“การแต่งงานครั้งนี้เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญเพื่อปกป้องและรักษาจิตวิญญาณของเราทั้งคู่” แถลงการณ์ของเจ้าหญิงมาโกะในเดือนพฤศจิกายน ปี 2019
วันนี้ (26 ต.ค.) เจ้าหญิงมาโกะพระราชนัดดาของสมเด็จพระเจ้านารุฮิโตะแห่งญี่ปุ่นได้เดินเข้าสู่พิธีวิวาห์ร่วมกับ เคอิ โคมูโระ (Kei Komuro) หรือชื่อที่สื่อตั้งให้เขาว่า “เจ้าชายแห่งท้องทะเล” นักกฎหมายจากบริษัทในนิวยอร์ค ที่ประกาศหมั้นหมายกันตั้งแต่ปี 2017
ก่อนประตูวิวาห์จะเปิด ความรักของทั้งคู่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยหนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจกันและกัน อันมาจากแสงสปอร์ตไลท์ของสื่อและความสนใจของสังคม จนหลายคนเปรียบคนทั้งคู่เป็น “เมแกนและแฮรี่แห่งตะวันออก”
ไม่ผิดหากสื่อมวลชนทำหน้าที่ของตน ทำงานรับใช้ประโยชน์สาธารณะ หาข้อมูลที่มีประโยชน์ป้อนสู่สังคม แต่ในบางครั้งหน้าที่ของสื่อมวลชนก็ประดุจดาบสองคม เพราะกับข้อมูลบางชุดก็ชวนให้ตั้งคำถามว่าเจตนาเพื่อให้เป็นประโยชน์หรือทำลายชีวิตของใครกันแน่ และเรื่องราวของเจ้าหญิงมาโกะ เคอิ และราชวงศ์ดอกเบญจมาศก็เป็นเช่นนั้น
เรื่องราวของคนทั้งคู่เป็นอย่างไร ถูกสื่อส่องสปอร์ตไลท์นำเสนออย่างไรบ้าง และทั้งคู่ฝ่าขวากหนามและคำวิจารณ์มากขนาดไหนเพื่อพิสูจน์ว่ารักแท้ไม่แพ้ข้อครหาใดๆ และเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์ในวันนี้ได้สำเร็จ
เจ้าหญิงมาโกะและ “เจ้าชายแห่งท้องทะล”
เจ้าหญิงมาโกะเพิ่งฉลองวันเกิดครบรอบ 30 ปีของเธอไปเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (23 ต.ค.) โดยถือว่ามันจะเป็นงานวันเกิดครั้งสุดท้ายของเธอในฐานะเจ้าหญิง เพราะหลังจากพิธีแต่งงานในวันนี้ เจ้าหญิงมาโกะจะถูกปลดจากฐานันดรศักดิ์ และกลายเป็นสามัญชนเต็มตัวเป็นครั้งแรก ตามที่ระบุไว้ในกฎมณเฑียรบาลของญี่ปุ่น
ย้อนกลับไปนิดนึง เรื่องของมาโกะและคู่หมั้นเหมือนโชคชะตาฟ้าลิขิต มาโกะ (ผมน่าจะสามารถใช้คำนี้ได้แล้ว) และเคอิเกิดในเดือนตุลาคมปี 1991 เช่นเดียวกัน แต่กว่าทั้งคู่จะโคจรมาเจอกันก็ล่วงเข้าสู่วัยที่ทั้งคู่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว
มาโกะเป็นหลานคนโตของอดีตพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ พ่อของเธอเป็นน้องชายแท้ๆ ของจักพรรดิองค์ปัจจุบันของญี่ปุ่น เธอเป็นพี่คนโต และมีน้องสาวและน้องชายแท้ๆ อีก 2 คน ตั้งแต่เด็ก มาโกะได้รับความชื่นชมในอริยาบถอันงดงามอยู่เสมอ นักข่าวสายวังของญี่ปุ่นเคยพูดถึงเธอไว้ว่า “พระอริยาบถของเธองดงามไร้ที่ติ ทุกคนมองเธอในฐานะสมาชิกราชวงศ์ที่สมบูรณ์แบบ”
ความงดงามและกล้าหาญที่อยู่ในตัวเธอ ทำให้เธอปฏิเสธที่จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยปิดสำหรับชนชั้นสูงอย่างมหาวิทยาลัยคากูชูอิน (Gakushuin University) และเลือกสอบเข้าเรียนด้านศิลปะ ประเพณี และวัฒนธรรมที่มหาวิทยาลัยคริสเตียนแห่งกรุงโตเกียวแทน และที่นั่นเอง ที่มาโกะได้เจอกับเจ้าชายในชีวิตของเธอเป็นครั้งแรก
