“เราเป็นคนโชคดีตลอด ขนาดคดี 110 ที่ไม่มีใครคิดว่าจะรอด แต่ก็รอดมาได้ เข้าคุกมา 4 รอบ ได้ออกทุกครั้ง ได้ประกันทุกครั้ง” หรือ “ความแค้นล้วนๆ ยิ่งทำเรา เรายิ่งแค้น ความรู้สึกคือทำกับกูแบบนี้หรอ ยิ่งโดน ยิ่งแค้นหนักไปอีก”
นี่คือบางส่วนจากเสียงพูดของนักเคลื่อนไหวที่โดนคดีความมั่นคงเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ 2 ครั้ง คดี 116 ยุยง ปลุกปั่น 3 ครั้ง ถูกทำร้ายร่างกาย 4 ครั้ง เผารถยนต์อีก 2 ครั้ง และคดีความยิบย่อยอีกนับครั้งไม่ถ้วน เรียกได้ว่าในช่วง 10 ปีให้หลังมานี้ ‘เอกชัย หงส์กังวาน’ ได้รับ ‘ความรัก’ จากรัฐไทยมากเหลือเกิน
ทั้งที่ผมที่ถูกตัดสั้นเกรียนจากในเรือนจำ ยังไม่ยาวพอให้เป็นทรง แต่ เอกชัย ก็ยังยืนยันว่าตัวเองยังเป็นคนที่ ‘โชคดีกว่าคนอื่น’ อยู่เสมอ และนี่คือเรื่องราวบนเส้นทางของพ่อค้าขายหวยคนหนึ่ง ที่ผันตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง จนกลายเป็นนักโทษคดีความหมิ่นพระมหากษัตริย์ และข้อหาอื่นอีกนับครั้งไม่ถ้วนที่ทางการไทยจับครั้งแล้วครั้งเล่าจนหน่ายที่จะพาไปค่ายทหาร และตัดสินใจพาเขาไปกาญจนบุรี
ก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ‘เอกชัย หงส์กังวาน’ คือใคร
ตอนช่วงรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เริ่มมีโครงการหวยบนดินเกิดขึ้นในปี 2546 เราก็เห็นว่าโครงการนี้ดีเลยสมัครเข้าร่วมโครงการ เพราะเห็นว่ามันเป็นงานที่ง่าย และถ้ารีบบุกเบิกก่อนจะเป็นผลดี ปรากฎว่าก็ดีจริง เดือนนึงมีสองงวด งวดหนึ่งขายได้หลักแสน ได้กำไรร้อยละ 12 เดือนนึงก็ได้กำไรอย่างน้อยๆ 2-3 หมื่น
ตอนนั้น เราเป็นคนที่ไม่สนใจการเมืองเลย แต่พอเดือนพฤศจิกายนหลังการรัฐประหารปี 2549 รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ยกเลิกโครงการโดยอ้างว่าหวยบนดินผิดกฎหมาย เราก็รู้สึกว่า พวกมึงจะฟัดกันก็เรื่องของมึง ทำไมต้องทำให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเป็นแสนคนเดือดร้อนด้วย เห็นแก่ตัวมาก
ตอนนั้นเราโมโหมากเลยเข้าไปร่วมกับม็อบหวยบนดิน ตรงหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเดิม ซึ่งพอตกเย็นก็จะมีม็อบอีกกลุ่มหนึ่งมาชุมนุมตรงสนามหลวงคือ ‘กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ’ เราก็แวะไปฟัง ฟังไปฟังมาก็เริ่มอิน แล้วก็เลยเถิดไปเรื่อยๆ จากหวยบนดิน กลายเป็นการเมืองไปเลย
จากพ่อค้าขายหวยคนหนึ่ง มาโดนคดี 112 ได้อย่างไร
