หลัง อนุทิน ชาญวีรกูล ยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภากลางดึกวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ความเคลื่อนไหวทางการเมืองก็เริ่มคึกคักขึ้นทันที พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เตรียมรับสมัครผู้สมัคร สส. และจัดวางยุทธศาสตร์ก่อนสนามหาเสียงจะเปิดอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569
ภายใต้บรรยากาศที่กระแสการเมืองยังไม่นิ่ง การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกจับตาในฐานะศึกชิงความเป็นผู้นำระหว่าง 3 พรรคการเมืองหลัก พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีโอกาสที่จะได้คะแนนเสียงจากประชาชนจนเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
The MATTER พูดคุยกับ อ.ดร.ปุรวิชญ์ วัฒนสุข และ อ.ดร.สติธร ธนานิธิโชติ สองนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ เพื่อถอดรหัสว่าการเลือกตั้งครั้งนี้แตกต่างจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาอย่างไร ประเด็นใดคือโจทย์ใหญ่ที่แต่ละพรรคต้องเผชิญ และอะไรคือเดิมพันที่อาจชี้ชะตาอนาคตของพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้งครั้งนี้
เลือกตั้ง 2569 กับ ‘การเมือง 3 ขั้ว’
“ผมคิดว่าการแข่งขันทางการเมืองคงไม่ได้แข่งแค่ 3 พรรคหรอก เพราะยังมีพรรคที่เป็นตัวแปรต่างๆ อยู่ เพียงแต่ที่พูดกันว่า ‘การเมือง 3 ขั้ว’ คือ 3 พรรคใหญ่ — พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย ที่มีศักยภาพในการได้ที่นั่งในสภาเยอะ” ปุรวิชญ์ กล่าว
ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่าการที่ใครหลายคนนิยามการเลือกตั้ง 2569 ว่าเป็น ‘การเมือง 3 ขั้ว’ เพราะพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย คือ 3 พรรคใหญ่ที่มีศักยภาพสูงในการคว้าที่นั่งในสภา ซึ่งเมื่อรวมจำนวนสัดส่วน สส. ของทั้ง 3 พรรคเข้าด้วยกันแล้ว คาดว่าจะครองพื้นที่ได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร
เช่นเดียวกับที่ สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่ายังมีตัวแปรสำคัญอย่าง ‘พรรคกล้าธรรม’ และ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ ที่จะเข้ามามีบทบาทในการชิงส่วนแบ่งที่นั่ง สส. ซึ่งแม้จะได้จำนวนเพียง 10-20 ที่นั่ง แต่ก็นับว่าเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดตั้งรัฐบาลในระบบการเมืองไทย
โดย ‘พรรคกล้าธรรม’ มีศักยภาพในการดึงฐานเสียงจากเขตเลือกตั้งต่างๆ ซึ่งอาจตัดคะแนนกับบางพื้นที่ของพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ แม้ความแข็งแกร่งของการสู้ในระบบเขตอาจจะลดน้อยลง แต่ข้อมูลจากของนิด้าโพลก็สะท้อนให้เห็นว่า คะแนนนิยมของพรรคเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังการกลับมาของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งการกลับมาของกระแสพรรคนี้อาจเข้าไปแย่งชิงสัดส่วนคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อจากพรรคประชาชน
นอกจากนี้ พรรคภูมิใจไทยที่พยายามขยับสถานะขึ้นมาเป็นแกนนำหลักของขั้วการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม ยังอาจต้องเผชิญกับความท้าทายจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นเจ้าของฐานเสียงอนุรักษ์นิยมเดิมอีกด้วย
อะไรคือโจทย์ใหญ่สําหรับการหาเสียงครั้งนี้
เมื่อถามถึงโจทย์ในการเลือกตั้งครั้งนี้สำหรับการดึงฐานเสียงของแต่ละพรรคการเมือง นักรัฐศาสตร์ทั้งสองเห็นตรงกันว่า บรรยากาศการเมืองไทยในวันนี้แตกต่างจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทั้งในแง่สถานการณ์ทางสังคมและกระแสนิยมของพรรคการเมือง ส่งผลให้แต่ละพรรคต้องเร่งคลำหาไม้เด็ดของตัวเองมาใช้ช่วงชิงคะแนนเสียงจากประชาชนภายใต้กรอบเวลาที่เร่งรัดนี้