ตรงข้ามกับมาโกะ เคอิไม่ได้เกิดในครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมนัก พ่อและปู่ย่าของเขาเสียตั้งแต่เขายังเด็ก และทำให้เขาถูกเลี้ยงดูโดยแม่เพียงคนเดียวมาโดยตลอด
เมื่อเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย เคอิเลือกสอบเข้าคณะนิติศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยเดียวกับเจ้าหญิงมาโกะ และเมื่อเรียนจบก็เข้าทำงานในบริษัทให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว ก่อนสอบชิงทุน Michael M. Martin ได้สำเร็จ และเดินทางต่อไปเรียนปริญญาโทด้านกฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม ในนิวยอร์ค
ทั้งคู่ก็ถึงคราต้องพัดพรากจากกันอีกครั้ง เคอิเดินทางไปนิวยอร์ค ส่วนมาโกะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนสาขาพิพิธภัณฑ์และแกลเลอรีศิลปะที่มหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ในสหราชอาณาจักร
นั่นอาจเป็นช่วงเวลาที่เงียบงันและสงบสุขที่สุดแล้วในชีวิตของเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ดอกเบญจมาศ ไม่มีแสงสปอร์ตไลท์ส่องจับ ไม่มีสายตาใครคอยจับผิด และถูกปฏิบัติเหมือนสามัญชนคนธรรมดาทั่วไป แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงเมื่อพวกเขากลับมาญี่ปุ่นในปี 2017
แสงสปอร์ทไลท์ที่ (เกือบ) ทำลายความรัก
“ฉันจะมีความสุข ถ้าฉันได้สร้างครอบครัวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่น”
หลังจากทั้งคู่กลับมาจากต่างประเทศในปี 2017 มาโกะได้แถลงหมั้นหมายกับเคอิ และประกาศว่าจะแต่งงานกันในปี 2018 แต่หลังจากวันนั้น เรื่องราวความรักแสนหวานของชายหญิงคู่นี้ไม่ปกติอีกต่อไป
หนึ่งเดือนต่อมา สื่อแท็บลอยด์ในญี่ปุ่นได้แฉว่าแม่ของเคอิไม่ยอมชดใช้เงินราว 3.9 ล้านเยน (1.157 ล้านบาท) ซึ่งอดีตคู่หมั้นของเธออ้างว่าให้ยืมเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนของลูกชายของเธอ เคอิออกมาโต้ตอบเรื่องดังกล่าวทันทีว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะแม่ของเขาคิดว่าเงินดังกล่าวเป็นการให้ด้วยเสน่หาไม่ใช่การให้ยืม
แต่แม้เคอิจะออกแถลงอย่างเป็นทางการที่มีความยาวกว่า 24 หน้าและประกาศจะชดใช้เงินทุกบาททุกสตางค์แก่อดีตคู่หมั้นของแม่ ทุกอย่างก็ไม่ทันเสียแล้ว ชีวิตรักของทั้งคู่ต้องหักเหและเผชิญมรสุมลูกใหญ่
สังคมญี่ปุ่นออกมาวิพากษ์วิจารณ์ความเหมาะสมในการแต่งงานครั้งนี้อย่างเผ็ดร้อน กล่าวว่าเขาเป็นชายที่ไม่คู่ควรกับสายเลือดอันศักสิทธิ์ของเชื้อพระวงศ์ แม้กระทั่งโจมตีว่าเคอิเป็นพวก “ขุดทอง (Gold Digger)” หวังรวยทางลัดจากการแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์
สื่อญี่ปุ่นยังคงสืบสาวเข้าไปถึงอดีตของครอบครัวโคมูโระ และเปิดเผยว่าพ่อของเคอิฆ่าตัวตายเมื่อครั้งเคอิมีอายุเพียง 10 ขวบ ตามมาด้วยปู่และย่าของเขาที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเช่นกัน ในหนึ่งอาทิตย์ และหนึ่งปีต่อมา