ตอนน้ันเป็นหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2554 การเมืองไทยแบ่งเป็นขั้วเหลือง-แดง และต่างฝ่ายต่างก็มีสื่อของตัวเอง เราดูทั้งสองฝ่ายแล้วถามว่าบิดเบือนไหมก็ไม่ เพียงแต่เสนอแต่มุมที่เขาต้องการ และถ้าต่างฝ่ายต่างเป็นแบบนี้ มันไม่มีประโยชน์หรอก เราเลยไปดูสื่อของประเทศออสเตรเลีย และเอามาไรท์ลงซีดี พร้อมเอาเอกสารวิกิลีกมาจำหน่าย
ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ก็มาจับเราบริเวณอนุสาวรีย์ทหารอาสา นั่นเป็นครั้งแรกที่โดนคดี 112 และตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า 112 อานุภาพมันจะร้ายแรงขนาดนั้น ตอนที่โดนจับไป สน.ชนะสงคราม และเขาแจ้งความว่าเราผิดฐานหมิ่นกษัตริย์ เรายังคิดในใจเลยว่าคงเหมือนหมิ่นประมาททั่วไป ที่ปรับเสร็จก็กลับบ้าน ตอนถูกคุมตัวเราก็ถามเขาทั้งคืนว่าต้องจ่ายค่าปรับเท่าไร ประกันตัวเท่าไร แต่เขาก็ไม่ตอบ เราก็เริ่มเอะใจแล้วว่าไม่น่าใช่แค่ปรับอย่างเดียว
กระทั่งถึงบ่ายสองของวันศุกร์ ตำรวจถึงค่อยๆ บอกว่าถ้าจะประกันตัวต้อง 500,000 บาท เราก็ตกใจว่า ‘ห่ะ!’ แค่ขายซีดีนี่ประกันตัว 500,000 เลยหรอ ตำรวจก็บอกว่า ‘โอ้ย!’ ประกันตัวได้ก็บุญแค่ไหนแล้ว แต่ตอนนั้นมันเป็นบ่ายสองของวันศุกร์ มันเตรียมไม่ทัน เราก็โทรบอกป๊าม๊า พอเขารู้ว่าเราถูกตำรวจจับ เขาก็โวยวายโช้งเช้งใหญ่เลยว่าไปทำอะไรให้ตำรวจจับ และเราก็เล่าให้ฟัง เขาก็ตกใจ
แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเราโชคดี เพราะในตอนนั้น คนที่โดนจับคดี 112 หลายเคสถูกจับเงียบๆ ไม่มีใครรู้ แต่ตอนที่เราโดนจับ บังเอิญมีการชุมนุมคนเสื้อแดงพอดี พอเขาเห็นเราโดนจับเลยไปแจ้งนักข่าวมติชน เขาก็มาทำข่าวที่ สน.ชนะสงครามเลยในคืนวันนั้น
หลังจากนั้นก็มีนักข่าวผู้หญิงจากสำนักข่าวประชาไทมาเยี่ยม เราไม่รู้จักเขาหรอก แต่เขามาเยี่ยมเราก็ต้องออกไป เขาถามว่าต้องการของกินของใช้อะไรไหม เขาจะซื้อให้ และถามว่าเรามีทนายหรือยัง เราก็บอกไม่มี ทั้งชีวิตไม่เคยใช้บริการทนาย เขาก็แนะนำให้คนนึง ซึ่งก็คือ ‘อานนท์ นำภา’
หลังจากนั้น อานนท์ ก็ไปคุยกับพ่อแม่เรา เราก็ต้องนอนคุกไปประมาณ 8 คืน ถึงได้ประกันตัว
หลังจากนั้นคุณก็ต้องไปสู้คดีในชั้นศาล เป็นอย่างไรบ้าง
ศาลชั้นต้นพิจารณาให้เราได้ประกันตัว ก็อยู่ข้างนอกได้สองปี จนถึงปี 2556 ศาลก็พิพากษาให้จำคุก 3 ปี 4 เดือน แต่ก็ยื่นอุทธรณ์และฎีกาจนได้ลดโทษเหลือ 2 ปี 8 เดือน กว่าจะได้ออกมาอีกทีก็ปี 2558 หลังการรัฐประหารแล้วหนึ่งปี
เคยได้ยินมาว่าเคยพบคนรักภายในเรือนจำ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม
ตอนนั้นมันมหาเสน่ต์ เขามาสะกิดเอง (หัวเราะ) ตอนปี 2554 ที่เราติดคุกอยู่ 8 วัน เราเป็นนักโทษใหม่ก็ถูกย้ายไปอยู่ห้อง 7 และตามธรรมเนียมก็ต้องไปนอนข้างๆ ห้องน้ำ ซึ่งไม่เหม็นหรอก แต่มันจะมีคนข้ามหัวไปมาตลอดเวลา บางจังหวะเหยียบจนตื่นเลยก็มี คนนี้เขาก็กวักมือเรียกให้เราไปนอนข้างเขา ซึ่งเป็นตรงกลางห้อง เราก็ไปเพราะไม่อยากนอนตรงห้องน้ำ พอคืนนั้นเขาก็มาสะกิด ก็เลย ‘จึ๊กกะดึ๊ย’ กัน
