MOA ประชาชน-ภูมิใจไทย กับภาพสะท้อน ‘การเมืองสามก๊ก’ ระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน และทิศทางการเมืองไทยหลังการขีดเส้นตายยุบสภาภายใน 4 เดือน
ย้อนไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 5 กันยายน 2568 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง สส.พรรคประชาชาติ อภิปรายถึงข้อตกลงระหว่าง ‘พรรคประชาชน’ และ ‘พรรคภูมิใจไทย’ ก่อนการเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 หรือ อนุทิน ชาญวีรกูล ว่าอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ
เขาให้เหตุผลว่า สิ่งนี้เป็นการเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งนายกฯ ด้วยข้อตกลงทางการเมืองที่กร่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยและทำลายรัฐธรรมนูญ รวมถึงเป็นการสกัด ‘การตั้งรัฐบาลโดยเสรี’ เพราะมีเงื่อนไขระบุชัดเจนว่า
“นายกรัฐมนตรีคนใหม่จะยุบสภาภายใน 4 เดือน โดยที่พรรคภูมิใจไทยต้องดำเนินการด้วยวิธีการใดเพื่อให้รัฐบาลเป็นเสียงข้างน้อย เพื่อไม่ให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก”
ทวีมองว่า การลง MOA ยังถือได้ว่าเป็นการครอบงำและเป็นผลประโยชน์ของ 2 พรรคการเมือง คือ ฝ่ายหนึ่งได้เป็นรัฐบาล อีกฝ่ายหนึ่งได้เป็นฝ่ายค้านแต่ได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงเห็นควรว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ถ่องแท้
จากนั้น สส.พรรคเพื่อไทย ประมาณ 60 คน เข้าชื่อยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อขอให้เสนอคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพ สส. ของ อนุทิน ชาญวีรกูล และ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(2) และ 185 (1)(2)
พรรคเพื่อไทยมองว่าการสร้าง MOA เพื่อเลือกนายกฯ ขัดกับข้อที่ว่า สส. และ สว. ต้องไม่อยู่ใต้อาณัติหรือความครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์
แต่การทำข้อตกลงร่วมกันของทั้ง 2 พรรค เป็นการกำหนดให้พรรคภูมิใจไทยต้องปฏิบัติหน้าที่หรือดำเนินการภายใต้เงื่อนไขที่พรรคประชาชนกำหนด เพื่อประโยชน์ของพรรคประชาชน ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ
ถึงกระนั้น เพื่อไทยได้ถอนคำร้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญกลับคืนไปก่อน เมื่อ 8 กันยายน 2568 อ้างเหตุต้องตรวจสอบรายชื่อที่ซ้ำกันและปรับปรุงเนื้อหาใหม่
แม้ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าการทำ MOA ระหว่าง 2 พรรคเป็นการขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงภาพ ‘การเมืองสามก๊ก’ ที่ชัดเจนขึ้น ระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน
บทความนี้ The MATTER ได้พูดคุยกับ สิริพรรณ นกสวน สวัสดี ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมือง และทิศทางการเมืองไทยหลังมีการทำ MOA ระหว่างพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งขีดเส้นตายยุบสภาภายใน 4 เดือน
MOA คืออะไร? ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่?