เมื่อยังไม่มีพรรคการเมืองใดได้กระแสมหาชนไปอย่างชัดเจน สติธรวิเคราะห์ว่าแต่ละพรรคการเมืองคงเลือกใช้จุดแข็งจากฐานเสียงของตัวเองมาเป็นกลยุทธ์ในการช่วงชิงที่นั่งในสภา อย่างการเลือกเจาะคะแนนจากการเลือกตั้งแบบเขตหรือบัญชีรายชื่อไปเลย
หากย้อนดูผลการเลือกตั้ง สส. แบบแบ่งเขตของพรรคก้าวไกล (พรรคประชาชน) ซึ่งได้รับความนิยมมากในการเลือกตั้งที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนมากถึง 112 เขต แต่หากดูในรายละเอียดจะพบว่าหลายเขตไม่ได้ชนะขาด และมีการตัดคะแนนกันเองระหว่างพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ได้คะแนนสูสีกันในลำดับที่ 2, 3 และ 4
แต่การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ต้องยอมรับว่ากระแสพรรคประชาชนในปัจจุบันไม่สูงเท่าการเลือกตั้งครั้งก่อน ประกอบกับการเมืองบ้านใหญ่เริ่มแก้เกมโดยการหันไปรวมตัวกันอยู่พรรคภูมิใจไทย หมายความว่าหากพรรคประชาชนที่เคยชนะ สส. แบบแบ่งเขต แต่ไม่ได้มีคะแนนนำห่างและไม่สามารถดึงความนิยมของพรรคกลับมาในระดับเดิม ก็มีความเป็นไปได้ที่พรรคภูมิใจไทยและกลุ่มบ้านใหญ่เหล่านี้จะได้คะแนนเสียงไปครอง
นอกจาก ‘จุดแข็ง’ ของการเมืองบ้านใหญ่จะเป็นเครือข่ายฐานเสียง หัวคะแนน หรือความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจในท้องถิ่นแล้ว ยังมี ‘จุดขาย’ สำคัญคือการนำเสนอความสามารถในการทำประโยชน์ให้กับพื้นที่ ผ่านการดึงทรัพยากรหรืองบประมาณจากอำนาจทางการเมืองที่มาพัฒนาพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม
“จุดขายสำคัญของการเมืองบ้านใหญ่คือการนำเสนอความสามารถในการทำประโยชน์ให้กับพื้นที่ คล้ายกับตอนที่ประชาชนตัดสินใจเลือกตั้งท้องถิ่น ถ้าฝ่ายการเมืองที่ต้องพึ่งพิงกระแสนิยมไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้เชิงภาพใหญ่ได้อย่างชัดเจน เขา (ประชาชน) ก็เลือกคนที่ทําประโยชน์ให้กับเขาไม่ดีกว่าหรือ” สติธร กล่าว
ดังนั้น พรรคประชาชนจึงจำเป็นต้องรีบจับทางให้เจอว่าจะสร้างกระแสความนิยมของพรรคขึ้นมาได้อย่างไร ต้องถอดบทเรียนจากครั้งก่อนว่ากระแสมาจากไหน เช่น อุดมการณ์ จุดยืนทางการเมือง หรือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอย่าง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ได้รับความนิยมมากในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง
สติธร มองว่า พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองแบบไฮบริด คือ มีจุดแข็งทั้งสนามเขตและบัญชีรายชื่อ ซึ่งแม้จะมีบางส่วนหันไปซบอกพรรคภูมิใจไทย แต่หลังการเปิดตัว ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็พบว่าได้รับความสนใจจากสังคมมากขึ้น แต่ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าพรรคเพื่อไทยจะเลี้ยงกระแสนิยมเหล่านี้ไปจนถึงวันเลือกตั้งได้หรือไม่
ด้านปุรวิชญ์มองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีบริบทสังคมที่ต่างจากการเลือกตั้งครั้งอื่นๆ คือ ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังเกิดขึ้นพร้อม ‘กระแสชาตินิยม’ ซึ่งจะกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบมาใช้ในการเรียกคะแนนเสียงจากประชาชน
“ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการใช้โวหารในการปราศรัยช่วงการหาเสียงเลือก จะมีกลิ่นไอความเป็น ชาตินิยมสูงมาก เพราะเป็นเครื่องมือที่ปลุกเร้าอารมณ์คนได้ง่าย แค่บอกว่ารักผืนแผ่นดินไทย รักชาติ ก็สามารถปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกของคนได้แล้ว” ปุรวิชญ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปุรวิชญ์มองว่าภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 จะทำให้การเสนอหรือดำเนินนโยบายต่างๆ ของพรรคการเมืองเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีการกำหนดไว้ว่าแนวทางการพัฒนาประเทศต่างๆ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังออกแบบมาให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอ ขณะที่องค์กรอิสระและศาลมีความแข็งแรงมากขึ้น จากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่มีการเปลี่ยนนายกถึง 3 คนในรอบ 2 ปี ซึ่งบ่งชี้ถึงเสถียรภาพการเมืองไทยที่ทำให้การดำเนินนโยบายในระยะยาวเกิดขึ้นได้ยาก