แต่หลังจากผ่านไป 8 วัน ก็ไม่เจอเขาอีกเลย นั่นคือครั้งแรกในปี 2554
พูดแบบนี้แสดงว่ามีอีกคน
เข้าไปกี่ทีๆ ฉันก็ได้ทุกครั้ง (หัวเราะ) ตอนที่ศาลตัดสินจำคุกเราในปี 2556 เราก็ได้เจออีกคนหนึ่ง ซึ่งเรากับคนนี้ก็อยู่ด้วยกันยาวเลย เขาก็โอเค อ้วนๆ หน่อย น่ารักดี ตอนนั้นเขาประมาณ 22-23 เราแก่กว่าเขา 16 ปี เขาได้ออกมาก่อนเรา แต่ก็ยังติดต่อกันอยู่ตลอด เมื่อเช้ายังคุยกันอยู่เลย ดูไหมล่ะหน้าตาอย่างไร
เดี๋ยวดูครับ แล้วเขาพูดอย่างไรบ้างกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคุณ
ด่าประจำ เขาบอกว่าอยากมาอยู่ด้วยนะ แต่กลัวตีน (หัวเราะ)
เคยคิดบ้างไหมว่าจะหยุดเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อไปอยู่กับเขา
‘โห’ มาถึงขนาดนี้แล้ว มันไปไกลเกินกลับมาไม่ได้แล้ว อย่างที่ติดคุกรอบล่าสุด (คดี 110) ยังคุยกับเพื่อนเลยว่า ชีวิตฉันไม่สามารถกลับมาเป้นเหมือนเดิมได้แล้ว แต่อันที่จริงเขาก็มีแนวคิดทางการเมืองเหมือนกันกัน แต่เขากลัว ขนาดไปม็อบบางทียังต้องแอบไปเลย
หลังจากที่ออกมาจากเรือนจำในปี 2558 คุณเคลื่อนไหวทางการเมืองจนถูกจับไปปรับทัศนคติถึง 4 ครั้ง เป็นอย่างไรบ้าง
ในปี 2560 เราโดนพาเข้าค่ายทหาร มทบ.11 สองคร้ัง ครั้งแรกช่วงที่หมุดคณะราษฎรหาย และมีหมุดหน้าใสมาวางแทน ตอนนั้นเราประกาศในเฟซบุ๊กว่า ‘จะไปทำเนียบ ไปบอกให้นายกฯ ถอดหมุดหน้าใสออก’ ขณะที่คนอื่นเขาจะตามหาหมุดเก่า แต่เราอยากให้เอาหมุดใหม่ออก เพราะภาครัฐบอกไม่รู้ว่าเป็นของใคร ถ้าไม่รู้แล้วให้มันอยู่ในนั้นได้ไง
พอเราโพสต์ปุ๊ป เจ้าหน้าที่มาหาถึงบ้านเลย เขาบอกว่าไม่ต้องไปยื่นหนังสือหรอก เดี๋ยวเอาไปส่งให้ ‘อุ๊ย ต๊ายตาย’ เพิ่งเคยได้ยิน เดี๋ยวนี้เขามีบริการมารับหนังสือถึงหน้าบ้าน แต่เราก็ไม่ยอม ยืนยันว่าจะไปยื่นหนังสือด้วยตัวเอง แต่พอแบบนี้เราก็รู้แล้วว่าเดี๋ยวโดนซิวแน่ วันรุ่งขึ้นเราเลยออกจากบ้านตั้งแต่ตี 4 เจ้าหน้าที่ก็มาจริง มารอหน้าบ้านตอน 6 โมง พอถึง 10 โมงที่เรากำลังจะเข้าไปยื่นหนังสือก็เจอตำรวจมาซิวหน้าประตูทำเนียบ แล้วพาเราไป มทบ.11
ครั้งที่ 2 เป็นวันเสาร์วันที่ 24 มิถุนายน เราก็โพสต์ว่าจะเอาหมุดคณะราษฎรไปวางที่เดิม แต่พอไปถึงปุ๊ป ตำรวจก็พาขึ้นรถตู้และไปส่ง มทบ.11 พอไปถึงก็เจอนายทหารคนเดิมที่เคยมาต้อนรับ เขาทำหน้าแบบเบื่อเรามาก เราก็ยิ้มบอกเขาว่า ‘จำได้นี่ มาใช้บริการอีกนะ’ วันนั้นเขาก็สัมภาษณ์เรายาวเลย กว่าจะปล่อยเราออกมาก็ประมาณ 18.00 น.