“MOA เป็นการบังคับให้อีกฝ่ายทำตามข้อตกลงโดยไม่มีสภาพบังคับทางกฎหมาย เสมือนกับ ‘สัญญาลูกผู้ชาย’ ระหว่างสองพรรคเท่านั้น…เป็นเพียงเงื่อนไขในการตัดสินใจของสมาชิกพรรค ดังนั้น สมาชิกพรรคก็มีสิทธิที่จะตัดสินใจโดยไม่จำเป็นต้องทำตาม MOA ของพรรคก็ได้” สิริพรรณ กล่าว
การทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือ MOA (Memorandum of Agreement) หมายถึง ข้อความที่ระบุเป็นหลักเกณฑ์หรือวิธีการให้บุคคลที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติหรือดำเนินการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามที่ตกลง หรือตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
โดยบันทึกข้อตกลงมีการคุ้มครองทางกฎหมายอยู่แล้ว เพราะข้อตกลงเป็น ‘สัญญา’ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประพฤติผิดสัญญา อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถฟ้องร้องดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ มองว่า การทำ MOA ของพรรคประชาชนและภูมิใจไทย ถูกปรับมาจากการทำบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU (Memorandum of Understanding) ซึ่งไม่มีสภาพบังคับทางกฎหมาย เป็นเพียงการบังคับให้อีกฝ่ายทำตามข้อตกลง ดังนั้น การทำ MOA ครั้งนี้จึงอาจมองว่าขัดรัฐธรรมนูญได้ยาก เนื่องจากเป็นข้อตกลงระหว่าง 2 พรรค แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังมีสิทธิตัดสินใจโหวตทางใดทางหนึ่ง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นไปตาม MOA ที่พรรคลงนาม
ทั้งนี้ การทำ MOU ระหว่างพรรคการเมืองปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก ๆ ในแวดวงการเมืองไทย หลังการเลือกตั้งทั่วไป 2566 พรรคก้าวไกล (พรรคประชาชนในปัจจุบัน) มีคะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่งและได้สิทธิจัดตั้งรัฐบาล
เธอระบุว่า เมื่อต้องจัดตั้ง ‘รัฐบาลผสม’ เพราะคะแนนเสียงที่ได้รับไม่เกินกึ่งหนึ่งของสภา พรรคก้าวไกลจึงใช้วิธีการเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อตกลงถึงผลประโยชน์ทางการเมือง และเก้าอี้ในกระทรวงที่แต่ละพรรคต้องรับผิดชอบ ผ่านการทำ MOU ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล
หากวันนั้น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมได้สำเร็จ จะถือว่าเป็นการทำ MOU ครั้งแรกของการเมืองไทย
ถึงกระนั้น การทำ MOU ถือเป็นเรื่องปกติในระบบการเมืองต่างประเทศ และมีรัฐบาลหลายประเทศในโลกที่นำมาใช้ เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี มาเลเซีย นิวซีแลนด์ เคนยา เป็นต้น
โดยส่วนใหญ่การทำ MOU จะเป็นการสร้างความเข้าใจร่วมระหว่างฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล-รัฐบาล หรือพรรร่วมฝ่ายค้าน-ค้าน
สิริพรรณจึงมองว่า การทำ MOA ระหว่างภูมิใจไทยและประชาชนนั้นค่อนข้างไม่สอดคล้องกับการทำ MOA ทั่วไป เพราะการทำข้อตกลงระหว่างฝ่ายค้าน-รัฐบาลซึ่งไม่มีสภาพบังคับอาจทำให้เกิด ‘ความลักลั่น’ โดยเฉพาะภายใต้จุดยืนของพรรคประชาชนที่ร่วมโหวตนายกฯ แต่ไม่ร่วมรัฐบาล ซึ่งนำมาสู่ข้อกังขาหากพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนกรอบเวลาที่ MOA ระบุไว้
“เมื่อพรรคประชาชนเป็นพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบและไม่สนับสนุนรัฐบาลในทุกเรื่อง … และหากพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แล้วทำให้รัฐบาลต้องหมดวาระลงก่อนสี่เดือน พรรคประชาชนจะเลือกทางไหน” สิริพรรณ กล่าว
