เมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 และกลุ่ม ‘นักเรียนอาชีวะ’ ในบริบทของความขัดแย้งทางการเมืองช่วงนั้น ภาพจำของใครหลายคนอาจเชื่อมโยงถึง ‘กลุ่มกระทิงแดง’ ที่อยู่คนละฟากกับขบวนการนักศึกษา ทั้งที่หากย้อนไปเมื่อ 14 ตุลา 2516 นักเรียนอาชีวะเคยเป็นกำลังหลักของการเคลื่อนไหวภาคประชาชน
ถึงกระนั้น ยังมีนักเรียนอาชีวะบางส่วนที่ยังร่วมกับขบวนนักศึกษา โดยมีบทบาทสำคัญคือ ‘การ์ด’ ผู้ดูแลความเรียบร้อยและป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้เข้าร่วมการชุมนุม และอาจเป็นกลุ่มคนท้ายๆ ที่จะหนีออกจากพื้นที่ล้อมปราบในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้
เช่นเดียวกับ ‘โอริสสา ไอราวัณวัฒน์’ อดีตนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ ผู้เริ่มมีบทบาทในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ และเกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานการณ์ภายในของกลุ่มนักเรียนอาชีวะในช่วงเวลาดังกล่าว ก่อนดำรงตำแหน่งเลขาธิการแนวร่วมอาชีวะเพื่อประชาชนแห่งประเทศไทยในปี 2518
6 ตุลา 2519 โอริสสาเป็นหนึ่งในกลุ่มนักศึกษาที่คอยเคาะประตูให้ผู้คนที่อยู่ในตึกออกจากพื้นที่มหาวิทยาลัย เขาเป็นหนึ่งในผู้ถูกกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐจากการถูกกระสุนยิงเข้าที่ปากระหว่างการหลบหนี ก่อนจะถูกคุมขังเป็นหนึ่งใน 18+1 ผู้ต้องหาในคดี 6 ตุลาฯ
The MATTER ได้พูดคุยกับโอริสสาถึงความสัมพันธ์ของนักเรียนอาชีวะกับขบวนการประชาชน จุดเริ่มต้นของการรื้อฟื้น ‘แนวร่วมอาชีวะเพื่อประชาชนฯ’ และชีวิตหลังถูกคุมขังทั้งที่บาดแผลจากการถูกยิงยังไม่ได้รับการรักษาอย่างสมบูรณ์ รวมถึงมุมมองต่อการนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองในปัจจุบัน
เป็นเด็กแบบไหน? ทำไมมาเข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง?
“เป็นเด็กแบบไหนหรอ ผมก็เป็นเด็กธรรมดาทั่วๆ ไป ไม่ได้ต่างจากเด็กคนอื่น” โอริสสา กล่าว

ภาพ ‘โอริสสา ไอราวัณวัฒน์’ อดีตนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพฯ อายุ 73 ปี
โอริสสา ไอราวัณวัฒน์ อดีตนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ ปัจจุบัน อายุ 73 ปี และเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เล่าว่า หากมองย้อนกลับไป เขาก็เป็นเพียงเด็กธรรมดา ไม่ได้ต่างจากเด็กคนอื่นมากนัก
แต่หากถามว่าทำไมถึงเข้าร่วมการชุมนุมช่วง 14 ตุลาฯ ก็คงเพราะความรู้สึกว่า “บ้านเมืองไม่มีความเป็นธรรม” แม้หลายคนจะบอกว่าประเทศไทยปกครองใน ‘ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น
เหตุการณ์ 14 ตุลา ซึ่งถูกมองว่าเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เมื่อนักเรียนนักศึกษาและประชาชนร่วมกันลงถนนเรียกร้องให้รัฐบาล ‘ถนอม-ประภาส-ณรงค์’ ปล่อยผู้ถูกจับกุมในฐานเรียกร้องรัฐธรรมนูญทั้งหมด 13 คน หรือ ‘13 กบฏ’ โดยพวกเขาถูกรัฐบาลตั้งข้อหาว่ากระทำการผิดกฎหมาย เป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ เป็นกบฏภายในพระราชอาณาจักร และมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
โอริสสาเล่าว่า ในจำนวน 13 คนที่ถูกจับกุมขณะนั้น มีเพื่อนสมัยมัธยมของเขาอยู่ถึง 2 คน ดังนั้น หากนับจุดเริ่มต้นในการเข้าร่วมการชุมนุมของเขาจริงๆ คือความรู้สึกที่อยากช่วยให้เพื่อนได้รับการปล่อยตัว แต่เมื่อเข้าร่วมการชุมนุมกับธรรมศาสตบ่อยครั้ง เขาก็ได้รับแนวคิดทางการเมืองและสังคมเพิ่มขึ้น
“จากที่คิดเพียงว่าจะช่วยเพื่อนได้อย่างไร ก็เริ่มเปลี่ยนไป ไม่ใช่แค่ช่วยเพื่อน แต่คิดว่าจะทำอย่างไรให้ประเทศมันดีกว่านี้ โดยอาศัยคนที่เข้ามาร่วมกันตรงนี้ช่วยกันผลักดัน” โอริสสา กล่าว
เล่าเหตุการณ์ช่วง 14 ตุลา ในมุมมองของ ‘โอริสสา’
