในห้องเก็บของออกมาจากห้าง และกลุ่มของเธอเป็นกลุ่มท้ายๆ แล้วที่ถูกช่วยออกมาจากห้าง เบ็ดเสร็จใช้เวลาอยู่ในนั้นเกือบ 8 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เธอตอบว่า สติสำคัญมาก ในการที่เราอยู่ตรงนั้น อย่าไปปรุงแต่งความคิดของเรา เพราะการที่เราต้องอยู่นิ่งๆ กับตัวเองในระยะเวลานาน โดยที่มันมีปัจจัยภายนอกที่ว่าเรากลัว ตรงนี้สติที่คุมความรู้สึกตัวเราไว้ สำคัญที่สุด
สำหรับการทำงานของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างไร เธอกล่าวว่า เขาไม่ได้เป็นคนในพื้นที่ ต้องถามว่าตรงนี้ออกตรงไหนใกล้สุด แต่ก็โชคดีที่ตัวร้านอาหาร มันมีประตูที่เป็นประตูกระจก ที่ปกติไม่ได้เปิดให้คนใช้ เพราะมันเป็นส่วนของในร้าน แล้วพนักงานบอกออกตรงนี้ได้ มันจะลัดกว่าตรงทางหลักของห้าง แล้วตรงนั้น พอออกไปแล้ว ขึ้นบันไดเลือนแล้ว ก็คือ ออกนอกตึกได้เลย
หลังจากนั้นเวลาดำเนินไปนานกว่า 7 ชั่วโมง โดยมีการช่วยเหลือประชาชน 10 คนออกมาเพิ่มตอนเวลาประมาณ 8 โมงเช้า จากนั้นพอถึงเวลา 9 โมง เจ้าหน้าที่ก็ยืนยันว่าได้วิสามัญฆาตกรรมคนร้าย ที่ชั้น LG ของห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 โคราช นับเป็นเวลากว่า 17 ชั่วโมง กว่าสถานการณ์ความรุนแรงจะคลี่คลาย
โดยยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการยืนยันแล้วว่าอยู่ที่ 30 ราย และได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 58 ราย
นายกรัฐมนตรี – ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาแถลงข่าว
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแถลงข่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้สูญเสียและได้รับบาดเจ็บ และยืนยันว่ากระสุนที่ยิงโดนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต มาจากผู้ก่อเหตุทั้งสิ้น
พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็น “บทเรียนของทุกฝ่าย” ทั้งทหาร ตำรวจ รวมถึงนายกฯ ต้องหามาตรการที่เหมาะสมให้ทุกอย่างคลี่คลายโดยเร็วต่อไป และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่าทำได้ดีที่สุดแล้ว พร้อมปฏิเสธด้วยว่าทหารไม่ได้หละหลวม
นอกจากนี้หลังจากการแถลงข่าวเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้ทำท่ามินิฮาร์ต ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นการแสดงออกที่ไม่สำรวมต่อเหตุการณ์การสูญเสียที่เกิดขึ้น และ ได้เกิดการตั้งคำถามถึงภาวะผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี
ต่อมาในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ออกมาแถลงข่าวขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมเปิดเผยถึงสาเหตุของการก่อเหตุว่า เพราะผู้ก่อเหตุไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ จากการซื้อขายที่ดินและผิดสัญญา และจะมีการสืบต่อไปว่าใครเป็นผู้เกี่ยวข้องบ้าง แต่ไม่ได้แสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกอย่างที่ใครหลายคนคาดหวัง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นเหตุกราดยิงที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยในประเทศไทย และเป็นกรณีศึกษาให้กับหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงประชาชน ทั้งยังเป็นการตั้งคำถามว่า หากเกิดเหตุการณ์เหล่านี้อีก เราจะมีความพร้อมรับมือต่อสถานการณ์เหล่านี้แค่ไหน จากบทเรียนนี้
อ้างอิง