ความกดดันจากกระแสสังคมทำให้สำนักพระราชวังของญี่ปุ่นประกาศเลื่อนงานแต่งงานของพวกเขาออกไป โดยให้เหตุผลว่าเพื่อเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด ขณะที่มกุฎราชกุมารอากิชิโนะ พ่อของมาโกะก็แสดงความประสงค์อยากให้ชะลองานแต่งครั้งนี้ไว้ก่อน เพราะอยากให้สาธารณะชนเห็นพ้องกับงานแต่งของลูกสาวด้วยเช่นกัน
หลังจากกระแสต่อต้านของสังคม เคอิกลับไปเรียนต่อที่นิวยอร์คจนจบการศึกษา และสมัครเข้าทำงานที่บริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งในนิวยอร์ค ส่วนมาโกะใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ หลบสายตาและสปอร์ตไลท์จากสื่ออยู่ในญี่ปุ่น
แต่ทุกอย่างก็ซัดมาอีกระลอกเมื่อเคอิเดินทางกลับมาญี่ปุ่นอีกครั้งในเดือนกันยายนปี 2021 สื่อหลายสำนักไปดักรอเขาที่สนามบินและหาเรื่องเล่นงานเขาอีกจนได้ โดยครานี้พูดถึงผมหางม้าของเขาว่าไม่เหมาะสม และไม่ใช่สัญลักษณ์ของคนที่เป็นทนายที่ดี
“ถ้าเขาเป็นนักร้องหรือศิลปิน มันคงไม่เป็นแบบนี้ เพราะคนญี่ปุ่นมองว่าเขาดูไม่เหมือนทนาย หรือภาพลักษณ์เขาดูไม่เหมาะสมกับคนที่จะแต่งงานกับเชื้อพระวงศ์”
ฮิโตมิ โทโนมูระ ศาสตราจารย์ด้านเพศศึกษามหาวิทยาลัยมิชิแกนอธิบายว่า คนญี่ปุ่นคาดหวังว่าการกระทำและคำพูดของคนจะต้องสะท้อนสถานะและหน้าที่ของคนๆ นั้น และภาพของเคอิไม่ตอบความคาดหวังของพวกเขา
และแม้กระทั่ง อาทิตย์ที่ผ่านมาที่เคอิเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวของมาโกะ เขาก็ถูกสื่อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่ตรงต่อเวลา โดยสื่ออ้างว่าเขาไม่เตรียมพร้อมเรื่องการจราจรที่ติดขัด
นิยายรักโรแมนติคถูกสื่อญี่ปุ่นปั่นจนเละทะ และซ้ำเติมด้วยคอมเมนท์ไร้หัวใจในโลกโซเชียล มีเดียส่งผลผลกระทบต่อจิตใจของมาโกะอย่างรุนแรง
ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สำนักพระราชวังของญี่ปุ่นประกาศว่า มาโกะถูกวินิจฉัยว่ามีอาการของโรค PTSD หรือภาวะที่ร่างกายและจิตใจได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างหนักหลังเผชิญสถานการณ์ที่รุนแรง และสาเหตุมาจากความกดดันของสื่อและสังคมต่อตัวเธอและคู่หมั้น
“เธอรู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถูกย่ำยี” จิตแพทย์ที่วินิจฉัยอาการของมาโกะกล่าวในงานแถลงข่าวครั้งดังกล่าว
“เธอมองว่าตัวเองเป็นใครบางคนที่ไม่มีคุณค่าอะไรเลย”
ผู้หญิงชั้นสูงในสังคมชายๆ ของญี่ปุ่น
ความเครียดจากการถูกสังคมจับตามองเป็นปัญหาหนึ่งของทุกราชวงศ์บนโลกนี้อยู่แล้ว แต่ภายใต้สังคมที่กดทับผู้หญิงเช่นญี่ปุ่น ความกดดันกลับยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณตามสายตาที่จ้องจับผิดนานานับคู่
มาโกะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์หญิงคนแรกที่ถูกวินิจฉัยว่ามีปัญหาทางจิตใจ เมื่อช่วงปี 2004 จักพรรดินีมาสาโกะ (ภรรยาของจักพรรดิองค์ปัจจุบัน) ก็เคยถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะเครียด (Adjustment Disorder) และต้องหายจากการออกพระราชกรณียกิจไปนานกว่า 11 ปี จนกลับมาออกงานครั้งแรกเมื่อปี 2015 นี่เอง