ก่อนการชุมนุม 14 ตุลา ได้มีการรวมตัวของประชาชนต่อเนื่องมายาวนานกว่า 1 สัปดาห์ หลังมีการจับกุมตัวอาจารย์ นิสิตนักศึกษา นักหนังสือพิมพ์ และนักการเมือง ที่ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญรวม 13 คน ในช่วงวันที่ 5-7 ตุลาคม 2516
กระทั่ง 13 ตุลาคม 2516 มีข่าวว่าตัวแทนของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาฯ ได้เข้าพบเจรจาขั้นสุดท้ายกับจอมพลประภาส จารุเสถียร และได้รับคำตอบว่าจะปล่อยผู้ต้องหาทั้ง 13 คน พร้อมร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน 1 ปี
หลังเที่ยงคืนของวันนั้น นักเรียน นักศึกษา และประชาชนที่ชุมนุมประท้วงติดต่อกันมาหลายวันหลายคืนได้มารวมตัวกันบริเวณหน้าสวนจิตรลดา และเริ่มมีการสลายตัวของฝูงชนในช่วงเช้ามืดประมาณตี 5 ของวันที่ 14 ตุลาคม 2516
แต่กลุ่มผู้ชุมนุมกลับถูกสกัดกั้นไม่ให้เดินทางกลับด้วยกำลังทหารและตำรวจ ทำให้เกิดเหตุปะทะย่อยๆ ขึ้นบริเวณหน้าสวนจิตรลดา ก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายกลายเป็นการที่รัฐบาลใช้กำลังทหารและตำรวจเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างรุนแรงในเวลาต่อมา
“ในใจตอนนั้นคิดเพียงว่า มันเหนื่อย มันเพลีย จะไปนอนที่หน้าหอใหญ่ (หอประชุมใหญ่ ม.ธรรมศาสตร์) แต่ระหว่างที่กลับมาเนี่ย ได้เกิดเหตุการณ์ที่มีผู้คนที่วิ่งกลับมาแล้วบอกต่อกันว่า ‘พวกเราถูกทำร้ายที่หน้าสวนจิตร’ จากความคิดที่จะนอนพักที่หน้าหอใหญ่ก็เปลี่ยนไป” โอริสสา กล่าว
หลังคำประกาศสลายการชุมนุมที่สวนจิตรลดา โอริสสาได้เดินทางกลับมาที่ธรรมศาสตร์พร้อมผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่ง และในใจของเขาคิดเพียงอยากกลับมาพักผ่อนหลังการชุมนุมต่อเนื่องมาหลายวัน แต่เมื่อเดินมาได้ระยะหนึ่งกลับมีผู้คนตะโกนบอกต่อกันว่า มีประชาชนถูกยิง ถูกทําร้าย
ขณะเดียวกัน เขาก็ได้ฟังวิทยุที่รายงานข่าวและพบว่าไม่ตรงกับความเป็นจริงที่เขารับรู้ โอริสสาจึงรวบรวมคนประมาณ 10 กว่าคน แล้ววิ่งฝ่ากระสุนจากหน้าหอประชุมใหญ่มุ่งหน้าสู่ ‘กรมประชาสัมพันธ์’ ซึ่งสมัยนั้นตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามกับโรงแรมรัตนโกสินทร์ที่ถนนราชดําเนินกลาง
“สิ่งที่คิดคือ สถานที่ที่เขาออกกระจายเสียงมาจากตรงนี้ ถ้าเรายึดตรงนี้ได้ เราจะไปพูดที่นี่ได้ เพื่อบอกประชาชนว่า ความเป็นจริงนั้นเป็นอะไร ตอนนั้นคิดแค่นั้น” โอริสสา กล่าว
โอริสสารวบรวมคนพร้อมกำชับอย่างหนักแน่นว่า “อย่าทำลายสิ่งของนะ ถ้าประตูเปิดไม่ได้ ก็พังประตูได้ไม่เป็นไร แต่สิ่งของข้างในอย่าไปแตะต้อง”
ทว่า เมื่อไปถึงกรมประชาสัมพันธ์ตามแผน พวกเขากลับไม่พบเจ้าหน้าที่หรือใครอยู่ภายในนั้นเลย โอริสสาและพวกจึงวิ่งลงมาจากตึกและบังเอิญพบกับ ‘รถของกรมประชาสัมพันธ์’ คันหนึ่ง แม้จะจำไม่ได้แน่ชัดว่ายึดมาได้อย่างไร แต่สุดท้ายพวกเขาก็ใช้รถคันดังกล่าวขับเคลื่อนกิจกรรมตลอดวันที่ 14-15 ตุลาคม 2516

ภาพ ‘โอริสสา ไอราวัณวัฒน์’ (ถือไมค์) ในช่วง 14 ตุลาฯ
“รถคันนั้นดีมากเลย เป็นรถที่ติดเครื่องเสียงไว้ มีลำโพง มีวิทยุ มีไมค์ ทุกอย่างพร้อมหมดเลย” โอริสสา เล่าถึงรถคันดังกล่าว
หลังยึดรถของกรมประสัมพันธ์และขับมาที่สนามหลวง ก็มีประชาชนคนหนึ่งถูกยิงที่ศีรษะ โดยลักษณะศพมีทางออกของกระสุนใหญ่กว่าทางเข้า (คาดว่ายิงโดย M16) โอริสสาได้บอกทุกคนให้ ‘แห่ศพ’ โดยใช้เตียงสนามยกศพก่อนนำขึ้นไปบนรถที่ยึดมา นำธงชาติคลุมร่างของเขา
ขบวนแห่ศพผ่านเส้นทางตั้งแต่ อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน-สะพานพุทธ-สี่แยกบ้านแขก ก่อนจะนำศพไปไว้ที่โรงพยาบาลศิริราช โดยระหว่างทางโอริสสาได้พูดถึงความโหดเหี้ยมของผู้ปกครองบ้านปกครองเมืองตลอดระยะทาง
โอริสสาจำได้ว่า ระหว่างขบวนแห่ศพได้มีประชาชนแสดงท่าทีสนับสนุน ผ่านการนำขนม ข้าว และเงินมาให้ แม้ตอนแรกพวกเขาจะไม่รับเงิน แต่เมื่อมีคนนำมาให้จำนวนมาก พวกเขาจึงเทปี๊บเอาขนมปังออกแล้วใส่เงินเข้าไปแทน