แลนด์สไลด์-รัฐบาลผสม ความเป็นไปได้ในการเลือกตั้ง 2569
“กติกาการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถูกออกแบบมาให้ไม่มีพรรคการเมืองไหนชนะแลนด์สไลด์” ปุรวิชญ์ กล่าว
ระบบการเลือกตั้งในปัจจุบัน คือ การเลือกตั้งด้วยบัตร 2 ใบ (แบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ) ซึ่งการเลือกแบบบัญชีรายชื่อในปัจจุบันไม่ได้กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับการแบ่งสัดส่วน สส. แบบบัญชีรายชื่อ ต่างจากการเลือกตั้งในปี 2548 ที่กำหนดว่าพรรคที่จะได้รับการจัดสรรที่นั่งในระบบบัญชีรายชื่อต้องมีคะแนนรวมทั้งประเทศมากกว่าร้อยละ 5 ของคะแนนจากบัตรดี ส่วนพรรคที่ไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำจะไม่มีสิทธิได้รับการจัดสรรที่นั่งจากระบบบัญชีรายชื่อและคะแนนของพรรคเหล่านั้นจะไม่ถูกนำมาคิดคำนวณด้วย
ด้วยกติกาที่ต่างกันนี้ทำให้การเลือกตั้ง 2566 มีพรรคการเมืองที่ได้เก้าอี้บัญชีรายชื่อถึง 17 พรรค ต่างจากการเลือกตั้ง 2548 ที่มีเพียง 3 พรรคการเมืองเท่านั้นที่ได้รับการจัดสรรที่นั่งในระบบบัญชีรายชื่อ ได้แก่ พรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคชาติไทย
ขณะที่สติธรสะท้อนถึงกติกาที่ไม่ได้กำหนด ‘หมายเลขผู้สมัคร’ แบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อเป็นเบอร์เดียวกันว่า ส่งผลต่อคะแนนการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ คือ พรรคการเมืองที่ได้หมายเลขพรรคอันดับต้นๆ มักมีโอกาสได้คะแนนการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้นไปด้วย
“การเลือกตั้งแบบแบ่งเขตจะมีส่วนใหญ่มีหมายเลขไม่เกิน 1-10 อยู่แล้ว … ประชาชนบางคนเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ถ้าเขาชอบคนนี้ อยากเลือกคนนี้ เขาไม่สนหรอกอยู่พรรคอะไร แต่เพื่อความมั่นใจว่าเขากาถูกแน่ๆ เมื่อได้บัตรเลือกตั้งมาเขาก็จะเลือกกากบาทเบอร์เดียวกันทั้ง 2 ใบไปเลย”
“ดังนั้น เราจึงเห็นพรรคการเมืองที่ไม่คุ้นชื่อ ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ได้เก้าอี้ สส. แบบบัญชีรายชื่อ มาจำนวนหนึ่ง ก็มาจากคนที่กาบัตร 2 ใบเบอร์เดียวกันนี่แหละ” สติธร กล่าว
ปุรวิชญ์เสริมว่า ด้วยข้อเท็จจริงทางการเมืองตอนนี้ที่มี 3 พรรคการเมืองได้รับความนิยมในปัจจุบัน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า หลังการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ จะเกิดเป็นรัฐบาลผสมด้วยหลายพรรคการเมืองคล้ายกับปี 2566
ทั้งนี้ หากติดตามการเมืองไทยตลอดช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา จะเห็นถึงความบิดพริ้วที่เกิดขึ้นระหว่างแต่ละพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชน ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่า แล้วการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ แต่ละพรรคการเมืองจะสามารถหันมาจับมือกันร่วมรัฐบาลได้หรือไม่
สติธรและปุรวิชญ์ต่างตอบว่า ‘เป็นไปได้ทั้งหมด’ โดยขึ้นอยู่กับจำนวน สส. ที่ได้ของแต่ละพรรค โดยสติธรได้จำแนกจากกรณีที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้