ครั้งที่ 3 เป็นวันที่ 4 กรกฎาคม หรือวันชาติสหรัฐฯ วันนั้นเราจะไปยื่นหนังสืออะไรสักอย่างจำไม่ได้ แต่คราวนี้เจ้าหน้าที่มาจับเราหน้าบ้านเลย เขาก็พาเราไปสำนักงานเขตจตุจักร เขาบอกเดี๋ยวจะรับเรื่องให้ ไม่ต้องไปยื่นหนังสือหรอก เราก็ไม่ยอม ตื้อกันไปกันมา เราก็ยื่นๆ ให้เขาไป
ครั้งที่ 4 นี่หนักสุด ช่วงนั้นเป็นช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ร.9 และก็มีการรณรงค์ให้ทุกคนใส่ชุดดำเพื่อไว้อาลัย พอใครไม่ใส่ก็มีข่าวว่าถูกกลุ่มคนคลั่งเจ้าทำร้ายร่างกาย บางคนถึงขั้นโพสต์รูปปืนลงในเฟส และเขียนว่าถ้าเจอคนไม่ใส่ชุดดำจะยิงทิ้ง แต่เราไม่แคร์ เราไม่ใส่ชุดดำเลย เพราะว่าเป็นคนไม่ใส่เสื้อดำอยู่แล้ว และเราไม่ได้ทำอะไรผิด ใครจะทำอะไรเราได้
แต่พอใกล้งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เราก็โพสต์เฟซบุ๊กว่า ‘วันเผาฉันจะใส่ชุดแดง และทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด’ เท่านั้นแหละ วันรุ่งขึ้นทั้งเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจมาหาถึงบ้านเลย เปิดประตูบ้านปุ๊ป บุกเข้ามาเลย และพวกมันก็ลากจนเราล้มลง เราก็โมโหมาก ถามว่าทำไมต้องใช้วิธีแบบนี้ ถ้าอยากคุยก็มาคุยกันดีๆ เขาบอกว่ากลัวเราจะหนี เราบอกว่าไม่ต้องกลัว คนอย่างเราไม่เคยหนี
สุดท้ายเขาก็มานั่งคุยในบ้าน และพอดี พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ก็โทรเข้ามาในโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่และขอคุยกับเรา เขาถามว่าอยากไปไหนระหว่างค่ายทหาร กับเที่ยวกาญจนบุรี เราก็ ‘โอโห’ แต่ก่อนมีแต่อุ้มเข้าค่ายทหาร เดี๋ยวนี้มีออฟชั่นให้เลือกด้วย สงสัยเป็นบริการพิเศษสำหรับเราโดยเฉพาะ แต่เราก็บอกว่าไม่อยากไปทั้งคู่ เขาก็บอกไม่ได้ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เราเลยตอบว่างั้นไปเที่ยวกาญละกัน อยากเปลี่ยนโลเคชั่น เปลี่ยนบรรยากาศสักหน่อย
ตอนนั้นเจ้าหน้าที่เขาก็ยึดโทรศัพท์เรา ไม่ให้ติดต่อกับใคร และพาไปอยู่กาญจนบุรีประมาณ 5 วัน เอาเราไปอยู่รีสอร์ท และมีตำรวจดูแล 4 คน ทหารอีก 1 คน พล.ต.ท.สราวุฒิ เขาก็ฝากตำรวจเอาเงินสดให้เรา 5,000 บาท ไว้ให้เราไปเที่ยว แต่ไม่ทันไร กินข้าวมื้อแรก ค่าอาหารตกเป็นพันแล้ว ก็คิดในใจว่า 5,000 บาทเนี่ยกินวันเดียวก็จะหมดแล้ว
เราก็ไปมาหลายที่ แต่ที่ประทับใจที่สุดก็ ‘บ่อน้ำพุร้อน’ เราไม่เคยแช่มาก่อน ไม่รู้ว่าออนเซ็นมันสบายขนาดนี้ และทุกวันนี้ยังเจอบางคนในม็อบอยู่เลย พอเจอเราก็ ‘อ้อ คนนี้เคยพาเราเที่ยวกาญฯ’
ที่บอกว่าจะทำสิ่งไม่คาดคิด คือจะทำอะไร
