ย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ท่ามกลางสังคมไทยมีการชุมนุมปราศรัยไม่เว้นแต่ละวัน ในห้วงเวลาดังกล่าว ได้มีแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 โดย ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมในห้วงเวลาดังกล่าวซึ่งเนื้อหาบางส่วนระบุว่า
รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงจําเป็นต้องเพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติ โดยจะบังคับใช้กฎหมาย ‘ทุกฉบับ ทุกมาตรา’ ที่มีอยู่ ต่อผู้ชุมนุมที่กระทําความผิด ฝ่าฝืนกฎหมาย เพิกเฉยต่อการเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น โดยจะดําเนินคดีต่างๆ ตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศ
นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการกลับมาบังคับใช้มาตรา 112 ควบคู่กับกฎหมายอื่นๆ ที่ใช้มาก่อนหน้านี้ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ, ละเมิดอำนาจศาล หรือมาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น
การใช้กฎหมายปราบปรามประชาชนอย่างเข้มข้น เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้กระแสการชุมนุมซบเซาลงในช่วงหลัง ขณะที่คดีความที่เกิดขึ้นในชั้นศาล ก็เกิดคำถามและข้อน่ากังวลเรื่อง ‘ความโปร่งใส’ ของกระบวนการยุติธรรม
โดยเฉพาะระยะหลังที่มีการจำกัดการเผยแพร่เนื้อหาในชั้นศาล และการกีดกันไม่ให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี บางคดีที่ยกฟ้องในศาลชั้นต้นก็ถูกกลับพิพากษาลงโทษในชั้นอุทธรณ์ จากการขยายความมาตรา 112 การตีความเจตนาของจำเลย พร้อมให้น้ำหนักต่อบริบทแวดล้อม เพื่อวินิจฉัยว่าจำเลยมีเจตนาดูหมิ่นสถาบันฯ ทางอ้อม
The MATTER ได้รวบรวมและวิเคราะห์สถิติสำคัญของการพิจารณาคดีการเมืองในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อทำความเข้าใจปัญหาและผลกระทบของการพิจารณาคดีการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
คดีที่ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีเป็นการลับ
‘การพิจารณาคดีลับ’ คือ การที่ศาลไม่อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้าห้องพิจารณาคดี จะมีเพียงโจทก์ จำเลย ทนาย เจ้าหน้าที่ต่างๆ และผู้ได้รับอนุญาตจากศาลเท่านั้น
โดยศาลจะใช้อำนาจตาม ป.วิอาญา มาตรา 177 ซึ่งบัญญัติหลักเกณฑ์การพิจารณาคดีอาญาเป็นการลับว่า สามารถทำได้เมื่อศาลเห็นสมควรโดยพลการหรือโดยคำร้องขอของคู่ความฝ่ายใด “แต่ต้องเพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันความลับอันเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศมิให้ล่วงรู้ถึงประชาชน”

ภาพ สถิติคดีที่ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีเป็นการลับ
จากรายงานของศูนย์ทนายฯ เกี่ยวกับการพิจารณาคดีลับหลังปี 2563 สามารถจัดหมวดหมู่คดีที่ถูกสั่งให้พิจารณาลับ 2 ประเภท ซึ่งเป็นคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 ทั้งหมด ดังนี้
ถูกสั่งให้ลับในนัดตรวจพยานหลักฐานหรือการสืบพยาน แบ่งเป็นกรณี ‘สั่งตามคำขอของอัยการ’ 2 คดี คือ ศิระพัทธ์ คดีลักรูป ร.10 และ ต่อ คดีเผาป้ายรูป ร.10 และกรณี ‘ศาลสั่งพิจารณาลับเอง’ 3 คดี คือ บัสบาส รวมคดีโพสต์เฟซบุ๊ก 2 คดี และ ทักษิณ ชินวัตร คดีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้
