นี่ก็ตีสองกว่าแล้ว รูปภาพของหญิงสาวจำนวนมาก ยังคงยิงเข้ามาในไลน์ของผมอย่างไม่หยุดหย่อน
ในภาพเหล่านั้น มีทั้งชื่อพร้อมด้วยคำบรรยายหลายอย่าง ที่สื่อถึงตัวตนและลักษณะอาชีพได้เป็นอย่างดี
อองฟอง ปิ่นเกล้า 1,600 / น้ำอุ่น รัชดา 1,400 / อิงดาว เพชรเกษม 1,800
แน่นอนว่า นั่นคือชื่อสมมติ แต่ตัวเลขด้านหลังเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกเหนือไปจากเรทราคาการให้บริการ—บางคนเรียกสิ่งนี้ว่าธุรกิจสีเทา บ้างเรียกว่าการให้บริการทางเพศ บางคนเอ่ยคำที่คุ้นหูอย่าง การค้าประเวณี
ส่วนพวกเธอหลายคนเรียกงานประเภทนี้ว่า ‘ไซด์ไลน์’
ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน ผมเจอพบข่าวๆ หนึ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจ มันปรากฎขึ้นบนไทม์ไลน์ในเฟซบุ๊ก พาดหัวเขียนไว้อย่างตื่นตาตื่นใจว่า “ธุรกิจ อาบ อบ นวด กำลังถูก DISRUPT”
เนื้อหาของบทความ พูดถึงธุรกิจ ‘อาบ อบ นวด’ ที่เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่เป็น อาบ อบ นวด ที่อยู่ในสถานบริการขนาดใหญ่ๆ ได้กลายเป็นธุรกิจที่เข้าไปอยู่ในโลกโซเชียมีเดีย เพราะคนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกันได้มากขึ้น บริการทางเพศก็ตามเข้าไปอยู่ในนั้น และมีการจัดระบบให้เป็นธุรกิจอย่างจริงจังอีกด้วย
พูดให้ถึงที่สุดก็คือจาก อาบ อบ นวด ที่ลูกค้าต้องเข้าไปใช้บริการในสถานบริการขนาดใหญ่ๆ ได้เริ่มถูกท้าทาย เมื่อลูกค้าไม่จำเป็นต้องเดินทางไปสถานบริการแบบนั้นอีกแล้วก็ได้ เพราะสามารถนัดหมายกับผู้ให้บริการได้โดยตรง โดยไปนัดเจอกันตามโรงแรมหรือห้องพักขนาดเล็กๆ แทน
(Disclaimer: บทความนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อโปรโมทหรือสนับสนุนธุรกิจไซด์ไลน์ แต่เพื่อสำรวจถึงปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น)
Sex business 4.0
“เราจะรายงานเรื่องนี้ยังไงดี” ผมพูดขึ้นในที่ประชุม
บ่ายวันหนึ่งพวกเราหยิบเรื่องนี้มาพูดคุยกันอย่างจริงจังในที่ประชุมข่าว ว่าเราจะสามารถรายงานข่าวนี้กันอย่างไร และมีแง่มุมอะไรที่น่าสนใจบ้าง หลังจากระดมสมองกันไปได้สักพักใหญ่ พวกเราจึงได้ข้อสรุปว่า ถ้าอยากรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในธุรกิจนี้ เราก็ควรจะพาตัวเราเองเข้าไปสำรวจในนั้น
“ลองแอดไลน์เข้าไปดูเลยไหมพี่”
หนึ่งในความเห็นจากที่ประชุม แต่ผมเองก็มืดแปดด้านเพราะไม่เคยเข้าถึงอะไรอย่างนี้มาก่อน
ยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่มิตรสหายบางคนพอเชี่ยวชาญในวงการนี้ ผมจึงได้ Official Account ของธุรกิจไซด์ไลน์มาในที่สุด อันที่จริง Official Account ดังกล่าวมีหน้าตาคล้ายกับธุรกิจทั่วไปนะครับ ที่มักใช้ช่องทางนี้เพื่อติดต่อสื่อสารกับลูกค้ากันเป็นปกติ
วินาทีแรกที่ลองแอดเฟรนด์เข้าไป ผมก็สังเกตได้ว่า ตัวเองได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกกว่า 80,000 คนที่เป็นเพื่อนกับ Official Account นี้เช่นกัน จากนั้นผมก็ได้ข้อความต้อนรับแบบอัตโนมัติจาก Chatbot ขึ้นมาในทันที