เมื่อส่งศพที่โรงพยาบาลศิริราชสำเร็จ พวกเขาได้ขับรถกลับมาทางสะพานปิ่นเกล้า เมื่อถึงกลางสะพานก็ได้เห็นภาพรถถังและทหาร พร้อมผู้คนที่ล้มลงจำนวนหนึ่ง โอริสสาจึงลงมาจากหลังคารถแล้วให้ทุกคนลงจากรถ เพื่อที่ตัวเองจะเป็นคนขับรถพุ่งชนรถถังคันนั้น
“ความรู้สึกตอนนั้นคือ ถ้าเราจัดการกับรถถังได้ ก็น่าจะดีกับพวกเรา… มีคนถามว่า ‘พี่จะทำไง’ ผมบอก ‘ขับรถชนรถถัง’ เขาบอก ‘ไปก็ไปพี่’ แต่ก็มีคนเตือนว่าถ้าขับรถชนรถถังก็อาจจะตายได้ เขาบอก ตายก็ตายด้วยกัน” โอริสสา เล่าบทสนทนาระหว่างอยู่บนสะพานปิ่นเกล้า
แต่ยังไม่ทันหาข้อสรุปของปฏิบัติขับรถพุ่งชนรถถัง ผู้คนแถวนั้นซึ่งอาจได้ยินบทสนทนาของพวกเขาได้ออกมายืนคล้องแขนกันเป็น ‘โซ่มนุษย์’ เพื่อกั้นไม่ให้พวกเขาขับรถพุ่งชนรถถัง
“มีผู้หญิงคนหนึ่ง น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผมในช่วงนั้นเข้ามา เขามาจับมือแล้วบอกว่า ‘อย่าไปเลย… เราตายกันมากแล้ว’ พอฟังแล้วก็รู้สึกสะอึกนะ เราเลยกลับขึ้นไปบนหลังคารถ แล้วก็ชวนกันกลับไปที่ รพ.ศิริราช ไปบริจาคเลือด” โอริสสา กล่าว
จากนั้น พวกเขาได้ขับรถกลับมาพักผ่อนข้างโรงแรมรัตนโกสินทร์ และแห่รถปราศรัยอีกรอบบริเวณถนนเจริญกรุง โดยระหว่างที่ขับผ่านแถวบริเวณวังบูรพา ได้มีเจ้าของร้านปืนเดินเข้ามาหาพวกเขาแล้วมอบ ‘กระสุน’ ให้จำนวนหนึ่งกล่อง ก่อนพวกเขาจะกลับมาที่ถนนดินสอ และจอดรถของกรมประชาสัมพันธ์ไว้ข้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
“วันที่ 15 ประมาณช่วงเที่ยงวัน ผมก็บอกทุกคนว่า ‘เราจบกันตรงนี้นะ’ แล้วก็แยกย้ายกลับบ้าน แต่มีเด็กคนนึงถามว่า ‘แล้วเงินเอาไง’ เมื่อมองที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เห็นนักศึกษาจํานวนหนึ่งไม่เกิน 10 คน พร้อมนักศึกษาหญิงคนหนึ่งกําลังพูด ผมก็บอกน้องให้หอบเอาปี๊บเงินเดินไป แล้ววางปี๊บไว้ บอกเขาว่า นี่เป็นเงินที่ได้รับบริจาคจากประชาชน” โอริสสา เล่าถึงช่วงท้ายของเหตุการณ์ 14 ตุลา
จากนั้น คนที่ขึ้นขบวนแห่ในรถก็กระจายตัวกัน โอริสสาเดินไปที่ ‘สะพานเฉลิมวันชาติ’ แล้วปล่อยกล่องลูกกระสุนที่ได้รับระหว่างแห่ขบวนลงในแม่น้ำ ซึ่งเป็นอันจบเหตุการณ์ 14 ตุลา ในมุมมองของเขา
“ผมสรุปง่ายๆ นะ 14 ตุลา เป็นเรื่องราวที่ประชาชนลุกขึ้นมาเรียกร้องเพื่อให้ได้มาเพื่อระบอบประชาธิปไตย แต่ขณะที่เราได้มันมา ถามว่าได้มาจริงมั้ย ก็ยังไม่จริงเสียทีเดียว แต่ก็คงเป็นประชาธิปไตยในระดับหนึ่ง”
“อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าชนชั้นปกครองเขาไม่ง่าย เราประมาทชนชั้นปกครองไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่เขาพยายามจะทำคือการทวงคืนอำนาจคืนมา ตรงนั้นคือที่มาของ 6 ตุลา 19 ในช่วงเวลาที่มันผ่านมาไม่กี่ปี มันคือการทวงคืน แล้วเป็นการทวงคืนที่คิดว่า มันเป็นการล้อมปราบและเข่นฆ่า ค่อนข้างชัดเจนมาก” โอริสสา กล่าว
แล้วขบวนการนักศึกษากับนักเรียนอาชีวะในช่วง 14 ตุลา สนิทกันหรือไม่?
โอริสสามองว่า “ก่อนหน้าก็ไม่ได้สนิท แต่เหตุการณ์ทำให้สนิทกัน” คือ เขาไม่ได้เข้าร่วมการประชุมงานกับศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาฯ และเป็นเพียงหนึ่งในผู้ร่วมการชุมนุมเท่านั้น ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างการยึดรถกรมปรพชาสัมพันธ์ก็เพื่อประกาศให้ผู้คนทราบว่าความจริงที่เกิดขึ้นคืออะไร
“ผมคิดว่ามันเป็นการต่อสู้จากจิตวิญญาณของผู้คน ถามว่ามีแกนนำมั้ย มี แต่ตอนนั้นทุกอย่างสลายไปแล้ว การต่อสู้ของ 14 ตุลาฯ คือการต่อสู้ที่ประชาชนทุกคนต่อสู้กันเอง” โอริสสา กล่าว
ด้วยเหตุผลข้างต้น เราจึงเห็นได้ว่าเหตุการณ์ 14 ตุลา จะมีรูปแบบการแสดงออกที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละหลุ่ม แต่ละคนก็ทำไม่เหมือนกัน แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับบ้านเมือง