กรณีของ อานนท์ นำภา คดีปราศรัยม็อบแฮร์รี่พ็อตเตอร์ ถูกศาลสั่งให้ลับจากการที่อานนท์ ‘ถอดเสื้อประท้วง’ ที่ศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญ ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นการก่อความวุ่นวาย ไม่เคารพการพิจารณาคดี จึงให้เป็นการพิจาณาลับ พร้อมตั้งข้อหาละเมิดอำนาจศาล
ถูกสั่งให้ลับในตลอดการพิจารณาคดี คือ คดีโพสต์เฟซบุ๊กของ บุปผา (นามสมมติ) ซึ่งเป็นคดีสืบเนื่องจากศาลทหารในยุคคสช. แม้จะย้ายมาศาลพลเรือนแล้วก็ยังสั่งให้ลับอยู่ ขณะที่คดีแชร์โพสต์เฟซบุ๊กของ นายทหารคนหนึ่ง ก็เป็นคดีภายใต้ศาลทหารเช่นกัน โดยอัยการทหารอ้างเรื่องความมั่นคง
‘ศาลอาญา’ สั่งห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี
นอกจากการสั่งพิจารณาลับแล้ว ยังมีกรณีที่ ‘ศาลอาญา’ สั่งห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี โดยเฉพาะคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ และมีความเกี่ยวข้องกับมาตรา 112 โดยระบุว่า ห้ามมิให้บุคคลใดนำเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี และในศาลอาญาถ่ายทอดสู่สาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต

ภาพ สถิติคดีที่ศาลสั่งห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี
จากรายงานของศูนย์ทนายฯ พบว่า การสั่งห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีเพิ่งเกิดขึ้นในปี 2568 โดยสามารถแบ่งประเภทของคดีได้ดังนี้
คดีจากการแสดงออกในพื้นที่สาธารณะหรือการชุมนุม เป็นคดีจากการชุมนุมในปี 2563 ทั้งหมด ได้แก่ คดีที่อานนท์ปราศรัยประเด็นปฏิรูปสถาบันฯ หน้า สน.บางเขน, คดีปราศรัยปลดอาวุธศักดินาไทย และคดีชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ที่สนามหลวง ซึ่งมีนักกิจกรรมเป็นจำเลยในคดีนี้ถึง 22 คน
คดีละเมิดอำนาจศาล ในวันที่ 28 มีนาคมของอานนท์ที่สืบเนื่องจากการถอดเสื้อประท้วง ซึ่งนอกจากถูกห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาแล้ว คดีนี้ก็เหมือนเป็นการพิจารณาลับ ‘โดยอ้อม’ เนื่องจากศาลไม่เบิกตัวอานนท์ไปที่ห้องพิจารณาคดี พร้อมเรียกทนายไปฟังคำสั่งที่ ‘ห้องเวรชี้’ ซึ่งเป็นห้องขนาดเล็กและให้เพียงทนายเข้าไปเท่านั้น
คดีจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ โดยเป็นคดีจากการโพสต์ข้อความหรือเผยแพร่เนื้อหา 3 คดี ได้แก่ คดีไลฟ์สดก่อนขบวนเสด็จหน้า UN ของ ตะวัน, คดีโพสต์วิจารณ์ตำรวจที่สลายการชุมนุมและพาดพิงกษัตริย์ของ โตโต้ ปิยรัฐ และการโพสต์ข้อความสืบเนื่องกับการสลายการชุมนุมแยกปทุมวันของ นารา
ขณะที่อีก 3 คดี เป็นข้อกล่าวหา ‘แอดมินเพจเฟซบุ๊ก’ ได้แก่ นรินทร์ – เพจกูKult, จิรวัฒน์ – เพจคนกลมคนเหลี่ยม, บี๋ นิราภร – เพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม
‘พิจารณาลับ-ห้ามเผยแพร่เหตุการณ์’ ขัดหลัก ‘การพิจารณาคดีที่เป็นธรรม’
ทนายเมย์–พูนสุข พูนสุขเจริญ หัวหน้าฝ่ายรณรงค์ภายในประเทศ จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เล่าว่า นอกจากการสั่งพิจารณาลับและห้ามเผยแพร่เหตุการณ์แล้ว ยังมีการจำกัดการเข้าถึงของประชาชนผ่านกลไกอื่นๆ ในทางปฏิบัติ