อีกไม่ถึงอึดใจ รูปภาพต่างๆ ก็ทยอยส่งเข้ามาแบบต่อเนื่อง
“น้ำปั่น รัชดา” คือรูปแรกที่โผล่ขึ้นมาในห้องแช็ต ตามมาด้วย “ทิวลิป เพชรเกษม” และ “ปูนิ่ม ลาดกระบัง”
ผมเดาเอาเองว่านี่ไม่น่าใช่ชื่อจริงๆ ของพวกเธอหรอก สิ่งที่น่าจะจริง คือโลเคชั่นที่แปะแนบเข้ามาอยู่ในรูป รวมถึงการให้บริการผ่านแพลตฟอร์มนี้
“หญิงแท้ 100% อายุ 24 สูง 155 หนัก 43 สัดส่วน 32-27-34 ตัวเล็กน่ารัก หุ่นดี ผิวแทนสวย บริการดี ฟิลแฟน เอาใจเก่ง ไม่เร่งเวลา อยู่ครบชั่วโมง” นี่คือตัวอย่างคำอธิบายสาวไซด์ไลน์ ที่เราสามารถเข้าไปดูได้ผ่านลิงก์ที่แนบมาให้ในแช็ต
ส่วนอีกคนอธิบายตัวเองเอาไว้ว่า “มีอารมณ์ร่วม ฟิลแฟนไม่เร่งงาน นั่งคุยก่อนเริ่มงานได้ นวดผ่อนคลายได้ ไม่หวงตัว ไม่เกี่ยงงาน รับทุกอายุ ไม่รับค้างคืน รับประกันตรงปก ทำงานตามกติกาที่ลง”
หลังจากรวบรวมข้อมูลอยู่สักพักใหญ่ๆ ผมสามารถสรุปจุดร่วมของรูปแต่ละคนที่ถูกยิงเข้ามาในไลน์ได้ว่า แต่ละรูปจะใช้เท็มเพลตแบบเดียวกัน และมีข้อมูลประกอบโปรไฟล์ ดังนี้
- ใบหน้า (บางคนก็มีคาดปิดตา บางคนก็ไม่มี)
- ชื่อประจำตัว (ขึ้นอยู่กับการออกแบบและความสร้างสรรค์)
- ค่าบริการ 1 ชั่วโมง (ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระหว่าง 1,300-2,000)
- กฎกติกาและเงื่อนไข เช่น ไม่รับลูกค้าที่เมา ไม่รับลูกค้าที่เสพยา หรือขอให้พกถุงยางอนามัยติดตัวมาด้วย
- ลิงก์สำหรับดูรูปเพิ่มเติม เชื่อมต่อไปยัง Google Drive
- โลเคชั่นที่ให้บริการ เชื่อต่อไปยัง Google Map
- ID Line สำหรับทักไปติดต่อกันเป็นส่วนตัว
หลังจากนั้น ผมก็ลองแอดเฟรนด์ไปแบบสุ่มๆ ดู ก็พบว่า แอคเคาท์ของผู้ให้บริการบางคนก็มีข้อความอัตโนมัติเป็นของตัวเอง คือถ้าแอดไปเมื่อไหร่ จะมีรูปของเธอ (แบบที่เห็นหน้าตาชัดเจน) ส่งมาให้ในทันที รวมถึงย้ำเงื่อนไขในการให้บริการอีกด้วย
สรุปก็คือเพียงสื่อสารด้วยรูปแค่รูปเดียว คุณจะสามารถได้ข้อมูลแทบทุกอย่าง และสามารถติดต่อไปยังพวกเธอได้แทบจะในทันที นี่อาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจ อาบ อบ นวด ต้องเผชิญกับความท้าทายในรูปแบบใหม่
บทบาทของคนกลาง และการรับงานเองในโลกออนไลน์
นอกจากเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียแล้ว ตัวละครสำคัญมากๆ สำหรับปรากฎการณ์ธุรกิจบริการทางเพศยุค 4.0 นี้ก็คือ ‘นายหน้า’ หรือ ‘คนกลาง’ ที่เข้ามาเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างลูกค้ากับผู้ให้บริการ
เมื่อก่อน เราอาจจะเคยเห็น ‘คนเชียร์แขก’ ที่ทำงานอยู่หน้าตู้กระจกในสถานบริการอาบ อบ นวด เพื่อคอยแนะนำหญิงสาวให้กับลูกค้า มีการสอบถามข้อมูล รสนิยม ความชอบ ความหลงใหล ถ้าได้รับข้อมูลมาครบเมื่อไหร่ คนเชียร์แขกจะแนะนำลูกค้าว่า เบอร์ไหนที่เหมาะสำหรับเขามากที่สุด