“เพราะงั้นคุณจะเห็นได้ว่า ท้ายที่สุดกองสลากถูกเผา ตึกกรมประชาสัมพันธ์ถูกเผา ตึก ก.ต.ป. ถูกไฟเผา สถานีตำรวจนางเลิ้งถูกเผา แต่ละกลุ่มก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งมาจากความคิดของแต่ละคน แต่ผมแค่บอกคนที่ไปด้วยกันว่า เราจะไม่ทำลายอะไรก็ตาม เพราะงั้นสิ่งที่เราจะทำคือบอกข่าวกับผู้คนว่าความจริงเป็นอย่างไร” โอริสสา กล่าว
ศูนย์กลางอาชีวะฯ – แนวร่วมอาชีวะฯ – แนวร่วมอาชีวะเพื่อประชาชนฯ
เดิมนักเรียนอาชีวะจะรวมตัวกันในนาม ‘ศูนย์กลางนักเรียนอาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย’ อยู่ก่อนแล้ว โดยโอริสสาได้รับการติดต่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา
“ผมได้รับการติดต่อจากศูนย์อาชีวะฯ เขาอยากให้ผมเข้าไปร่วม เขามีกันตั้งแต่ประธาน กรรมการต่างๆ ผมถามว่าผมจะไปทำหน้าที่อะไร เขาบอกเป็นประชาสัมพันธ์แล้วกัน ผมบอกประชาสัมพันธ์น่าจะไม่มีสิทธิหรือเสียง ทำหน้าที่ให้ข่าวให้ความที่กรรมการบอกมา เขาจึงให้ผมเป็นตำแหน่ง ‘ประชาสัมพันธ์พิเศษ’ คือ มีสิทธิเข้าร่วมการประชุมและมีสิทธิทุกอย่างเหมือนกรรมการศูนย์อาชีวะรุ่นแรก” โอริสสา เล่าถึงช่วงที่เขาได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์อาชีวะฯ
เมื่อเป็นสมาชิกศูนย์อาชีวะฯ ได้ระยะหนึ่ง โอริสสาเริ่มเกิดความรู้สึก ‘ไม่ใช่’ หลังศูนย์อาชีวะฯ เริ่มแตกความคิดเห็นออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มที่ไม่เอาด้วยกับกลุ่มนักศึกษาและกลุ่มที่ไม่เอาอะไรเลย (เหมือนสังคมที่มีคนไม่สนใจอะไรเลย) ซึ่งโอริสสาจัดว่าอยู่ในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับทั้งสอง
“ตอนนั้นประธานของศูนย์อาชีวะฯ มาจากช่างกลปทุมวัน เราก็ต้องบอกว่ามีปัญหาทางความคิดกัน ค่อนข้างเยอะ แล้วก็เริ่มเกิดลักษณะ ‘ต่อต้านนักศึกษา’ จากตรงนี้ผมก็คิดว่ามันไม่ใช่” โอริสสา กล่าว
นอกจากนั้น ยังมีความพยายามที่จะจัดตั้งศูนย์กลางนักเรียนอาชีวะฯ ของแต่ละภาค ซึ่งโอริสสาก็ได้มีส่วนร่วมในการไปตั้งศูนย์ที่เชียงใหม่ แต่เมื่อไปถึงกลับมีรถมารับไปพักที่โรงแรม โอริสสาจึงตั้งคำถามว่า
“ผมก็ตั้งคำถามว่า ‘ใครเป็นคนให้มาพักที่นี่’ เขาก็บอก ‘มีคนเขาสนับสนุน’ ผมบอก ‘ใครล่ะ?’ และนั่นก็เป็นปากเป็นเสียงกันพอสมควร ท้ายที่สุดเขาก็พูดว่า ‘มึงมายิงกูมั้ย’ นี่เลยบอก ‘อย่างมึงอะ ยังไม่ทันได้คว้าปืนมึงก็ตายแล้ว’ พร้อมล้วงมือเข้าไปในย่ามตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วย่ามผมไม่มีอะไรเลย มีหนังสือ สมุดบันทึก ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แต่ผมรู้ว่าเขามีปืนแน่ๆ”
หลังเหตุการณ์นั้น โอริสสาจึงเริ่มปลีกตัวออกจากศูนย์อาชีวะฯ แต่จุดสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจออกมาคือ หลังเขาได้พบกับ ‘ผู้สนับสนุน’ ซึ่งเข้ามาจัดแจงหน้าที่ให้โอริสสาเป็นผู้ปราศรัยหลัก พร้อมยื่นข้อเสนอเงินเดือน ที่พัก รถ และปืน
“เขาถามผมว่า พักอยู่อย่างไร ที่ไหน ผมก็บอกอยู่กับพี่สาว แล้วค่าใช้จ่ายล่ะ ก็รับจากแม่ สิ่งที่เขาทำคือ เขาเสนอบ้านหนึ่งหลัง รถหนึ่งคัน และเงินเดือน ผมมีความรู้สึกว่านี่ไม่ใช่แล้ว ท้ายที่สุดผมไม่รับอะไรทั้งสิ้น เพราะผมไม่เดือดร้อนเรื่องการเงิน ผมไม่ได้ใช้จ่ายเยอะ”
“ก่อนที่จะจากกันวันนั้น เขาเอาปืนมาวาง บอกว่าเอาไปใช้ เฮ้อ ผมนี่มีความรู้สึกว่า ทำไมเจออย่างนี้อยู่เรื่อย เจอปืนอยู่เรื่อย ผมบอก ผมไม่ใช้ เหตุการณ์นั้น น่าจะเป็นเหตุการณ์สุดท้ายที่บอกตัวเองว่า ‘มันไม่ใช่แล้ว’” โอริสสา กล่าว
เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นในช่วงคาบเกี่ยวกับการเลือกตั้งกรรมการศูนย์กลางนักเรียนอาชีวะฯ ชุดใหม่ในปี 2517 แต่โอริสสาก็ไม่ได้เข้าร่วม เพราะรู้สึกเส้นทางการเคลื่อนไหวไม่ตรงกันแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ได้มีความพยายามตั้ง ‘แนวร่วมอาชีวะ’ ขึ้นมาแทน
“ประมาณปี 2518 มีการก่อตั้งแนวร่วมอาชีวะที่โรงเรียนอาชีวะแห่งหนึ่ง ซึ่งผมก็ไป…แต่แนวร่วมอาชีวะก็เป็นจุดหนึ่งที่บอกว่า ‘อาชีวะไม่ได้มีขั้วเดียว’ เพราะงั้นทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวของนักศึกษา แนวร่วมอาชีวะก็ไปเป็นการ์ดเสมอ แต่พอนานเข้าก็เกิดลักษณะ ‘การทหารนำการเมือง’ ซึ่งมัน ‘ไม่ใช่’ สำหรับผม”