สิริพรรณสรุปว่า แม้การทำ MOA จะไม่มีผลทางกฎหมาย แต่ย่อมส่งผลทางการเมือง จากความเห็นสาธารณะที่มีต่อทั้งสองพรรคเมื่อต้องเข้าสู่สนามเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งมีผลรุนแรงไม่น้อยไปกว่าการมีสภาพบังคับทางกฎหมาย ทั้งนี้ การรับรู้ของประชาชนก็ยังคงสามารถถูกบิดเบือนได้ตามอารมณ์และสิ่งปลุกเร้าจากข้อมูลอีกด้วย
อำนาจ ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ ในฐานะเครื่องมือชี้เป็นชี้ตายพรรคการเมือง และการทดสอบความคงเส้นคงวาของคำวินิจฉัย
แม้ท่าทีการยื่นกรณี MOA ประชาชน-ภูมิใจไทย ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญของเพื่อไทยจะเปลี่ยนไป แต่สิริพรรณมองว่า ‘ไม่เห็นด้วย’ หากเพื่อไทยจะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางทางการเมือง
“ไม่เห็นด้วย เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยก็ได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในเชิงลบมาตลอด แล้วเราก็ทราบกันดีว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ตั้งใจให้มีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงไม่ควรเอาเครื่องมือเดียวกันที่เราไม่อยากเห็นไปใช้กับฝ่ายตรงกันข้าม ไม่งั้นก็จะกลายเป็น ‘วงจรอุบาทว์’ ที่ตอกย้ำและสร้างความชอบธรรมกับอำนาจที่เราอยากให้เอาออกไปจากรัฐธรรมนูญ” สิริพรรณ กล่าว
นอกจากนั้น คำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญของเพื่อไทยก็ขาดน้ำหนักในเรื่อง ‘การครอบงำ’ ดังนั้น หากยื่นไปแล้วศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง แล้วเกิดข้ออ้างว่า “ทำไมพอเพื่อไทยยื่นแล้วไม่รับคำร้อง?” ก็จะเป็นการสร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม
ทั้งนี้ หากเพื่อไทยอยากใช้เครื่องมือนี้เพื่อทดสอบความคงเส้นคงวของศาลรัฐธรรมนูญ ต้องลองยื่นหลังมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีบางท่านซึ่งอาจเคยถูกดำเนินคดีความในกรณีต่างๆ ซึ่งจะเป็นที่จับตาว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย ‘จริยธรรมและความสุจริตอย่างเป็นที่ประจักษ์’ อยู่หรือไม่
โดยอ้างอิงจากรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งพ้นตำแหน่งนายกฯ ในปี 2567 ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติทางจริยธรรมร้ายแรง จากกรณีแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เนื่องจาก พิชิตขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ จากการเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
เงื่อนไขเส้นตาย 4 เดือน ยุบสภา เป็นผลประโยชน์สำหรับประเทศและประชาชนจริงหรือ?
แน่นอนว่าการลงคะแนนเสียงของประชาชนหนึ่งครั้ง ย่อมหวังให้พรรคการเมืองที่พวกเขาเลือกได้เป็นรัฐบาลเพื่อเข้าไปบริหารประเทศและดำเนินนโยบายตามที่เคยหาเสียงไว้
แต่เมื่อการโหวตนายกฯ ที่ผ่านมา พรรคประชาชนซึ่งได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในสภา ตัดสินใจเลือก ‘อนุทิน’ เป็นนายกฯ โดยไม่ร่วมรัฐบาล ทำให้เกิดการวิพากษ์อย่างกว้างขวางทั้งในมุมของคนที่อยากเห็นพรรคประชาชนบริหารประเทศ และกลุ่มคนที่เข้าใจเจตนารมณ์ของพรรค