ยกตัวอย่าง การเลือกใช้ห้องพิจารณาคดีที่คับแคบและมีที่นั่งจำกัด โดยอ้างเหตุผลว่า ‘ที่นั่งเต็ม’ หรือกรณีการโยกย้ายจำเลยไปยังห้องเวรชี้เพื่อหลีกเลี่ยงการสังเกตการณ์ (กรณีของอานนท์)
นอกจากนั้น ยังมีการสร้างมาตรการที่ซ้ำซ้อนหรือกีดกันการเข้าถึง-เผยแพร่การพิจารณาคดี เช่น การตรวจบัตรประชาชนก่อนเข้าห้องพิจารณาคดีอีกครั้ง ทั้งที่มีการตรวจก่อนเข้าอาคารศาลแล้ว, การสั่งห้ามจดบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดี
พูนสุขมองว่า เหตุการณ์เหล่านี้ขัดกับ ‘หลักการพิจารณาคดีอาญาโดยเปิดเผย’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม และหลักสิทธิมนุษยชนที่เรียกร้องให้รัฐกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อคุ้มครองสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมของผู้ต้องหาและจำเลย
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาว่า “กระบวนพิจารณาในคดีนั้นเป็นไปโดยบริสุทธ์ยุติธรรมหรือไม่?” ซึ่งสามารถสร้างความเชื่อถือและศรัทธาต่อองค์กรตุลาการ เพราะเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ประชาชนจะสามารถใช้ในการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายตุลาการซึ่งใช้อำนาจรัฐว่าโปร่งใสหรือเป็นที่พึ่งให้เขาได้หรือไม่
สาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงหลักการพิจารณาคดีอาญาโดยเปิดเผยในงานเสวนา “ถ้าใครพูด จะจับขังให้หมด” วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ว่า นอกจากการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยจะเป็นหลักประกันสิทธิของจำเลยและให้อำนาจการตรวจสอบศาลกับประชาชนแล้ว หลักการนี้ยังคุ้มครองการทำงานของผู้พิพากษาด้วย
กล่าวคือ หากมีการพิจารณาคดีตามกฎหมายจริง แล้วคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกว่าการตัดสินคดีนี้ไม่ยุติธรรม แต่ประชาชนเข้ามาดูการพิจารณาคดีแล้วเห็นว่าศาลพิจารณาไปตามปกติ ประชาชนก็จะเป็นเครื่องยืนยันให้ศาลว่า ‘ตัดสินไปตามข้อกฎหมายตามข้อเท็จจริงแล้ว’
ทั้งนี้ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ได้กำหนด ‘ข้อยกเว้น’ สำหรับการพิจารณาคดีลับ 4 เหตุผล คือ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม, ความมั่นคงของชาติหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, มีความจำเป็นเกี่ยวกับส่วนได้เสียของคู่ความในคดี และเสื่อมเสียต่อผลประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ขณะที่ ป.วิอาญา มาตรา 177 ซึ่งให้อำนาจศาลไทยในการพิจารณาคดีลับ ระบุไว้เพียง 2 เหตุผล คือ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม และความมั่นคงของชาติ
หากเปรียบเทียบกันแล้วจะเห็นว่า การพิจารณาคดีลับตามมาตรา 177 มีความไม่ชัดเจนในการกำหนดขอบเขตของข้อยกเว้น ซึ่งนำมาสู่การตีความกฎหมายของศาลที่เกินกว่าตัวบทหรือขอบข่ายอำนาจ และศาลไม่ควรพิจารณาให้เป็นลับด้วยตัวเอง หากไม่เข้าเงื่อนไขและจำเลยไม่ได้ร้องขอ
จากสถิติการพิจารณาคดีการเมืองพบว่า คดีที่ถูกสั่งให้ลับจะมีความเกี่ยวข้องกับข้อหามาตรา 112 ซึ่งนำมาสู่คำถามว่าคดีเหล่านี้ ขัดต่อศีลธรรมหรือกระทบต่อความปลอดภัยของประเทศอย่างไร
ศาลอุทธรณ์ ‘แก้-กลับ’ คำพิพากษา
นอกจากการสั่งพิจารณาลับและห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดีแล้ว สถานการณ์คดีการเมืองตอนนี้ยังมีอีกประเด็นที่น่าจับตามอง คือ การที่ศาลอุทธรณ์แก้หรือกลับคำพิพากษาจากศาลชั้นต้น