สุดท้าย บทบาทของแนวร่วมอาชีวะฯ ก็เริ่มจางหายไป คือเริ่มไม่มาเป็นการ์ดในการชุมนุมของนักศึกษาหลายครั้ง แต่ก็มีหลายคนที่บอกว่า การมีแนวร่วมอาชีวะฯ เป็นเรื่องที่ดี คือนอกจากเป็นการ์ดในการชุมนุมแล้ว ยังช่วยสะท้อนภาพลักษณ์ว่านักเรียนอาชีวะไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มกระทิงแดงไปเสียหมด
ดังนั้น จึงมีการจัดตั้ง ‘แนวร่วมอาชีวะเพื่อประชาชนแห่งประเทศไทย’ หรือ ‘แนวร่วมอาชีวะเพื่อประชาชนฯ’ ขึ้น พร้อมปรับโครงสร้างองค์กรจาก ‘ประธาน’ เป็น ‘เลขาธิการ’ และโอริสสาซึ่งเป็นประธานสภานักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพขณะนั้น ก็ได้รับตำแหน่งเลขาธิการแนวร่วมอาชีวะเพื่อประชาชนแห่งประเทศไทย
“ถามว่าแนวร่วมอาชีวะเพื่อประชาชนฯ สำหรับเรา มีไว้เพื่ออะไร ก็เพื่อป้องกันคนที่มาก่อกวน ไม่ได้มีไว้เพื่อต่อสู้กับทหาร หรือต่อสู้กับใคร เราไม่ได้มีไว้เพื่อแบบนั้น” โอริสสา กล่าว
6 ตุลาฯ เมื่อฟ้าสาง และการเอาคืนของชนชั้นปกครอง
“ชนชั้นปกครองเขาไม่ยอมอะไรง่ายๆ การหวนคืนมันก็เกิดขึ้น ประพาสกลับมาก่อน ถนอมกลับมา แล้วกลับมาแบบที่ไม่ให้ใครแตะต้องได้ คือ บวชเข้ามาจากสิงคโปร์มาเป็นพระที่วัดบวร เรื่องนี้ถ้าคุณไม่ลุกขึ้นมาต่อต้าน เท่ากับคุณยอมรับมัน” โอริสสา กล่าว
หลัง 19 กันยายน 2519 จอมพลถนอม กิตติขจร ผู้หนีออกนอกประเทศไปจากเหตุการณ์ 14 ตุลา ได้กลับเข้ามาประเทศ โดยบวชเป็นสามเณรมาจากสิงคโปร์และตรงไปยังวัดบวรนิเวศฯ เพื่อบวชเป็นภิกษุ โดยอ้างเพื่อเยี่ยมอาการป่วยของบิดา ไม่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองอย่างใด ขณะที่วิทยุยานเกราะได้ตักเตือนมิให้นักศึกษาก่อความวุ่นวาย
จากนั้น ขบวนการนักศึกษาและประชาชนก็เคลื่อนไหวโดยทันที โดยยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลคัดค้านจอมพลถนอมที่ใช้ศาสนาบังหน้า เรียกร้องให้นำเอาจอมพลถนอมมาขึ้นศาลพิจารณาคดี และมีการชุมนุมเรื่อยมา
กระทั่ง 5 ตุลาคม 2519 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ลงรูปกรณีนักศึกษาเล่นละครที่ลานโพธิ์ เสียดสีกรณีช่างไฟฟ้า 2 คน ถูกฆ่าแขวนคอที่นครปฐม โดยมีรูป ‘อภินันท์ บัวหภักดี’ กับ ‘วิโรจน์ ตั้งวานิชย์’ นักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ร่วมแสดง ซึ่งถูกนำไปพาดหัวในลักษณะปลุกปั่นในวันที่ 6 ตุลาคม

ภาพ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ วันที่ 5 ตุลาคม 2519 และหนังสือพิมพ์ดาวสยาม 6 ตุลาคม 2519
“หนังสือพิมพ์ไปเขียนว่าหมิ่นพระบรมฯ มีรูปประกอบ ตรงนี้เห็นได้ชัดว่ามีการปลุกกระแส เพราะละครที่แสดงวันนั้น คนที่แสดงเป็นคนตัวเล็กๆ คือวิโรจน์กับอภินันท์ สองคนนี้ตัวเล็กมากเลยได้แสดง จนถึงปัจจุบันก็ยังตัวเล็กอยู่ แต่ภาพที่ออกไปเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร… กลายเป็นสิ่งที่จุดชนวนให้ผู้คนเกิดความรู้สึกแย่ต่อขบวนการนักศึกษา” โอริสสา กล่าว
โอริสสามองว่า การชุมนุมของกลุ่มที่อยู่ตรงข้ามกับขบวนการนักศึกษาเกิดขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็วในวันที่ 5-6 ตุลาคม และเหตุการณ์ก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในคืนวันที่ 5 ก็เริ่มมีการก่อกวนผู้ชุมนุมบริเวณหน้าหอประชุมใหญ่ ซึ่งการ์ดส่วนใหญ่ถูกวางไว้ที่บริเวณนี้
โอริสสาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อรุ่งสาง วันที่ 6 ตุลาคมว่า
“หลังเที่ยงคืนความรุนแรงก็ทวีขึ้น เริ่มมีการจุดไฟเผา มีควันตรงป้อมรปภ. มีการฉีกโปสเตอร์ข้างหน้าเข้ามา เป็นลักษณะอย่างนี้ตลอดทั้งคืน กระทั่ง ฟ้ายังไม่สางดี M79 ลูกหนึ่งได้ตกลงหลังตึกโดม ทำให้มีคนบาดเจ็บหลายคน และอีกลูกหนึ่งลงที่แถวกลางสนามบอล เยื้องกับตึก อมธ.”