ก็แค่ใส่เสื้อแดงไปเดินห้างเท่านั้นแหละ แต่เราโพสต์ให้น่าตื่นเต้นไปงั้น พวกนั้นตื่นตูมไปเอง
หลังจากนั้น คุณก็เริ่มเคลื่อนไหวเรื่องนาฬิกาเพื่อนจนถูกทำร้ายร่างกาย รวมถึงเผารถยนต์ 2 ครั้ง มันเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนนั้นประมาณเดือนธันวาคม ปี 2560 หลังจากที่เพจ CSI LA เขาแฉเรื่องประเด็น ’นาฬิกายืมเพื่อน’ ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่เขาก็อ้างว่ายืมนาฬิกามาจากเพื่อน เราก็สงสัย คนระดับรัฐมนตรี ทำไมยังต้องมายืมนาฬิกาเพื่อน ก็คิดในใจว่าเดี๋ยวกูซื้อให้ก็ได้ ก็เลยทำเป็นของขวัญกะจะเอาไปให้ แต่ตื้อหลายรอบไปทั้งบ้านสี่เสาเทเวศน์ ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงกลาโหม เขาก็ไม่รับสักที สุดท้ายก็ไม่ได้ให้ แถมโดนตื๊บอีก
เราถูกทำร้ายครั้งแรกคือเดือนมกราคม ปี 2561 บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล ตอนนั้นเรานั่งรถเมล์ไปถึงทำเนียบ ก็มีชายคนหนึ่งมาดักรอ พอเขาเห็นเราปุ๊ปก็ขว้างแก้วน้ำที่มีน้ำแข็งเข้าใส่ และก็ปรี่เข้ามาเหมือนจะชก แต่พอดีว่าตอนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ เขาเลยโดนจับตัวไป สน.ดุสิต และโดนข้อหาทำร้ายร่างกาย ศาลปรับไป 10,000 มั้ง
ครั้งที่สอง ก็คนเดียวกันเนี่ยแหละมาดักทำร้ายตรงป้ายรถเมล์หน้าบ้าน ทีนี้เราจำหน้าได้เลยไปแจ้งความ สน.ลาดพร้าว ตำรวจก็ไปตามจับมา โดนปรับ 10,000 บาท และจำคุก 3 เดือน แต่รอลงอาญา
แล้วครั้งที่ 3 เราก็โดนสาดน้ำปลาร้า บนถนนสวรรคโลก และครั้งที่ 4 นี่หนักสุด ตอนเรากลับมาถึงในซอยบ้าน ก็มีชายประมาณ 3 คนดักทำร้ายเราจนข้อนิ้วหัก แต่เราจำหน้าได้ เพราะพวกมันไม่ใส่หมวก หรือแมสก์อะไรเลย และหลังจากนั้น หนึ่งในคนที่ทำร้ายเราก็ถูกจับคดีอื่นและออกข่าวช่อง 3 เราก็เลยบอกให้ตำรวจอายัดนี้ไว้ แต่พอไปถึงชั้นศาลก็ปรากฎว่าศาลชั้นต้นยกฟ้องกรณีทำร้ายร่างกายเรา แต่เขาก็โดนศาลตัดสินคดีอื่นไป 12 ปี 12 เดือน ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้
ช่วงนั้นเราก็โดนเผารถยนต์ด้วย ครั้งแรกประมาณเดือนกุมภาพันธ์ เหมือนแค่ขู่ เผาแต่ประตูรถ แต่พอเดือนสิงหาคม ทีนี้เผาวอดทั้งคันเลย แต่มันเป็นรถเก่า 20 ปีแล้ว เราก็ไม่เสียดายเท่าไร และมีคนบอกจะซื้อรถให้ด้วยนะ เราบอกไม่เอา จะซื้อมาให้เขาเผาอีกหรอ
จนมาถึงครั้งล่าสุดที่โดนคดี 110 เป็นอย่างไรบ้าง
ครั้งล่าสุดนี่ระหว่างประท้วงไม่เคยโดนคดีอะไรเลย แต่มาโดนตอนกรณีขบวนเสด็จขับผ่านกลุ่มผู้ชุมนุม ตอนนั้นไม่มีการประกาศเลยว่าจะมีขบวนเสด็จผ่าน พอเห็นว่ามีขบวนมาเราก็แค่ชูสามนิ้ว แต่มีบางคนที่เข้าไปใกล้ๆ เซลฟี่กับขบวนก็มี