“นี่คือสิ่งที่พรรคประชาชนต้องทำความเข้าใจกับประชาชนที่เป็นฐานเสียง เพราะเป็นจังหวะที่สามารถร่วมรัฐบาลเพื่อคุมทิศทางประเทศ และเป็นโอกาสที่ดีในการส่งตัวแทนหรือสมาชิกพรรคไปลองทำหน้าที่บริหารประเทศตามที่เคยหาเสียงไว้ ซึ่งน่าจะตอบเจตนารมณ์ของประชาชนที่เลือกเข้าไปมากกว่า” สิริพรรณ กล่าว
ก่อนการเลือกนายกฯ 5 กันยายน 2568 ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านได้ยืนยันว่า หลังโหวตนายกฯ พรรคประชาชนยังยืนยันในการเป็นฝ่ายค้านและจะไม่ดำรงตำแหน่งใดในคณะรัฐมนตรี โดยพรรคประชาชนไม่ได้เลือกอนุทินมาบริหารประเทศ แต่เลือกมาเพื่อยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใต้กรอบเวลาที่ตกลงกัน และเปิดประตูสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยณัฐพงษ์เชื่อว่า 14 ล้านคนที่เลือกพรรคก้าวไกลในวันนั้น ไม่มีใครเลือกอนุทินเป็นนายกฯ ไม่มีใครอยากเห็นรัฐบาลที่เข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ไม่มีใครอยากเห็นอำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตย
พร้อมเชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของพรรคในวันนี้ แต่ขอยืนยันว่าเป็นการตัดสินใจเพื่อคน 60 กว่าล้านคน ในการผ่าทางตันให้ประเทศ เดินหน้าสู่การเลือกตั้งและแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ตัดสินใจเพื่อคะแนนความนิยมเฉพาะหน้าของพรรคประชาชน
สิริพรรณกล่าวว่า แม้จะมีคนพยายามอธิบายว่าสาเหตุที่พรรคประชาชนไม่เข้าร่วมรัฐบาลเพราะอุดมการณ์ไปด้วยกันไม่ได้ การทำหน้าที่ฝ่ายค้านอาจได้ตรวจสอบรัฐบาล ซึ่งในมุมของฐานเสียงพรรคทั่วไป อาจมองว่าเป็นการเสียโอกาสหรือได้ไม่คุ้มเสีย
“โจทย์ที่อยากชวนมองไปไกลกว่านี้ คือ การตั้งเงื่อนไขว่าต้องยุบสภาภายใน 4 เดือนนั้นเป็นประโยชน์สำหรับประเทศและประชาชนจริงหรือ เพราะระยะเวลาที่สั้นขนาดนี้ไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในไทยหรือต่างประเทศ แม้แต่การแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมในระยะเวลาการดำเนินนโยบายต่างๆ ก็ยังทำได้ยาก” สิริพรรณ กล่าว
ดังนั้น สิริพรรณจึงมองว่า เงื่อนไขการยุบสภาภายใน 4 เดือนนี้ อาจไม่ได้ช่วยให้ประเทศหลุดจากภาวะ สุ่มเสี่ยงของการตกหลุมทางเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาการเมืองอย่างแท้จริง
สถานการณ์สภาฯ ตอนนี้ เมื่อ ‘รัฐบาลเสียงข้างน้อย VS ฝ่ายค้านเข้มแข็ง’
จากประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ผ่านมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประเทศไทยจะมี ‘รัฐบาลผสมเสียงข้างน้อย (Minority and Multi-Party Government)’ คือ การที่พรรคการเมืองร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาล แต่ก็ยังมีเสียงไม่เกินครึ่งหนึ่งของสภา
หากลบเสียงของพรรคประชาชนและงูเห่าจากบางพรรค พบว่ามี สส. ที่สนับสนุนอนุทินเป็นนายกฯ เพียง 142 จาก 492 เสียง ซึ่งจำเป็นต้องมีเสียง สส. อย่างน้อย 247 เสียงในการผ่านมติต่างๆ ของสภาฯ
สิริพรรณมองว่า การเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยมีปัญหาในตัวตั้งแต่แรก คือ การรักษาองค์ประชุมให้ครบเพื่อผ่านกฎหมายหรือดำเนินนโยบายของรัฐบาลยังเป็นไปได้ยาก หากเกิดกรณีที่สภาไม่ครบองค์ประชุมอย่างที่เคยเกิดขึ้นในสมัยของพรรคเพื่อไทยหรือพรรคพลังประชารัฐ
ทำให้เกิดคำถามว่า “พรรคประชาชนต้องเข้าประชุมเพื่อหนุนให้รัฐบาลไปต่อและมีเสถียรภาพในการบริหารประเทศต่อไปหรือไม่?”