“ซึ่งลูกนั้นไม่ระเบิด (ลูกที่ตกกลางสนามบอล) ผมเลยเอาเศษไม้ไปล้อมไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนเดินไปเหยียบ เพราะแม้มันไม่ระเบิดแต่จะระเบิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อีกอย่างคือ เวลานักข่าวมาทำข่าวจะได้ช่วยตรวจสอบดู”
“ผมเดินไปตรวจที่ท่าพระจันทร์ แล้วก็ไปท่าพระอาทิตย์ ฟ้าเริ่มสาง ก็เริ่มคุยกับแนวร่วมอาชีวะฯ ที่วางไว้ตรงท่าพระว่า ได้ยินเสียงปืนดัง ถี่ และรัวมาก คิดว่าเสียงมาจากแถวหน้าหอใหญ่ ตอนนั้นประตูถูกเขย่าแรงมาก แรงจนเห็นการโยกของมัน ท้ายสุดประตูก็พัง พวกเขา (กลุ่มที่อยู่ตรงข้ามกับนักศึกษา) ก็ไม่กล้าเข้ามา ส่วนเราก็พยายามที่จะยั้งเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ต้องบอกอย่างนี้ว่า มีคนตายที่หน้าหอใหญ่”
“ผมยังนึกถึงระหว่าง ‘คนที่อยู่’ กับ ‘คนที่ตาย’ พอนึกว่า สภาพจิตใจของคนที่อยู่คงจะแย่มาก ถ้าอยู่ๆ คนที่กำลังคุยกัน แล้วเพื่อนที่คุยด้วยกันก็ไม่ตอบอะไรกลับมา แล้วสิ่งที่เห็นก็คือ เพื่อนฟุบหน้าลงพร้อมกับเลือดที่นอง” โอริสสา กล่าว
โอริสสาเล่าว่า สมัยก่อนหอประชุมใหญ่ของท่าพระจันทร์มีเพียงบันไดเล็กๆ 2-3 ขั้น ไม่ได้มีเฉลียงสูงที่ยื่นออกมาอย่างปัจจุบัน ดังนั้น เพื่อป้องกันกระสุนที่ถาโถมเข้ามาในมหาวิทยาลัย พวกเขาจึงนำโต๊ะมาเรียงเป็นบังเกอร์ป้องกันกระสุน แม้สุดท้ายไม่อาจป้องกัน M16 ได้อยู่ดี
เมื่อเห็นว่ายั้งการโจมตีที่หน้าหอประชุมใหญ่ไม่ไหว การ์ดจำนวนหนึ่งได้พยายามบอกคนในมหาวิทยาลัยให้ออกไปทางประตูท่าพระจันทร์ โอริสสาและเพื่อนไปที่ตึก อมธ. และตึกวารสาร เพื่อบอกให้ทุกคนที่ซ่อนอยู่หนีออกไป โดยที่มารู้ทีหลังว่ามีคนติดอยู่ในตึกบัญชีเยอะมาก ทั้งที่เป็นคณะติดประตูท่าพระจันทร์
“ผมไปที่ตึก อมธ. บอกคนให้ถอย แต่ถามว่าบนตึกมีคนเหลือมั้ย ก็มีบางคน…แล้วเราก็ถอยไปที่ตึกวารสาร ขึ้นไปตามชั้นต่างๆ เคาะห้อง แล้วบอกให้ออกไปจากธรรมศาตร์ ซึ่งเราทำได้แค่เคาะห้องแล้วบอก บางห้องเปิด บางห้องไม่เปิด ผมไม่รู้ว่าท้ายที่สุดมีคนออกไปได้เยอะขนาดไหน”
โอริสสามองว่า หากให้คนจากตึกวารสารศาสตร์ออกด้านหน้าตึกเลยก็อาจเป็นอันตรายต่อคนที่ออกมา เพราะอยู่ในวิถีกระสุนที่อาจยิงมาได้ พวกเขาจึงพยายามทุบด้านหลังของตึกซึ่งขณะนั้นเป็นระแนงไม้ ให้คนออกผ่านช่องนั้นแล้วผ่านตึกโดมไปท่าพระจันทร์
“คนส่วนใหญ่ลอดช่องนั้นออกไป แต่ตอนนั้นผมก็เริ่มรู้สึกแสบตา พอจับดูก็พบว่าเป็นเลือด เลือดเริ่มไหลเข้าตา คิดว่ามาจากสะเก็ดปูนที่โดนกระสุนยิงโดนผนังแล้วกระเด็นเข้าตาเรา”หลังจากนั้น โอริสสาและเพื่อนก็ออกไปทางตึกศิลปศาสตร์ ผ่านช่องรั้วตาข่ายริมน้ำซึ่งมีคนเจาะไว้อยู่แล้ว จึงรอดรั้วนั้นไป และตัดสินใจลงแม่น้ําทั้งหมด 4 คน โดยมีโอริสสาเป็นคนที่ 3 ซึ่งมีน้ําสูงท่วมเอวเล็กน้อย
“สิ่งที่คิดตอนนั้นคือ ถ้าเราหลุดไปจากตรงนี้ได้ ถ้าเรารวบรวมคนได้ ผมจะไปตรงหน้าวังบูรพาที่มีคนเคยเอากระสุนมาให้เมื่อ 14 ตุลา ผมคิดจะไปแถวนั้นแล้วไปร้องขอจากเขา แต่ทุกอย่างเป็นเพียงความคิด” โอริสสา กล่าว
ระหว่างที่ซ่อนอยู่ริมแม่น้ำ โอริสสาก็ได้ยินเสียงก็โทรโข่งบอกให้ “ยกมือขึ้น พาดหัว เดินเรียงแถวมาทีละคน” จากนั้นก็เดินไปอยู่ตรงท่าน้ำ
“เดินไปสี่คน คนที่ 1 ตำรวจยื่นมือมารับ คนที่ 2 ก็ยื่นมือมารับ พอถึงตาผม สิ่งที่ผมเห็นคือ ปลายกระบอกปืนหันหน้ามาที่ผม เห็นแค่นั้น ก็ได้ยินเสียงรัวปืน แล้วผมก็หงายจมน้ำไป บอกกับตัวเอง ยังตายไม่ได้ เรายังตายไม่ได้”
โอริสสาจมน้ำตามแรงผลักของกระสุนแต่ยังไม่หมดสติ เขาไปผุดที่ใต้โป๊ะ ‘ร้านจั๊ว’ ซึ่งเป็นร้านอาหารที่เขาและเพื่อนมากินอยู่ประจำ เขามองเห็นน้ำที่นองไปด้วยเลือด จึงนึกถึงเพื่อนคนที่ 4 ซึ่งอาจได้รับวิถีกระสุนต่อจากเขา
“เราโดนตรงนี้ (ชี้ปาก) คนที่ 4 น่าจะโดนตรงแถวนี้ (ชี้ลิ้นปี่) เพราะกระสุนมาจากข้างบน เราดำน้ำลงไป คว้าตัวเขาขึ้นมาได้ก็ย้อนกลับไปที่ท่าน้ำ โชคดีที่เราโดนน้ำพัดไปไม่ไกลมาก ประมาณ 4-5 เมตร”
“เราส่งเขาขึ้นไปข้างบนท่าน้ำ ตำรวจดึงผมขึ้นมาจากน้ำ พอขึ้นไปได้ก็โดนสกรัม โดนพานท้ายปืนและกระทืบซ้ำ จนมีเรือมารับ คนที่ร่วมการชุมนุมและถูกยิงซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าถูกยิงตรงไหน เขาลุกขึ้นมาได้ 2-3 ก้าว ก็ล้มลง ผมรีบไปประคองลากไปขึ้นรือ ก่อนจะเห็นว่าเขาถูกยิงโดนลิ้นปี่ จากนั้นผมก็ถูกส่งไปที่ รพ.ศิริราช”