เมื่อมาถึงยุคนี้ เมื่อธุรกิจเซ็กส์ได้เข้ามาสู่โลกดิจิทัล คนเชียร์แขกแบบเดิม ได้กลายเป็นคนกลาง และทำหน้าที่สร้าง Official Account เหล่านี้ขึ้นมา รวบรวมเอาคนที่ประสงค์จะเข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้มาไว้ในที่เดียวกัน พร้อมกับสร้าง chatbot ขึ้นมาเพื่อพูดคุยและให้ข้อมูลกับลูกค้า
กลายเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องเจอหน้าตา แขกไม่ต้องไปจอดรถในลานสถานบริการ เพราะใช้เพียงแค่ส่งข้อความผ่านแช็ตก็เพียงพอ
ผมลองติดต่อหาแหล่งข่าวที่พอรู้จักกันอยู่บ้าง และมีความเชี่ยวชาญในวงการนี้ เพื่อถามถึงบทบาทของคนกลางในโลกดิจิทัล
“คนกลางส่วนใหญ่ก็คือคนในวงการอาบอบนวด บ้างก็เป็นเจ้าของที่เคยทำอาบอบนวดนั่นแหละ แต่หันมาอยู่ในนี้ (โซเชียลมีเดีย) กันมากขึ้นเพราะมันประหยัดต้นทุนได้ ลองคิดดูสิ มันเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องสร้างตึกใหม่ แค่มีห้องพักและคอนเนคชั่นแน่นๆ กับโรงแรมหรือหอพักบางแห่งก็สบาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องมีทุนตั้งต้นและรู้ทางหนีทีไล่ด้วย”
ขณะเดียวกัน ยังมีผู้หญิงอีกหลายคนที่ไม่ได้มีต้นสังกัดเดียว แต่รับงานเองโดยตรง ไม่ผ่านคนกลาง “บางคนรับงานหลายที่ด้วยนะ น้องที่ทำงานร้านนวดพริตตี้คนหนึ่งเคยเล่าว่า กลางวันอาจจะรับงานร้านนวดพริตตี้ พอเลิกงานเสร็จก็รับงานเองโดยตรงอีกทีต่อเลย”
ในกรณีที่รับงานเองเช่นนี้ ยังคล้ายๆ กับผู้ให้บริการหลายคนที่เลือกใช้แพลตฟอร์มอื่น โดยเฉพาะในทวิตเตอร์ที่สามารถสื่อสารพูดคุยกับคนที่สนใจกันได้โดยตรง บางคนถึงกับบอกกันโต้งๆ ในคำบรรยายโปรไฟล์
คล้ายๆ กับที่ มิ้ว ณ ชมวิว ผู้ที่เคยคร่ำหวอดในอาชีพค้าขายบริการ ได้ให้สัมภาษณ์กับ Voice Online โดยเธอได้แบ่งคนที่ให้บริการเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่อยู่ในระบบ ภายใต้การดูแลจากเจ้าของกิจการ และกลุ่มที่ทำงานอย่างอิสระแบบนอกระบบ
“เด็กอยู่กันตามอิสระ ขายตัวเองได้โดยตรง ใครชอบก็ดีลอินบ็อกซ์ตกลงราคากัน พวกนี้เราถือว่าอยู่นอกระบบเพราะไม่รู้เลยว่าเป็นใคร มีกี่คน อายุเท่าไหร่ ทำอาชีพอะไร” คนในกลุ่มนี้หลายคนยังได้รวมกลุ่มกันสร้างห้องแช็ตขึ้นมาเพื่อคอยหาลูกค้า และมีเอเย่นต์คนกลางที่คอยหักหัวคิว
คุยกับสาวไซด์ไลน์นอกระบบอาบอบนวด
น้อยหน่า เป็นหนึ่งในสาวไซด์ไลน์ และใช้ไลน์เป็นช่องทางหลักสำหรับรับงานในแต่ละวัน
“ไซด์ไลน์มีสองแบบ แบบแรกคือไซด์ไลน์อาบน้ำ (คำศัพท์ที่ใช้เรียกไซด์ไลน์ที่อยู่ประจำในอาบอบนวด) อีกแบบคือไซด์ไลน์นอกอ่าง” เธอเริ่มต้นอธิบาย
เมื่อก่อนน้อยหน่าเคยเป็นไซด์ไลน์ในอาบอบนวด แต่เปลี่ยนมารับงานนอกได้เกือบสองปีแล้ว เธอบอกว่า ข้อดีของการรับงานจากข้างนอก คือเอาเวลาที่นั่งประจำในอาบอบนวดไปทำอย่างอื่นแทนได้ เช่น งานเสริมเพิ่มเติมต่างๆ เพื่อหารายได้เข้ามาอีกทางหนึ่ง
“เด็กที่เคยอยู่ในอาบอบนวด ตอนนี้กระจายตัวอยู่ไปหลายที่ บ้างก็รับงานเองข้างนอก หลายคนเปลี่ยนไปอยู่ในร้านนวดพริตตี้แทน” อย่างไรก็ดี การรับงานเองนอกระบบอ่างของน้อยหน่า ก็ยังอยู่ภายใต้การดูแลของโมเดลลิ่งที่เป็นคนจัดการสถานที่และเป็นคนกลางให้อีกทีหนึ่ง