ถึงกระนั้น ภูมิใจไทยยังอาจได้เสียงสนันสนุนจาก ‘วุฒิสภา’ ซึ่งเป็นอำนาจต่อรองที่ซ่อนไว้ภายใต้ภาพนรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตาม อำนาจซ่อนเร้นดังกล่าวก็ยังไม่อาจช่วยผลักดันให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุลที่โปร่งใสได้นักตามวิถีทางรัฐสภา
ส่วนการจับมือกันเพื่อเป็น ‘ฝ่ายค้านเข้มแข็ง’ ของพรรคประชาชนและเพื่อไทยก็ยังเป็ยสิ่งที่ต้องจับตากันต่อไป โดยเฉพาะหากพรรคเพื่อไทยเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่อง ‘ที่ดินเขากระโดง’ และ ‘ฮั้วสว.’ ขึ้นมา
“ตอนนี้ค่อนข้างเห็นภาพกันชัดเจนว่ามีรอยร้าวระหว่างสองพรรค (เพื่อไทย-ประชาชน) อยู่จริง และรอยร้าวนี้อาจลึกกว่าเราที่คิด โดยเฉพาะจังหวะสุดท้ายที่พรรคเพื่อไทยยื่นข้อเสนอ นายกฯ ชัยเกษม นิติสิริ และจะยุบสภาทันที ซึ่งตรงกับเงื่อนไขของพรรคประชาชนที่ต้องการให้ยุบสภา แต่ก็ถูกปฏิเสธไป” สิริพรรณ กล่าว
ดังนั้น สิริพรรณจึงให้ความเห็นว่า หากเพื่อไทยและประชาชนจับมือกันจัดตั้งรัฐบาลซึ่งสามารถรวมเสียง สส. ได้มากกว่า 280 เสียง โดยไม่จำเป็นต้องมีพรรคอื่นมาร่วมด้วย ยังง่ายเสียกว่าให้ทำงานร่วมกันเป็นฝ่ายค้าน โดยเฉพาะภายใต้เงื่อนไขการทำ MOA กับพรรคเพื่อไทย
ภูมิใจไทยจะรักษาเงื่อนไข ยุบสภาภายใน 4 เดือนได้จริงไหม?
ที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยได้ชูสโลแกน ‘พูดแล้วทำ’ เป็นหลักในการหาเสียงและดำเนินนโยบาย จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าเมื่อถึงเวลา 4 เดือนแล้ว อนุทินจะยุบสภาตามที่ให้สัญญาไว้กับพรรคประชาชนหรือไม่
สิริพรรณ มองว่า ภูมิใจไทยจะพยายามรักษาเงื่อนไขดังกล่าว เนื่องจากการกำหนดระยะเวลา 4 เดือน ‘ในทางปฏิบัติ’ ไม่ใช่เส้นตาย 4 เดือนตามกรอบเวลาที่แท้จริง คือ เริ่มนับหลังการแถลงนโยบายซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ 1 เดือน
หากมีการยุบสภาหลังจากนั้น อนุทินก็จะได้เป็นรัฐบาลรักษาการเพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งต้องรอผลการเลือกตั้ง การโหวตเลือกนายกฯ และการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งรวมแล้วรัฐบาลอนุทินจะได้อยู่ในอำนาจอย่างน้อย 8-9 เดือน
หากภูมิใจไทยไม่ทำตามข้อตกลงดังกล่าวก็ยิ่งตอกย้ำ ‘ความไม่น่าเชื่อถือ’ ของพรรค ดังนั้น พวกเขาจำเป็นต้องรักษาเงื่อนไขเหล่านี้ เพราะเป็นโอกาสที่ดีในการเรียกความน่าเชื่อถือของพรรคกลับมา
ขณะที่ประเด็น ‘แก้รัฐธรรมนูญ’ สิริพรรณก็เชื่อว่าภูมิใจไทยจะพยายามผลักดันประเด็นดังกล่าว จากการดึง บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในการเข้าดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีดูแลงานด้านกฏหมายในรัฐบาลอนุทิน ซึ่งแน่นอนว่าพรรคประชาชนจะไม่ได้เป็นคนคุมทิศทางการแก้กฎหมายดังกล่าว
สิริพรรณ มองว่า หากพรรคภูมิใจไทยสามารถรักษาสัญญาย่อมส่งผลต่อการเมืองไทยในระยะยาว เพราะอาจมีประชาชนบางส่วนหันมาสนใจและเลือกพรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะกลายเป็น ‘ภาพแทนใหม่’ ของพรรคอนุรักษ์นิยมที่สามารถรวมเสียงที่ของพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ และประชาธิปัตย์บางส่วนได้
“ต่อให้มีการแก้รัฐธรรมนูญในรัฐบาลชุดนี้ แต่การเลือกตั้งครั้งหน้ายังอยู่ภายใต้เงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ 2560 หมายความว่า แกนนำจัดตั้งรัฐบาลไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคอันดับหนึ่ง แต่เป็นพรรคที่สามารถรวมเสียงกึ่งหนึ่งของสภาได้” สิริพรรณ กล่าว