“เมื่อถูกส่งไปโรงพยาบาลก็พบว่ามีคนบาดเจ็บจำนวนมาก ขนาดที่มีหมอมาตรวจเราแล้วบอกว่า ‘คนนี้ไว้ก่อน กำลังใจยังดีอยู่’ แล้วหมอรู้ได้ไงว่าผมกำลังใจดี” โอริสสาพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ
“ผมถูกวางยาสลบ โดยเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินและมีความรู้สึกชื่นชมหมอคนนี้มาก คือ เขาบอกเสียงลั่นว่า ‘ที่นี่เป็นโรงพยาบาล! ไม่ให้ทหารตำรวจเข้ามาที่นี่! ผมรับผิดชอบที่นี่! ให้มันออกไป!’ ก่อนผมจะหมดสติไปเพราะยาสลบ”
จากนั้น โอริสสาก็อยู่โรงพยาบาลต่อไปอีก 3-4 วัน ก่อนได้รับการประกันตัว พร้อมหนังสือพิมพ์ลงว่าเขาเป็น 1 ใน 12 ผู้นำนักศึกษาที่คณะรัฐประหารประกาศจับ และถูกส่งเข้าเรือนจำทั้งที่ยังไม่ทันได้รักษาแผลในปากให้หายดี
“หมออธิบายว่า ผมกรามแตกเป็น 3 เสี่ยง ฟันข้างบนก็เสียหาย ส่วนฟันข้างล่างเสียหายมาก…ส่วนการรักษาคือ เขาช่วยมัดไว้ เหมือนทำครอบฟัน ยึดฟันบนล่างไว้ด้วยกัน…ตอนนั้นผมกินอะไรไม่ได้เลย ซึ่งเป็นอย่างนั้นอยู่นานมาก”
ชีวิตในเรือนจำ หลังตกเป็น 18+1 ผู้ต้องหาในคดี 6 ตุลาฯ
หลังการล้อมปราบที่ธรรมศาสตร์ มีประชาชนตกเป็นจำเลย 18 คน ถูกยื่นฟ้องใน 10 ข้อหา และอีก 1 คน เป็นผู้ต้องหาในศาลอาญา
“พวกเราที่ติดอยู่ด้วยกันเคยนั่งรวมโทษสูงสุดของแต่ละข้อหาดู ก็พบว่าถูกประหารชีวิตอยู่หลายครั้ง และติดคุกอยู่เป็นร้อยๆ ปี” โอริสสาพูดพร้อมหัวเราะ
โดยระหว่างที่โอริสสาถูกคุมขังในเรือนจำ นอกจากอิสรภาพที่ถูกขวางกั้นแล้ว เขายังถูกกีดกันให้ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่ดี คือ เขาได้ไปพบหมอที่ศิริราชเพียงครั้งเดียวในช่วงแรกของการเข้าไปในเรือนจำ
“ตอนไปหาหมอ เขาก็สอนว่าต้องทำอะไรเพื่อไม่ให้ที่ยึดฟันไว้ขยับเขยื้อน แล้วบอกว่า 3 เดือนจะตัดเหล็กที่ยึดไว้ออก แต่ก็ได้ไปหาหมอครั้งเดียว แล้วไม่ได้ไปอีกเลย” โอริสสา กล่าว
“สิ่งที่เกิดคือ ‘แผลเน่า’ โรงพยาบาลต้องคัดหนอง คัดเลือดออก ระหว่างคัดหนองบางวันก็มีเศษกระดูกเล็กๆ ติดออกมา… จากนั้น ผมก็ใช้กรรไกลตัดเล็บตัดลวดที่ยึดระหว่างฟันบนล่างออก ซึ่งดึงออกทีไรก็มีเลือดไหลออกมา เพราะเป็นลวดที่ร้อยเข้าไปในเหงือก”
หากอ่านบันทึก 6 ตุลาฯ ของผู้ถูกจับกุมจากการชุมนุมในช่วงเวลานั้น หลายคนต่างมีประสบการณ์ถูกทำร้ายร่างกายหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ต่างกัน โดยโอริสสาเองไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกายมากนัก อาจเพราะแผลในปากของเขาที่ยังไม่สมานกันดี อย่างไรก็ตาม เขายังมีประสบการณ์ถูกทำร้ายจิตใจผ่านวาจาของเจ้าหน้าที่รัฐ
“ช่วงหนึ่ง มีคนมาเยี่ยมผมที่เรือนจำ เราก็พูดคุยผ่านที่กั้นระหว่างเรากับคนที่มาเยียม ผมพูดคุยไม่ได้ค่อยได้ จากแผลที่เป็นอยู่ คือ เสียงมันไม่ออกมาหรือออกเสียงได้ไม่ชัดเจน”
“แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พูดกับคนมาเยี่ยมว่า ‘ก็มันเป็นเวียดนามอะ มันจะพูดอะไรได้ชัด’ ตอนนั้นผมแบบ อื้อหือ…” โอริสสา กล่าว
อาจเพราะช่วงเวลาดังกล่าวมีคนเวียดนามจำนวนหนึ่งถูกขังอยู่ในเรือนจำเช่นกัน แต่เขาไม่มั่นใจว่าคดีอะไร และเขาไม่รู้ว่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเอ่ยถ้อยคำดังกล่าวมาจาก ‘ความไม่รู้’ หรือ ‘ความตั้งใจ’ ถึงกระนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกเหยียบย่ำทางความรู้สึกไปแล้ว

ภาพ โปสเตอร์รณรงค์เรียกร้องให้โอริสสาเข้าถึงการรักษาพยาบาลจากนานาชาติ (หนังสือบทเพลงแห่งความขมขื่น โดย โอริสสา ไอราวัณวัฒน์)
สุดท้ายมีการเรียกร้องให้โอริสสาได้เข้าถึงการรักษาพยาบาล เขาจึงถูกส่งไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ แต่หมอที่ราชทัณฑ์ก็ไม่สามารถให้การรักษาได้ เพราะจำเป็นต้องใช้แพทย์เฉพาะทาง แต่ด้วยแผลที่อักเสบมาก เขาจึงต้องกินยาแก้อักเสบวันละ 3 มื้อ เพื่อบรรเทาอาการไปก่อน
จากนั้น เขาก็ถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ และหมอได้ทำเรื่องขอผ่าตัดใหญ่เพื่อเปิดแผลและให้รักษาที่โรงพยาบาล 2-3 คืน แต่ราชทัณฑ์ไม่อนุมัติ กว่าโอริสสาจะได้รักษาให้หายดีก็หลังได้รับการนิรโทษกรรมในปี 2521
หากมองย้อนกลับไป 14 ตุลา และ 6 ตุลา คืออะไร?