“โมเดลลิ่งหลายคนที่ทำหน้าที่จัดหาผ่านออนไลน์ ก็เป็นทำโมเดลลิ่งในอ่างเหมือนกัน เพราะเขามีลิสต์ลูกค้ากับเด็กอยู่แล้ว บางคนทำคู่กันไปด้วยซ้ำเพราะมีคอนเนคชั่นเยอะ”
ถึงแม้ไซด์ไลน์นอกอ่างจะไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่มีมาสักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ที่น่าสนใจคือการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นสื่อกลางของการหางาน และติดต่อกับลูกค้าได้โดยตรง
“ถามว่าใช้โซเชียลมันดีไหม ข้อแรกคือมันติดต่อง่ายกันขึ้น มีรูปมีสถานที่ขึ้นชัดเจน ดูง่าย อีกอย่างในแง่ของเรา เราขอให้เขาเขียนไว้ในไลน์ตั้งแต่แรกเลย พวกกติกาต่างๆ ว่าเราจะทำอะไรให้ได้บ้าง และจะไม่ทำอะไรได้บ้าง เราไม่รับลูกค้าแบบไหน เราไม่รับลูกค้าที่โมมาแล้ว ไม่เมามา ไม่เล่นยาหรือไม่บังคับให้เราเล่นยา ห้ามมีเซ็กส์สด (ไม่ใส่ถุงยาง) เราบอกเงื่อนไขพวกนี้ไปแต่แรก มันก็เซฟตัวเองได้ในระดับนึง ของแบบนี้มันต้องบอก เพราะไม่มีคนช่วยสกรีนให้เหมือนเมื่อก่อน”
ไซด์ไลน์บางคนไม่อยากนั่งในตู้กระจก เลยมาอยู่ในออนไลน์แทน ถ้าโชคดีหน่อยก็จะเจอคนกลาง ที่หักหัวคิวไม่มากเกินไป ยิ่งเดี๋ยวนี้ มีใช้แอพฯ อีกมันเลยง่ายขึ้นมาก สามารถคุยลูกค้าได้โดยตรง นัดหมายกันได้ตามเวลาที่สะดวก
น้อยหน่าบอกว่า ไซด์ไลน์บางคนเมื่อสะสมประสบการณ์ทำงาน รู้จักวิธีเอาใจลูกค้าได้พอสมควรแล้ว ก็จะเริ่มหันมาสนใจรับงานนอก
“บางคนที่เริ่มติดปีกบินได้ก็ลองบินกันเองดู” น้อยหน่า เปรียบเทียบ
“มีไซด์ไลน์ที่รับงานเองโดยตรง ไม่ต้องผ่านโมเดลลิ่งหรือเอเย่นต์คนกลาง เงินก็จะเข้ามาแบบเต็มๆ เพราะตั้งราคาเอง แต่กลุ่มนี้ก็ต้องเก่งหน่อยคือพึ่งพาตัวเองได้แล้ว มีลูกค้าประจำประมาณนึง”
ถึงอย่างนั้น การรับงานผ่านไลน์และนอกระบบอ่างอย่างนี้มันมีความเสี่ยงต่างไปจากในระบบอยู่พอสมควร
ลูกค้าบางคนอาจจะไม่มาตามนัด หรือไซด์ไลน์ต้องดีลกับนิสัยของลูกค้าที่ค่อนข้างหลากหลาย บางคนคาดเดานิสัยไม่ได้ อยากขอเพิ่มชั่วโมง ขอค้างคืน ขอพาไปกินข้าวต่อก็มีเยอะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น การเป็นไซด์ไลน์ข้างนอกจะถูกตัดโอกาสเรื่องการดูแลจากสถานบริการไป เพราะสถานบริการบางแห่งจะมีสวัสดิการควรช่วยตรวจสุขภาพเป็นประจำตลอดปี เพื่อลดความเสี่ยงให้กับลูกค้าและรักษามาตรฐานต่างๆ ให้ลูกค้าอยากกลับมาใช้บริการอยู่เสมอๆ
เช่นเดียวกับการดูแลเรื่องความปลอดภัย รวมทั้งการ ‘ฝึกทักษะ’ ต่างๆ ที่อาบอบนวดหลายแห่งจะสอนให้กับพนักงานนำไปใช้กับลูกค้า
ในอาบอบนวด ถ้าลูกค้าไม่พอใจเด็กคนไหน เขาก็สามารถมาบอกกับคนเชียร์แขกได้โดยตรงว่าอยากให้ปรับอะไรบ้าง
“แต่ถ้าอยู่ข้างนอกก็ต้องเสี่ยงดวงประมาณนึง เพราะไม่มีคนคุมมาตรฐานและดูแลความปลอดภัยให้ได้เท่าในอาบอบนวด”
สังคมไทยเอายังไงดีกับ Sex Worker?