แล้วเลือกตั้งครั้งถัดไป ‘ภูมิใจไทย’ จะสามารถขึ้นเป็นพรรคอันดับหนึ่งได้หรือไม่? หากภูมิใจไทยสามารถรักษาสัญญาได้จริง
สิริพรรณ ระบุว่า ‘ภูมิใจไทย’ คงยังไม่ได้ขึ้นเป็นพรรคอันดับ 1 ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป เพราะคนที่ ‘อกหัก’ จากการตัดสินใจของพรรคประชาชนครั้งนี้ คงยากที่จะหันมาเลือกพรรคภูมิไทย แต่เสียงคนกา ‘ไม่ประสงค์ลงคะแนน’ อาจเพิ่มขึ้นแทน
“นี่คือสิ่งที่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การตัดสินใจของพรรคประชาชนจะส่งผลต่อการเมืองไทยระยะยาวอย่างไร แต่ไม่ว่าผลจะออกมาหน้าไหน ในมุมมองของพรรคประชาชนคงคิดว่าคนที่เลือกพรรคของตนเองจะไม่หันไปเลือกภูมิใจไทยแน่นอน ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ระส่ำระส่าย เก็บทรงไม่อยู่ ก็คงไม่หันไปเลือกเพื่อไทยเช่นกัน”
“คิดว่าพรรคประชาชนคงประเมินไว้ว่า คนที่อกหักจากพรรคของตัวเองจะกาไม่ประสงค์ลงคะแนน” สิริพรรณคาดเดาการวิเคราะห์คณิตศาสตร์การเมืองของพรรคประชาชนก่อนตัดสินใจเลือกนายกฯ อนุทิน
‘ภูมิใจไทย’ กำลังเดินตามทาง ‘พลังประชารัฐ’ ผ่านการดึงขั้วการเมืองเก่า-องค์กรอิสระ-กลุ่มทุน
จากการเลือกตั้งที่ผ่านมาภูมิใจไทยได้คะแนนเสียงแบบบัญชีรายชื่อเพียงกว่า 1 ล้านเสียง ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 2.84 ของผู้มาลงคะแนนใช้สิทธิ และที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยยังไม่สามารถได้เสียงจากการเลือกแบบบัญชีรายชื่อได้ถึงร้อยละ 5 หมายความว่า ที่ผ่านมาภูมิใจไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับของคนชั้นกลางในระดับชาติ
แต่ความสามารถของภูมิใจไทย คือ สามารถดึงชนชั้นนำสายคตินิยมนักวิชาการ (Technocrat) ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจาก ‘คนชั้นกลาง’ เพราะเป็นบุคคลผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีอำนาจตัดสินใจหรือบริหารงานสาธารณะ โดยอาศัยข้อมูล ความรู้ และวิธีการที่เป็นระบบและเป็นกลาง แทนที่จะตัดสินใจตามความคิดเห็นทางการเมืองหรือคะแนนนิยมจากประชาชน
จากโผคณะรัฐมนตรีตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาสะท้อนถึงความสามารถดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างจากกรณีการดึง ศุภจี สุธรรมพันธุ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เข้าเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งสร้างความฮือฮาให้สังคมออนไลน์ได้ประมาณหนึ่ง
สิริพรรณมองว่า หากภูมิใจไทยสามารถดึงบุคคลที่เป็นที่ยอมรับของคนชั้นกลางเข้ามาร่วมบริหารประเทศได้ และสามารถทำงานได้ดีภายในกรอบเวลาที่กำหนด คะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทยอาจกระเตื้องขึ้นจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา
นอกจากนั้น ภูมิใจไทยยังมี ‘พลังดูด’ ในการดึงฝ่ายการเมืองและกลุ่มทุนเข้ามาเป็นพวกของตนเอง คล้ายกับวิธีการที่พรรคพลังประชารัฐใช้ในการเลือกตั้ง 2562 คือ การมีสายสัมพันธ์กับ สว. การกำกับทิศทางองค์กรอิสระได้บางส่วน การดึงขั้วการเมืองเก่าอย่างรวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ หรือกลุ่ม ธรรมนัส พรหมเผ่า เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล
ขณะเดียวที่หัวหน้าพรรคอย่างอนุทินก็มีความสัมพันธ์กับกลุ่มทุนอย่างเปิดเผย ผ่านภาพที่ถูกเผยแพร่บนเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขาเมื่อ 25 สิงหาคม 2568 ก่อนถูกลบไปในเวลาต่อมา ในภาพปรากฏผู้จัดการบริษัท ไทยรุ่งเรือง คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ สารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด

ภาพอนุทิน ชาญวีรกูล กับกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยรุ่งเรือง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (คนที่สองจากซ้าย) และ สารัชถ์ รัตนาวะดี (คนที่สองจากขวา)
การชุบชีวิตอนุรักษ์นิยมและผลกระทบต่อการเมืองไทยในระยะยาว
“การโหวตยกมือโหวตนายกฯ อนุทิน ของพรรคประชาชน เป็นการชุบชีวิตให้พรรคอนุรักษ์นิยมกลับมามีชีวิตและบทบาททางการเมืองอย่างมีนัยยะสำคัญ” สิริพรรณ กล่าว
จากเดิมภูมิใจไทยไม่สามารถเป็นตัวแทนของฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ เนื่องจากมีพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนมากกว่า ทั้งประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ แต่การที่พรรคประชาชนโหวตให้อนุทินทำให้ภูมิใจไทยแข็งแกร่งขึ้นทันที ภายใต้ภาวะที่อุดมการณ์ฝั่งขวากำลังถูกปลุกขึ้นมากจากความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา กระแสการรักชาติ และการเชิดชูทหาร
แม้หลายคนจะบอกว่า ‘เพื่อไทย’ ได้เป็นตัวแทนของพรรคอนุรักษ์นิยมในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่สิริพรรณไม่เห็นเช่นนั้น เพราะความเป็นจริงพรรคเพื่อไทยไม่เคยถูกยอมรับโดยชนชั้นนำ แต่เป็นทางผ่านชั่วคราวในช่วงที่กระแสฝ่ายขวากำลังซบเซามากกว่า
ดังนั้น การชุบชีวิตพรรคอนุรักษ์นิยมครั้งนี้จะทำให้ฝ่ายขวาแข็งแกร่งต่อไปในระยะยาวหรือไม่ สิริพรรณยังไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่ข้อสังเกตหนึ่งที่ทำให้ภูมิใจไทยเป็นพรรคการเมือง ‘อุปถัมภ์’ ต่างจากพรรคอนุรักษ์นิยมอื่น คือ การดึงระบบอุปถัมภ์มารวมไว้ที่พรรคแทนที่จะยึดโยงกับ ‘บ้านใหญ่’
“ภูมิใจไทยใช้กลไกการเข้าไปคุมกระทรวงต่างๆ เพื่อสร้างเครือข่าย เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม) ผ่านกระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านผ่านกระทรวงมหาดไท ซึ่งเป็นจุดที่ภูมิใจไทยสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” สิริพรรณ กล่าว
เนื่องจากเดิมพรรคการเมืองอุปถัมภ์จะดึงบ้านใหญ่เข้ามาผูกกับพรรคการเมือง เมื่อบ้านใหญ่ย้ายขั้วการเมืองหรือออกจากพรรคไปก็อาจทำให้พรรคอ่อนแอลง ขณะที่ภูมิใจไทยสามารถใช้เครื่องมือการสร้างเครือข่ายผ่านระบบข้าราชการหรือกระทรวงที่ตนเองเข้าไปควบคุม และสามารถสร้างความนิยมของพรรคผ่านระบบเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น จึงเป็นที่น่าจับตาว่าการเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกฯ และการบริหารประเทศภายใต้การนำของอนุทินและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถือได้ว่าสามารถเข้ามาควบคุมระบบราชการได้เต็มตัวจะสามารถต่อชีวิตของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในระยะยาวหรือไม่
และการตัดสินใจ “เลือกอนุทินเพื่อยุบสภาไม่ใช้เลือกไปบริหารประเทศ” ของพรรคประชาชนจะส่งผลต่อรูปแบบขั้วการเมืองไทยในระยะยาวและการเลือกตั้งครั้งถัดไปอย่างไร
เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าการตัดสินใจของพรรคประชาชนครั้งนี้จะไม่ใช่การจบเส้นทางการเมืองของตนเอง
และไม่ใช่การต่อชีวิตให้พรรคอนุรักษ์นิยมในระยะยาว
Graphic Designer: Sutanya Phattanasitubon
Editor: Thanyawat Ippoodom