“ผมมองว่าเป็นขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนทั่วไป ที่ออกมาชุมนุมเรียกร้อง…ผมรู้สึกว่าคนเหล่านี้เขาถูกบีบกด ท้ายที่สุดเขาก็แสดงออก แต่พฤติกรรมการแสดงออกของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บางคนแสดงออกโดยการทำลายสิ่งของซึ่ง ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งผู้คนเขาจะทำได้ แต่ถ้าถามผมคือ ส่วนตัวผมไม่ค่อยนิยมการทำลายแค่นั้นเอง แต่ก็ไม่มีความรู้สึกว่าเขาผิดนะ” โอริสสา กล่าว
เมื่อเวลาผ่านมาเกือบครึ่งศตวรรษ เหตุการณ์ 6 ตุลา ถูกนิยามและให้ความหมายมากมายจากคนหลายฝ่าย แต่ในมุมมองของโอริสสา เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงหนึ่งในรูปแบบการเคลื่อนไหวของประชาชนที่ถูกกดขี่ โดยเขายกตัวอย่างกรณีการประท้วงของเนปาลในช่วงปีนี้ (2568)
หากมองย้อนไปวันที่ 6 ตุลา 2519 โอริสสาก็ยังคงสงสัยว่า ขณะที่พวกเขาหลบซ่อนอยู่ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงยื่นมือมารับเพื่อนของเขาทั้ง 2 คน แต่กลับเอาปลายกระบอกปืนจ่อหัวเขาซึ่งเป็นคนที่ 3
“ผมก็สงสัยนะ แต่ก็มีแค่ความสงสัย ว่าทำไมสองคนได้ขึ้นไป ทำไมถึงตาเราเขาไม่รับ แต่เขายิง ก็สงสัย แต่ถ้าจะหาคำตอบเนี่ย เราคงต้องไปเจอคนยิง ซึ่งก็คงบอกไม่ได้อีกว่าเป็นใคร ใช่มั้ย” โอริสสา กล่าว
ถึงผู้ที่ต้องคดีการเมืองตอนนี้ และการนิรโทษกรรมในอนาคต
สถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน มีผู้ต้องคดีการเมืองหลายพันคน โดยเฉพาะหลังการชุมนุมของประชาชนหลังปี 2563 ซึ่งมีผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและการชุมนุมทางการเมืองในข้อหาตามมาตรา 112 อย่างน้อย 284 คน ใน 317 คดี (ข้อมูลเดือนตุลาคม 2568)
ถึงกระนั้น 16 กรกฎาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการและเหตุผลในการนิรโทษกรรม โดยมีมติไม่รับหลักการ 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติของพรรคก้าวไกล (เดิม) และร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชน ซึ่งนำมาสู่ความกังวลว่าจะมีประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิเสรีภาพหลายพันคนไม่ได้รับการนิรโทษกรรมครั้งนี้
โอริสสาผู้เคยได้รับการนิรโทษกรรมในเดือนกันยายน 2521 ได้ออกมาใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป มองว่า “การนิรโทษกรรมครั้งนี้ไม่ควรถูกปัดตก และสมควรได้รับการพิจารณา”

ภาพ วันที่ผู้ต้องหาในคดี 6 ตุลาฯ ได้รับอิสรภาพ จากการนิรโทษกรรม
แต่หากมองย้อนไปในสมัยที่เขาได้รับการนิรโทษกรรม เขาก็รู้สึกว่าการนิรโทษกรรมในครั้งนั้น เกิดขึ้นหลังรัฐบาลถูกกดดันจากนานาชาติ และความจริงที่ปกปิดไว้ก็เริ่มปรากฏขึ้นระหว่างการสืบพยาน ‘การนิรโทษกรรม’ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดของชนชั้นปกครองขณะนั้น
“อย่างชุดผม (6 ตุลาฯ) ถามว่าทำไมได้นิรโทษกรรม เพราะสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยน ในที่นี้หมายถึง ใครก็ตามที่เป็นรัฐบาลในช่วงนั้น ถูกบีบกดจากต่างประเทศ เขาไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้ยืดเยื้อยาวนานได้…”
“เขาออกกฏหมายนิรโทษกรรมครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อพวกผม แต่เป็นเพื่อพวกเขา เพราะฉะนั้น คนที่ถูกดำเนินคดีในช่วงเวลานี้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป พวกเขาก็จะได้กลับมา” โอริสสา กล่าว
แม้เวลาล่วงเลยมาเกือบ 50 ปี บาดแผลในปากจากการถูกยิงของโอริสสายังคงอยู่ โดยไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่า ‘ใครเป็นผู้กระทำ’ และ ‘ทำไมเขาถึงกลายเป็นผู้ถูกกระทำ’
ตลอดเวลา 50 ปี ยังมีหลายเหตุการณ์ที่ประชาชนออกมาเรียกร้องและแสดงออกทางการเมือง แต่ถูกล้อมปราบ ถูกดำเนินคดีทางการเมือง บ้างก็เกิดการรัฐประหาร
จนดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทยจะยังเวียนวนอยู่ที่เดิม
สุดท้ายนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ‘การนิรโทษกรรม’ อาจเป็นทางออกหนึ่งของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น คือ เพื่อยุติความขัดแย้งและความคิดเห็นทางการเมืองและอยู่ร่วมกันได้แม้เห็นต่าง ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและประเทศชาติที่จะมีบุคลากรคุณภาพอีกหลายพันคนมาร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับการขึ้นศาลหรือถูกคุมขังจากคดีทางการเมือง
Photographer: Channarong Aueudomchote
Graphic Designer: Krittaporn Tochan