เหตุการณ์ขบวนสเด็จวันที่ 14 พอวันที่ 15 ศาลก็ลงแล้วว่าออกหมายจับสองคนคือเรา กับ บุญเกื้อหนุน เป้าทอง หรือ ฟรานซิส ข่าวออกประมาณ 5 โมงเย็น พอประมาณ 1 ทุ่ม ตำรวจ สน.ลาดพร้าว ก็โทรมาถามว่าให้ไปรับวันไหน รับกี่โมง ตอนนี้เลยไหม เราก็บอกไม่เอา ยังหาทนายไม่ได้เลย เลยนัดกับเขาว่าขอเป็นพรุ่งนี้เช้า (วันที่ 16) ตอน 9 โมง
พอตอนเช้า 8 โมง สมยศ พฤกษาเกษมสุข ก็ขับรถมาหาเราที่บ้าน เขาคงเป็นห่วงเรา เพราะก็เคยโดนคดี 112 เหมือนกัน และอยู่ในเรือนจำด้วยกันหลายปี เราก็คุยกับเขาว่า คดีนี้เป็นของ สน.ดุสิต ทำไมต้องไป สน.ลาดพร้าว แล้วเราก็โพสต์เฟซบุ๊กว่า ‘ออกจากบ้านแล้วนะ ไม่รอแล้ว’
‘โห้ย’ ตอนนั้นตำรวจโกรธมาก ผู้กำกับพาเจ้าหน้าที่ไปดักเรากลางทางตรงแถวๆ ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว เขานำกำลังล้อมรถเรา และบอกว่าคุณรู้ไหมข้อหา 110 ร้ายแรงแค่ไหน ทำแบบนี้เข้าข่ายหลบหนี และขู่จะจับ สมยศ ข้อหาพาผู้ต้องหาหลบหนีด้วย เราก็เถียงว่า ที่ไม่ให้มอบตัวเพราะต้องการจับตัวใช่ไหม เพราะว่าคำว่า ‘จับตัว’ กับ ’มอบตัว’ มีผลต่อการประกันตัวในชั้นศาล
ตำรวจก็ลากตัวเรามา สน.ลาดพร้าว จนได้ และ ผกก. ก็มาคุย แล้วเวลาคุยก็มีโทรศัพท์เข้ามาตลอด พอสายหนึ่งเข้ามาเราได้ยินเขาพูดว่า “แล้ว ‘พี่ปั๊ด’ (พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.) ว่าอย่างไร” พอพูดแค่นี้ เราโวยเลยว่า ผบ.ตร. สั่งมาใช่ไหม เขาก็ปฏิเสธ แต่เราก็จำได้ว่าตอนเขาจับเรา เจ้าหน้าที่เองก็พูดว่า “นายสั่งมาให้จับ ห้ามมอบตัว” เราก็โวยวายว่า มีสิทธิอะไร การไปมอบตัวมันเป็นสิทธิ มีสิทธิอะไรมาดักจับและไม่ให้เรามอบตัว
คืนนั้นเราถูกพาไป ตชด.ภาค 1 เราก็โวยอีกว่า ไหนบอกจะพาไป สน.ดุสิต คืนนั้นตอนแรกก็มีแค่เรากับ ฟรานซิส แต่พอดีวันนั้นมีเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่แยกปทุมวันพอดี ตกดึกเจ้าหน้าที่ก็เลบพาพวก ฟอร์ด – ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี และคนอื่นๆ มาอีก
พอรุ่งเช้าตี 5 เจ้าหน้าที่ก็มารับไปศาล เราก็แซว ‘หูย’ มาทำไมแต่เช้า หลบนักข่าวหรอ
คุณเป็นคนหนึ่งที่โดนการคุกคามมาทุกรูปแบบ อะไรคือแรงผลักดันให้คุณไม่ยอมแพ้เสียที
ความแค้นล้วนๆ ยิ่งทำเรา เรายิ่งแค้น ความรู้สึกคือทำกับกูแบบนี้หรอ ยิ่งโดน ยิ่งแค้นหนักไปอีก
คนรู้จักของคุณบางคนถูกอุ้มหายไปแล้ว คุณกลัวบ้างไหมที่วันหนึ่งอาจต้องเจอชะตากรรมแบบเดียวกับพวกเขา