กรณีที่พรรคภูมิใจไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล คือ เกิดจากการที่พรรคภูมิใจไทยได้คะแนนเสียง สส. เขตจากบ้านใหญ่ และได้คะแนนจากบัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้น โดยสติธรคิดว่า ภูมิใจไทยจะเลือกจับมือกับพรรคที่พ่วงมาด้วยกันหรืออาจต่อรองน้อยก่อน เช่น พรรคกล้าธรรม พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ได้ตัวเลขใกล้เคียง 250 เสียงที่สุด
และหากรวมกับพรรคขนาดกลาง-เล็กแล้วเสียงยังไม่เกิดกึ่งหนึ่งของสภาหรือได้เสียงปริ่มน้ำ ก็มีความเป็นได้ที่พรรคภูมิใจไทยจะชวนพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาชนมาร่วมรัฐบาล
แต่หากผลการเลือกตั้งออกมาแล้วพบว่าพรรคประชาชนได้เสียง สส. มากที่สุด ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า พรรคอื่นๆ จะยอมร่วมรัฐบาลด้วยหรือไม่ ขณะที่พรรคเพื่อไทยยังต้องลุ้นอยู่ว่าจะรักษากระแสจากแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอย่างตอนนี้ได้หรือไม่
เมื่อถามว่ามีโอกาสหรือไม่ที่พรรคประชาชนจะจับมือกับพรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรับบาล สติธรตอบว่า ‘มีโอกาสมากกว่าเดิม’ เพราะพรรคประชาชนเข้าสนามเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 3 และได้คะแนนเสียงจากประชาชนไม่น้อย หากมีโอกาสก็ควรร่วมรัฐบาล และถ้าพรรคภูมิใจไทยมาชวนแล้วมีการตกลงกันอย่างลงตัว ก็เป็นไปได้ที่จะเห็นทั้งสองพรรคเป็นรัฐบาลร่วมกัน
เดิมพันครั้งใหญ่ในการเลือกตั้ง 2569
เมื่อถามถึงเดิมพันของแต่ละพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งนี้ ปุรวิชญ์และสติธรได้สะท้อนถึงเดิมพันที่แต่ละพรรคการเมืองมีอยู่ ดังนี้
‘พรรคประชาชน’ มีเดิมพันเรื่องการรักษาไว้ในฐานะพรรคที่ขายความหวัง อุดมการณ์ และการเมืองแบบใหม่ที่ใครๆ ก็ต่างจับตาดู ซึ่งหากเลือกตั้งแล้วผลคะแนนออกมา การตัดสินใจร่วม-ไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคการเมืองอื่นๆ ที่อาจมีอุดมการณ์ต่างกัน และไม่มีเหตุผลรองรับมากพอก็อาจส่งผลต่อความนิยมของพรรค อย่างที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา
‘พรรคภูมิใจไทย’ มีเดิมพันอยู่ที่การขยับสถานะจากพรรคขนาดกลางไปสู่พรรคขนาดใหญ่ หลังประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง สส. เขตเมื่อปี 2566 ด้วยการเมืองเชิงพื้นที่มากกว่ากระแสระดับชาติ
การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคภูมิใจไทยพยายามเดินเกมควบคู่กัน ทั้งการดึงกลุ่มการเมืองบ้านใหญ่เข้ามาอยู่ใต้ชายคาพรรค และการสร้างกระแสในฐานะทางเลือกของฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนที่นั่งและวางตำแหน่งตัวเองเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น
ขณะที่ ‘พรรคเพื่อไทย’ ก็เผชิญความท้าทายไม่แพ้กัน หลังความนิยมลดลงจากการเป็นรัฐบาลข้ามขั้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาลและสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งก็เห็นถึงความพยายามในการดึงกระแสนิยมกลับมาจากการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
นอกจากนั้น พรรคการเมืองขนาดเล็ก-กลางก็ต่างมีเดิมพันเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น ‘พรรคประชาธิปัตย์’ ที่หวังฟื้นฐานเสียงอนุรักษ์นิยม ‘พรรคกล้าธรรม’ ที่พยายามช่วงชิงการเมืองในพื้นที่ หรือพรรคใหม่ๆ ที่ยังต้องใช้เวลาในการสร้างการจดจำแบรนด์ ซึ่งทั้งหมดอาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการแข่งขันของพรรคใหญ่ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้
สุดท้ายไม่ว่าเดิมพันของแต่ละพรรคการเมืองจะเป็นการรักษาพรรค ขยับสถานะ หรือกลับคืนสู่อำนาจ สิ่งที่ประชาชนยังคงคาดหวังคือการเมืองที่สามารถแปรเปลี่ยนชัยชนะในสนามเลือกตั้งให้กลายเป็นสิทธิ สวัสดิการ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนในประเทศนี้จริงๆ