ผ่านมา 1 สัปดาห์เต็มๆ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังไม่เบาบางลง รายชื่อผู้ขอให้ถอดถอนในเว็บ change.org ใกล้แตะหลักล้านทุกขณะ หากจะบอกว่าในตอนนี้องค์กรที่มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งอย่าง กกต.เผชิญวิกฤตศรัทธาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก็คงจะไม่ผิดนัก
การจัดการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 8 ปี ภายใต้กติกาใหม่อันซับซ้อน แน่นอนว่าย่อมมีสารพัดความท้าทายรออยู่ แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นมา คือการจัดการกับปัญหาของ กกต. ที่ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง
กกต.ย่อมรู้ตัวดีอยู่แล้วว่าถูกจับจ้องจากหลายๆ ฝ่าย เพราะกรรมการทั้ง 7 คนก็ถูกตั้งมาในยุค คสช. ขณะที่ตัวผู้มีอำนาจก็ตั้งพรรคการเมืองร่วมลงแข่งขันด้วย
ก่อนการเลือกตั้ง กกต.ก็เผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไประลอกใหญ่ๆ แล้ว จากผลสอบคดีโต๊ะจีนพรรคพลังประชารัฐที่บอกว่าไม่มีมูล เพราะไม่มีต่างชาติร่วมบริจาค ทั้งๆ ที่ผู้ร้องขอให้ตรวจสอบว่ามีหน่วยงานรัฐร่วมบริจาคหรือไม่ หรือจากผลสอบที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพราะ ‘ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ’
สารพัดปัญหาในการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้านอกราชอาณาจักร ก็โผล่มาไม่เว้นวัน (ทั้งๆ ที่อีกหน่วยงานที่ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยคือกระทรวงการต่างประเทศ) ทั้งให้คนรอคิวนานจนเป็นลม ใช้ลังกระดาษแทนคูหา บัตรเลือกไปไม่ถึงมือผู้ขอใช้สิทธิ บัตรเลือกตั้งที่กาแล้วถูกตีกลับ ฯลฯ
พอถึงวันเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต 17 มี.ค. ปัญหาก็ยิ่งทวีความรุนแรง ทั้งแจกบัตรให้ผู้มาใช้สิทธิผิดเขต แถมยังบอกว่า “กาๆ ไปเถอะ” การไม่แจ้งว่าพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบไปแล้ว รวมไปถึงการจัดส่งหีบบัตรเลือกตั้งไปนับคะแนน ที่ดูไม่น่าไว้วางใจในสายตาใครหลายๆ คน

กรรมการ กกต.ทั้ง 7 คน กำลังเจอบททดสอบที่สำคัญ
และแล้ววันเลือกตั้งทั่วประเทศ 24 มี.ค.ก็มาถึง ซึ่งแม้บรรยากาศระหว่างเลือกตั้งจะดูเรียบร้อยดี มีผู้ฉีกบัตรเลือกตั้งบ้างประปราย หรือมีข่าวลือว่าปากกาที่ใช้กาบัตรเลือกตั้ง เป็นชนิดหมึกลบออกได้เอง จนผู้เกี่ยวข้องต้องมีการแก้ข่าวเป็นการใหญ่
ปัญหาจริงๆ เริ่มมาปรากฎหลังปิดหีบและนับคะแนน ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลราวสี่ทุ่มของวันนั้น เพราะ กกต.เองก็เปิดท่อสำหรับส่งข้อมูลให้กับสื่อมวลชนต่างๆ กว่า 30 สำนัก แต่กลับส่งข้อมูลให้กับสื่อฯ ล่าช้า จนเพจของ กกต.นับไปแล้วกว่า 80-90% ข้อมูลที่ส่งให้สื่อฯ รายงานยังอยู่ที่แค่ 20-30% เท่านั้น ไม่รวมถึงว่า มีผู้สมัคร ส.ส.เขตจากบางพรรคการเมืองที่ กกต.ไม่รับรอง อย่างพรรคเพื่อนไทย โผล่มาว่าได้คะแนนสูงถึง 2 แสนคะแนน หรือปรากฎภาพจากเพจรายงานผล real time ของ กกต.เองว่า หลายๆ เขตเลือกตั้งมีจำนวนบัตรมากกว่าจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ์!