ภาพ สถิติคดีที่เคยสั่งยกฟ้องทั้งหมด ศาลอุทธรณ์กลับลงทุกกระทง
ข้อมูลจากศูนย์ทนายฯ พบว่า ในช่วงปี 2567-2568 มีคดีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องทั้งหมด แต่ศาลอุทธรณ์กลับลงโทษทุกกระทง 7 คดี โดยให้เหตุผล ดังนี้
การให้น้ำหนักพยานหลักฐาน ได้แก่ พชร คดีโพสต์ข้อความในกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส ซึ่งเป็นการกลับแม้หลักฐานทางเทคนิคไม่ชัดเจน และ ฉัตรมงคล คดีคอมเมนต์ในโพสต์เพจศรีสุริโยไท ที่กลับไปเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้
การตีความ ‘เจตนา’ โดยอ้อม ได้แก่ คดีโพสต์ภาพสวมเสื้อ “เราหมดศรัทธาฯ” ของ ทิวากร และ คดีวางป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” ใต้รูปร.10 ของ แซน สุปรียา ซึ่งศาลตีความจากการกล่าวอ้างโดยอ้อมและใช้บริบทแวดล้อมทางกายภาพมาพิจารณา
การตีความ ‘การกระทำ’ ได้แก่ ณัฐชนน ไพโรจน์ ถูกกล่าวหาเป็นผู้ผลิต ‘หนังสือปกแดง’ กลับด้วยเหตุผลที่ณัฐชนนนั่งหน้ารถบรรทุกหนังสือ ถือเป็นการช่วยเหลือและส่งเสริมให้ดูถูกเหยียดหยามกษัตริย์
คดีโพสต์ภาพถือป้ายข้อความในการชุมนุม #บ๊ายบายไดโนเสาร์ ของ ตี้ วรรณวลี และพวกอีก 2 คน ซึ่งตอนแรกศาลชั้นต้นยกฟ้องทุกคนยกเว้นตี้ ศาลอุทธรณ์กลับเป็นลงโทษทุกคน เนื่องจากข้อความทั้งสามป้ายรวมกัน ย่อมสื่อความหมายถึงกษัตริย์
สุดท้ายคือคดีขัดขวางขบวนเสด็จพระราชินีฯ ซึ่งมีจำเลย 5 คน ถูกกลับฟ้องมาตรา 110 จำคุกคนละ 16 ปี ยกเว้น เอกชัย หงส์กังวาล จำคุก 21 ปี 4 เดือน โดยศาลเชื่อว่าจำเลยมีเจตนาขัดขวางขบวนเสด็จฯ

ภาพ สถิติคดีศาลอุทธรณ์ ‘แก้-กลับ’ คำพิพากษา
ข้อมูลจากศูนย์ทนายฯ ระบุ มีกรณีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง 112 แต่ให้ผิดในข้อหาอื่น แล้วศาลอุทธรณ์แก้ลงโทษ 112 ด้วย ทั้งหมด 6 คดี ดังนี้
จากลงเฉพาะ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ แก้ลง 112 ด้วย คือ คดีของ จรัส และ วุฒิภัทร จากกรณีคอมเมนต์วิจารณ์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และคอมเมนต์กรณีสวรรคต ร.8 ตามลำดับ โดยศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลในการแก้คำพิพากษา ผ่านการขยายความมาตรา 112 คุ้มครองถึงกษัตริย์องค์ก่อน
จากลงเฉพาะข้อหาทำลายทรัพย์สินสาธารณะ แก้ลง 112 ด้วย ใน 4 คดี ของ สมพล (นามสมมติ) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าปาสีแดงใส่พระบรมฉายาลักษณ์ตามสถานที่ต่างๆ โดยศาลอุทธรณ์ให้เหตุผลในการแก้คำพิพากษาว่า จำเลยมุ่งประสงค์กระทำต่อพระบรมฉายาลักษณ์ ร.10 เป็นการเฉพาะ
ถึงกระนั้น ยังมี 1 คดีที่ศาลชั้นต้นลงโทษ 112 แต่ศาลอุทธรณ์กลับยกฟ้อง คือ นรินทร์ คดีแปะสติกเกอร์ “กูkult” คาดตาบนพระบรมฉายาลักษณ์ เนื่องจากไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าจำเลยเป็นผู้สวมเสื้อผ้าขณะผู้ก่อเหตุติดสติกเกอร์
สุดท้ายนี้หากสังเกตศาลชั้นที่ยกฟ้องคดีต่างๆ ในสถิติคดีศาลอุทธรณ์ ‘แก้-กลับ’ คำพิพากษา ทั้ง 3 กรณี จะพบว่า การยกฟ้องดังกล่าวมาจากจากศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลต่างจังหวัดถึง 12 คดี จาก 14 คดี
ปรากฏการณ์ศาลอุทธรณ์ ‘แก้-กลับ’ คำพิพากษา สะท้อนอะไร?