ไม่เคยกลัวเลย เราใช้วิธีระวังตัวแทน อย่าง สุรชัย แซ่ด่าน เขาอยู่บริเวณตะเข็บชายแดน อยู่นอกพื้นที่รัฐไทย พอเขาหายไป รัฐบาลก็ทำมึนได้ แต่ถ้าอยู่ในไทยมันอ้างแบบนั้นไม่ได้
ตอนที่ออกจากคุกปี 2554 ก็มีคนบอกให้เราหนี แต่เราบอกไม่หนี การหนีไม่ใช่การแก้ปัญหา การลี้ภัยไปต่างประเทศไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะดีขึ้น ไม่ใช่ว่าออกไปแล้วจะโลดแล่นสดใส ข้างนอกนั่นคือ ‘นรก’ ของจริง คุณอยู่ต่างประเทศมันไม่เหมือนอยู่เมืองไทย ถ้าคุณไม่มีงานทำ ไม่มีเงินจะอยู่อย่างไร ถึงแม้มีกองทุนช่วยเหลือ แต่ชีวิตคุณคือพลเมืองชั้นสอง มันไม่ง่ายเลย เพราะฉะนั้นเราไม่เคยเห็นด้วยกับเรื่องหนี และไม่เคยคิดหนี
อย่าง ทักษิณ เขามีเงินไม่มีปัญหาหรอก อย่าง สมสักดิ์ เจียมธีรสกุล หรือ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เขาเป็นอาจารย์ ไปอยู่ต่างประเทศก็มีที่ให้สอน แต่คุณมีอะไร ต้องคิดด้วยว่าไปอยู่แล้วจะทำอย่างไร พวกที่หนีมันหลับหูหลับตาหนี แต่ไม่รู้ว่านรกข้างนอก มันของจริงกว่า
แม้กระทั่งตอนโดนคดี 110 ก็มีคนโทรมาหาทั้งคืนบอกว่าจะพาหนี เราบอกว่าไม่หนี ไม่เอา ติดคุกอยู่เมืองไทยเดี๋ยวมันก็มีวันออก แต่ถ้าอยู่ต่างประเทศไม่เห็นมีใครได้กลับมาสักคน ตอนโดนคดี 112 เราก็ติดอยู่แค่ 2 ปี 8 เดือน แต่พวกที่หนีไปวันนี้ยังไม่ได้กลับมาเลย
คุณเป็นนักเคลื่อนไหวคนหนึ่งที่โดนคดีความเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์มาถึง 2 ครั้ง มองถึงกฎหมายดังกล่าวอย่างไรบ้าง
ควรยกเลิกดีกว่า เพราะว่ามันมีกฎหมายหมิ่นประมาทอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมามีกฎหมายพิเศษสำหรับกษัตริย์ บางคนบอกว่า “สถาบันฯ จำเป็นต้องมีกฎหมายปกป้อง” แต่ข้อหาหมิ่นประมาทมันก็มีอยู่แล้ว ใช้ฟ้องเอาก็ได้
แต่สถานการณ์ก่อนหน้านี้แย่กว่านี้มาก อย่างคดี อากงส่ง SMS ศาลตัดสิน 20 ปี เราก็ได้เจออากงในเรือนจำ เราตั้งคำถามเลยว่า เขาแก่ขนาดนี้จะพิมพ์SMSเป็นหรอ? แล้วบอกว่าส่งให้เลขานายกฯ (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ขณะนั้น) ขนาดเรายังไม่รู้เลยว่า เบอร์โทรศัพท์เลขานายกฯ เบอร์อะไร แล้วอากงแก่ๆ อายุ 60 ปี ที่อยู่บ้านเลี้ยงหลานทั้งวัน เขาจะรู้หรอ ดูแค่จากสภาพของอากง ก็รู้แล้วว่าไม่มีทางทำแบบนั้นได้อยู่แล้ว ศาลก็ยังตัดสินมาได้เป็น 20 ปี เราก็รู้สึกว่ามันไม่แฟร์เลย
ทีนี้พอมาหลังปี 2561 เขามีคำสั่งให้คดีที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ต้องให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณายื่นฟ้อง ตั้งแต่นั้นมาก็ยังไม่มีใครโดนคดี 112 อีกเลย