ในคืนวันดังกล่าว การนับคะแนนจบลงที่ 93% โดยมีผู้มาใช้สิทธิ 33.35 ล้านคน คิดเป็น 65% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด – ซึ่งดูจะขัดแย้งกับบรรยากาศการเลือกตั้งที่ประชาชนตื่นตัวเป็นอย่างมาก
เวลาต่อมายังปรากฎคลิปภาพที่ทำให้ผู้คนสงสัยว่าจะมีการโกงเลือกตั้งหรือไม่ ทั้งการที่นายทหารเข้าไปยืนดูการลงคะแนนของทหารชั้นผู้น้อย หรือการประกาศให้บัตรเสียของพรรคพลังประชารัฐเป็นบัตรดี
แม้เวลาต่อมา กกต.จะออกมาแก้ข่าวว่า กรณีทหารเข้าไปยืนดูการคะแนน เป็นเพียงการรอคิวลงคะแนน ส่วนบัตรเสียของพรรคพลังประชาชนที่บอกว่าเป็นบัตรดี ก็มีผู้ทักท้วง และได้แก้ไขเป็นบัตรเสียเป็นที่เรียบร้อย – แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการณ์ วิกฤตศรัทธาต่อ กกต.ได้เกิดขึ้นแล้ว และมีผู้ไปเปิดแคมเปญรณรงค์ใน change.org โดยมีผู้ร่วมลงชื่อหลายแสนคนอย่างรวดเร็ว
ยังไม่รวมถึงผู้ที่ล่ารายชื่อยื่นถอดถอน กกต.อย่างเป็นทางการ ตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่ใช้รายชื่อขั้นต่ำเพียง 20,000 คนเท่านั้น
การออกมาให้ข่าวแต่ละครั้งทั้งจากกรรมการ กกต.และผู้บริหารสำนักงาน กกต. ก็เป็นอย่างไม่ชัดเจน มีแต่สร้างวลีไวรัล ทั้ง “ไม่มีเครื่องคิดเลข” หรือชี้แจงกรณีบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าจากนิวซีแลนด์ 1.5 พันใบว่า ไม่ใช่บัตรเสีย แต่เป็น “บัตรที่ไม่ถูกนำมานับคะแนน”
และปัญหาก็ยิ่งทวีความซับซ้อนขึ้นอีก เมื่อ กกต.ออกมาเปิดคะแนนดิบการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งมีผู้มาใช้สิทธิเพิ่มเป็น 38.27 ล้านคน คิดเป็น 75% ของทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 4.92 ล้านคน ขณะที่จำนวนผู้มาใช้สิทธิมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้ง 9 ใบ พร้อมกับคำชี้แจงว่าเป็น “บัตรเขย่ง” คือเซ็นชื่อมารอเลือกตั้งแล้วรอคิวนานจนเบื่อกลับไปก่อนเลยไม่ได้ลงคะแนน ที่กลายเป็นศัพท์ไวรัลใหม่ซึ่งชาวเน็ตใช้เติมเชื้อไฟวิจารณ์การทำงานของ กกต.

คำถามต่อ กกต.รอบใหม่ จำนวนผู้มาใช้สิทธิกับจำนวนบัตรที่ใช้ซึ่งยังไม่ตรงกัน – บัตรเขย่ง?
อีกปัญหาที่น่าจะเป็นระเบิดเวลาขั้นต่อไป คือการคิดจำนวน ส.ส.ทั้งหมด ที่จนบัดนี้ยังถกเถียงกันอยู่ว่าสูตรใดถูกต้องกันแน่ ระหว่างสูตรที่ทำให้มี ส.ส.เพียง 16 พรรค หรือมากถึง 27 พรรค
ไม่รวมถึงอำนาจในการแก้ใบเหลือง ใบส้ม ใบแดง และใบดำของ กกต.อีกต่าง ที่สามารถใช้ได้ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 9 พ.ค. ซึ่งอาจเป็นตัวชี้ขาดผลการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญ จากผลเบื้องต้นที่ออกมาคู่คี่กันมาก
ถึงนาทีนี้ กกต.ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องเดินหน้าประกาศเลือกตั้ง ส.ส.ต่อไป โดยทำทุกอย่างให้ ‘สุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม’ เท่านั้น ถึงจะฟื้นวิกฤตศรัทธาขององค์กรขึ้นมาใหม่ได้ เพราะสาธารณชนก็คอยจับตาอยู่แล้วว่า กกต.จะช่วยเหลือขั้วอำนาจปัจจุบันให้ได้อยู่ในอำนาจต่อไปหรือไม่