“ถ้าถามว่าในทางทฤษฎีมันเกิดขึ้นได้ไหม ก็เกิดขึ้นได้ หรือถ้ามองแต่ละคดีอย่างปัจเจก สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ค่ะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ เหมือนกลายเป็น ‘เทรนด์’ มากกว่า พอคดี 112 ขึ้นสู่ศาลที่ชั้นสูงขึ้น ศาลมักจะพิพากษาลงโทษ” พูนสุข ตอบ
นอกจากปรากฏการณ์แก้-กลับคำพิพากษาโดยศาลอุทธรณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ สิ่งที่น่าสนใจ คือ การที่คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดูเหมือนจะมี ‘ความเป็นอิสระ’ หรือ ‘ความเท่าทันสังคม’ มากกว่า โดยเฉพาะศาลในต่างจังหวัด
พูนสุขยกตัวอย่าง กรณีที่ศาลชั้นต้นหลายแห่งยกฟ้องคดีวิจารณ์กษัตริย์องค์ก่อน เนื่องจากมาตรา 112 ระบุคุ้มครองเพียงรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นการตัดสินตามบทบัญญัติในกฎหมาย ไม่ได้ขยายความให้กว้างกว่าที่มีการระบุไว้
ทั้งนี้ โครงสร้างขององค์กรศาลยุติธรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ เพราะยิ่งขึ้นศาลสูงยิ่งเป็นการกระชับอำนาจเข้าระบบศูนย์กลาง คือ ‘ศาลชั้นต้น’ จะกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ‘ศาลอุทธรณ์’ จะแยกเป็นภาค 1-9 และ ‘ศาลฎีกา’ มีเพียง 1 ศาล
นอกจากนั้น การพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นยังมีลักษณะที่ศาลนั่งพิจารณาและสืบพยานหลักฐานด้วยตัวเอง หากมีข้อสงสัยก็สามารถซักถามโจทก์และจำเลยได้ทันที ขณะที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะเป็นการพิจารณาคดีผ่านสำนวนคดี
“อันนี้เป็นความแตกต่างของการสู้คดีในศาลสูง ทําให้เวลาสู้กันในศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา เหมือนสู้ กันผ่านเอกสารอย่างเดียว รอบเดียวเท่านั้น โอกาสในการสู้คดีเลยค่อนข้างจํากัดมากกว่าศาลชั้นต้นอยู่ด้วย” พูนสุข กล่าว
ผ่านมา 5 ปี สถานการณ์คดีการเมืองเป็นอย่างไรบ้าง?