หลังจากคุยกับน้อยหน่าจบ และเล่ามาถึงตอนนี้ ผมก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า แล้วสังคมไทยเราจะเอายังไงกันดีกับธุรกิจสีเทาๆ (แต่บางทีก็แอบมืดๆ) ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอยู่เรื่อยๆ
สังคมไทยเราไม่ได้มีแค่ไซด์ไลน์ที่อยู่ในอาบอบนวด หรือฝังตัวรับงานอยู่ในโลกออนไลน์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ให้บริการทางเพศในมุมอื่นๆ ของสังคมและบนท้องถนนในช่วงค่ำคืนอีกจำนวนมาก
เมื่อปี 2017 เคยมีบทความจากสื่อดังของอังกฤษอย่าง The Mirror ที่พูดถึงเมืองพัทยาของไทยเราว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลวงด้านเซ็กส์ของโลก
หลังจากที่มีรายงานนี้ออกมาก็มีความเห็นที่ค่อนข้างหลากหลาย ฝั่งหนึ่งก็วิจารณ์ว่า ความจริงที่เกิดขึ้นในพัทยากำลังทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหาย และสั่นคลอนความเป็นเมืองพุทธ
ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งมองว่า หรือพวกเราควรหันมาพูดคุยกันเรื่องอาชีพบริการทางเพศกันอย่างจริงจังกันสักที เอาให้เคลียร์ๆ กันไปเลยว่า ควรอยู่ในที่มืดต่อไป หรือทำให้เป็นอาชีพที่ถูกกฎหมาย
หนึ่งในนั้นคือ จันทวิภา อภิสุข ผู้อำนวยการมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ที่ทำงานด้านสิทธิของคนที่ให้บริการทางเพศ เคยตั้งข้อสังเกตและชวนสังคมไทยเราตั้งคำถามว่า ถึงเวลาทำให้อาชีพนี้ถูกกฎหมาย และให้สิทธิกับผู้ให้บริการหรือยัง?
ประเด็นเรื่องผู้ให้บริการทางเพศ หรือ sex worker วนเวียนอยู่ในสังคมไทยมาอย่างเนิ่นนาน ท่ามกลางข้อถกเถียงว่า เราควรทำให้อาชีพ sex worker เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายหรือไม่ และถ้าจะถูกกฎหมายจริงๆ จะมีขอบเขตของการดูแล-กำกับอาชีพนี้อย่างไร
สิ่งแรกอาจเป็นการยอมรับความจริงก่อนว่า มีคนที่อยู่ในอาชีพนี้เป็นจำนวนมาก และมีธุรกิจนี้ก็มีวิวัฒนาการไปตามบริบทของสังคมยุคสมัย จากสถานบริการอาบอบนวด ได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่ออนไลน์ และกระจายตัวออกไปยังพื้นที่ต่างๆ
เช่นเดียวกับธุรกิจให้บริการทางเพศที่มีเกิดขึ้นใหม่อยู่เรื่อยๆ และเปลี่ยนตามเทคโนโลยี คำถามคือแล้วสังคมไทยเราจะจัดที่ทางของมันยังไง
เราควรเก็บเรื่องนี้ไว้ใต้พรมต่อไปเหมือนเดิม หรือจะลองสะบัดพรมออก เพื่อยอมรับความจริง แล้วเปิดพื้นที่เพื่อพูดคุยกันในเรื่องนี้อย่างจริงจัง?
เมื่อพิมพ์บทความมาถึงตรงนี้ แช็ตไลน์ของผมก็ยังคงมีรูปหญิงสาวส่งเข้ามาอีกระลอกใหญ่ กับคำถามอีกมากมายที่ยังไม่มีคำตอบ