อย่างตอนเราโดนคดี 110 หลายคนก็บอกว่า ‘ได้ เน่าตายอยู่ในคุกแน่’ แต่เราก็ได้ออกมาง่ายๆ ชนิดที่ว่าไม่ต้องวางประกันสักบาทเดียว แสดงว่ามันมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ
มองการเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะราษฎรเป็นอย่างไรบ้าง คิดว่าข้อเรียกร้องทั้ง 3 ข้อจะสำเร็จไหม
ข้อเสนอแรกที่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกคิดว่าคงไม่เกิดขึ้น แต่เป็นไปได้ว่าจะมีการยุบสภา และถ้ายุบสภาก็มีโอกาสสูงที่พรรคพลังประชารัฐจะแพ้ และพรรคแตก และมองว่าถ้านายกฯ ลาออก คนที่ต่อคิวคนต่อไปคือ อนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เขาถึงวางตัวเงียบไง พวกนี้พวกการเมืองเขี้ยวลากดินทั้งนั้น ปิดปากเงียบ รอส้มหล่นอย่างเดียว
ส่วนข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ เรามองว่ามันไม่ได้ชัยชนะเด็ดขาดหรอก แต่ถ้าเทียบกับในอดีตครั้งนี้ถือว่ามาไกลที่สุดแล้ว ไม่เคยมียุคไหนที่พูดเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันฯ มากเท่ากับยุคนี้แล้ว แต่เส้นชัยของการต่อสู้ ก็ยังอยู่อีกไกลมาก มันจะเป็นอย่างไรไป ก็เป็นเรื่องของอนาคต
มองว่าก่อนที่คุณจากโลกนี้ไป คุณจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศที่เป็นรูปธรรม ชัดเจนขึ้นไหม
ตอนนี้ก็เปลี่ยนแล้ว อย่างน้อยเด็กก็กล้าพูดในสิ่งที่คนเมื่อ 10 ปีที่แล้วไม่เคยกล้าแม้แต่จะฟังด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ สังคมก็ไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว
เราต้องค่อยเป็นค่อยไป ถ้าไปดูประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศที่เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย เขาสู้กันดุเดือดมาก ของเรานี่ถือว่ายังน้อยกว่าประเทศอื่นเยอะ ประเทศเราอาจต้องใช้เวลามากหน่อย แต่มันก็ดีกว่าหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยจริง แต่เต็มไปด้วยการนองเลือด
ถึงแม้ต้องใช้เวลามากหน่อย แต่เราเชื่อว่าก่อนที่เราจะตายเราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงพอสมควร
คุยกันมาถึงตรงนี้ สงสัยมากเลยว่าทำไมถึงเป็นคนที่มองโลกได้แง่ดีขนาดนี้
มันก็ไม่เชิงมองโลกในแง่ดี เราแค่รู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด เรามั่นใจว่ายังไงเราก็จะไม่เป็นไร ขนาดคดี 110 ที่ไม่มีใครคิดว่าจะรอด เราก็รอดมาได้ เห็นไหม เราเป็นคนที่โชคดีตลอด เข้าคุกมา 4 รอบ ได้ออกทุกครั้ง ได้ประกันทุกครั้ง
เราก็เลยมั่นใจเรื่องดวงของเราว่า อะไรมา ก็เอาเราไว้ไม่อยู่