“หลังปี 2566 เป็นต้นมา เราได้รัฐบาลที่อาจเรียกว่า ‘รัฐบาลพลเรือน’ แต่ถามว่า สถานการณ์ดีขึ้น หรือเปล่า เราคิดว่าไม่ได้ดีขึ้น หรือในแง่ที่ว่าคดีที่เกิดขึ้นในห้วงปี 2563 ก็ยังดํารงอยู่ แม้จะมีความพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรมอะไรก็ตาม” พูนสุข กล่าว
พูนสุขได้ไล่เรียงสถานการณ์คดีการเมืองให้เราฟัง ตั้งแต่ปี 2563 ที่เริ่มดำเนินคดีกับผู้ชุมนุม มีการจับกุม แต่ก็ให้ประกันตัว ก่อนปี 2564 แกนนำหลายคนจะถูกถอนประกัน และเริ่มมีการใช้กำไล EM อย่างแพร่หลายในปี 2565
กระทั่งช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่หลายคดีดำเนินมาถึงขั้นพิพากษาในศาลชั้นต้น เมื่อถึงชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา ศาลก็มักไม่อนุญาตให้ประกันตัว ทำให้จำนวนผู้ถูกคุมขังในเรือนจำช่วงปี 2567-2568 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนอาจเทียบได้ว่า “เยอะกว่าช่วง คสช.”
หากพิจารณาจากจำนวนผู้ผู้ถูกคุมขังในเรือนจำจากคดีแสดงออกทางการเมืองในเดือนพฤศจิกายน 2568 พบว่า มีผู้ถูกคุมขังระหว่างสู้คดีเกินครึ่งของจำนวนทั้งหมด คือ 32 จาก 55 คน และเป็นคดีถึงที่สุดแล้ว 23 คน โดยส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวข้องกับมาตรา 112
“แต่เราว่า จริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ อาจไม่ได้มีปัจจัยจากรัฐบาลเสียทีเดียว เราคิดว่าเป็นปัจจัยการบังคับใช้ของศาลยุติธรรมในแต่ละปีมากกว่า” พูนสุข กล่าว
ข้อเสนอต่อกระบวนการยุติธรรม เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ทุกฝ่าย
“สิ่งที่พูดคุยกันมา ต่างชี้ชัดถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจริงๆ ควรเป็นหลักการพื้นฐานที่จะการันตีว่า ใครก็ตามที่เข้ามาที่สู้เพื่อตัวเองในกระบวนการยุติธรรมนี้จะได้รับความเป็นธรรมอย่างเสมอภาค แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่า การสู้คดีของจำเลยที่ผ่านมานั้นเป็นธรรม” พูนสุข กล่าว
พูนสุข เสริมว่า เมื่อมีความผิดปกติบางอย่างในกระบวนการยุติธรรมแล้ว ผลสุดท้ายเธอจึงไม่สามารถพูดได้ว่ากระบวนการพิจารณาคดีที่ผ่านมาเป็นธรรมต่อจำเลย กระนั้น พูนสุขได้เสนอทางออกเพื่อสร้างกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรม ดังนี้
ข้อเสนอแรก สามารถดำเนินการได้ทันทีและจะช่วยยกระดับสถานการณ์ให้ดีขึ้น คือ การให้ประกันตัวผู้ต้องขังคดีการเมือง และหากอัยการเห็นว่าคดีไหนไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะก็สามารถถอนฟ้องเพื่อให้คดีสิ้นสุดลง
ควบคู่กับการที่ศาลเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าฟังการพิจารณาคดี อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวสามารถจดบันทึกข้อมูลหรือเหตุการณ์ในห้องพิจารณาคดี แล้วเผยแพร่สู่สาธารณะได้
นอกจากนั้น พูนสุขยังเสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 112 และปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้มีอิสระและความเป็นกลางอย่างแท้จริง
“เราคิดว่าตอนนี้มีปัญหาหลายส่วนที่ต้องแก้ไข ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการปฏิรูปอย่างเป็นระบบ คือ ตั้งแต่ชั้นตำรวจ อัยการ ศาล และตัวบทกฎหมาย” พูนสุข กล่าว
สุดท้ายนี้ พูนสุขเน้นย้ำว่าระหว่างที่รอการปฏิรูปอย่างเป็นระบบ ตอนนี้ศาลสามารถสั่งให้ประกันตัวผู้ต้องขังคดีทางการเมืองได้เลย ซึ่งเป็นไปตามหลักการพื้นฐานและไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย
เพราะการยึดมั่นในหลักการเช่นนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้สังคมสามารถเดินหน้าไปสู่การแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้อย่างมั่นคงและเป็นธรรม