ถึงแม้ สังคมญี่ปุ่นจะเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว และภาวะชายเป็นใหญ่ก็เริ่มคลายลงไปบ้าง แต่ผ่านสายตาของมิโฮโกะ ซูซูกิ ผู้อำนวยการและก่อตั้งศูนย์มนุษนิยม มหาวิทยาลัยไมอามี เธอมองว่า สำหรับราชวงศ์ดอกเบญจมาศแล้ว สถานะของผู้หญิงยังถูกแช่แข็งไว้ในโลกใบเก่า และถูกทำให้เป็นตัวแทนของค่านิยมที่กดทับทางเพศแบบเดิมๆ ในญี่ปุ่น
เช่นเดียวกับ ริกะ คายามะ อาจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโตเกียวที่กล่าวว่า การเป็นสตรีในราชวงศ์ญี่ปุ่น คุณต้องแบกรับค่านิยมและความคาดหวังของสังคมดั้งเดิมไว้อย่างมาก
“คนจะคอยถามว่า คุณเป็นแม่ที่ดีหรือยัง?” ริกะกล่าว “แล้วถามอีกว่าคุณกับแม่ยายเป็นอย่างไรบ้าง? คุณได้ช่วยเหลือสามีคุณอย่างไรบ้างไหม? หน้าที่มากมายที่พวกเธอต้องทำอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งฉันไม่คิดว่าผู้ชายในราชวงศ์จะเข้าใจมันนักหรอก”
ไม่เพียงแต่มาโกะเท่านั้นที่ถูกสังคมสับเละเทะ หลังจากข่าวอื้อฉาวเรื่องการยืมเงินของอดีตคู่หมั้น แม่ของเคอิก็ถูกสังคมตั้งข้อสังเกตว่า ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว เธอจะเลี้ยงลูกขึ้นมาเป็นคนที่ดีได้จริงหรือ
“ในญี่ปุ่น ยังคงมีบรรยากาศของการกดทับผู้หญิง ที่ดูถูกแม่เลี้ยงเดี่ยวทั้งในเชิงศีลธรรมและเศรษฐกิจ” โทโนมูระ ผู้เชี่ยวชาญด้านเพศศึกษากล่าวต่อว่า คนญี่ปุ่นบางส่วนยังมองว่าแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่มีทางที่จะเลี้ยงเด็กคนนึงให้โตขึ้นมาอย่างเหมาะสมได้ หรือกล่าวตรงไปตรงมาว่า บางส่วนของสังคมญี่ปุ่นมองว่าแม่ของเคอิไม่มีทางเลี้ยงลูกให้ดีได้ และตัวเคอิเองก็ไม่มีทางเป็นคนที่เหมาะสมกับเชื้อพระวงศ์ได้
เคอิ โคบูตะ ยูทูบเบอร์ที่สนใจเรื่องของราชวงศ์ และเป็นผู้นำขบวนประท้วงในย่านกินซ่า กรุงโตเกียวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้วิจารณ์ว่าการตัดสินใจของมาโกะคือสิ่งที่ผิดพลาด “มันมีข้อครหาและความสงสัยมากมายเกี่ยวกับเคอิ และแม่ของเขา ดังนั้น ผู้คนเป็นกังวลว่า (การตัดสินใจครั้งนี้) จะทำให้ภาพลักษณ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นย่ำแย่ลง”
แต่ถ้อยคำวิจารณ์เผ็ดร้อนดูเหมือนจะทำอะไรกับความรักที่แท้จริงไม่ได้เลย เพราะสุดท้าย มาโกะและเคอิก็เชิดหน้าเดินเข้าสู่งานวิวาห์อย่างงดงาม และพิสูจน์ว่ารักแท้คือสิ่งเดียวที่จีรังที่สุดในโลก
มาโกะ โคมูโระ
นับจากวันนี้ไปจะไม่มีเจ้าหญิงมาโกะอย่างที่ชาวญี่ปุ่นและทุกคนรู้จักอีกแล้ว จะมีเพียงแต่มาโกะ โคมูโระ ภรรยาของเคอิ โคมูโระเท่านั้น เพราะตามกฎมณเฑียรบาลของญี่ปุ่น เชื้อพระวงศ์ที่แต่งงานกับสามัญชนจะถูกริบฐานันดรศักดิ์ทั้งหมด
แต่ดูเหมือนว่ามาโกะจะไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เสียเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวมาโกะและคู่หมั้นเตรียมจัดงานแต่งงานอย่างเงียบๆ โดยไม่ขอเข้าพิธีตามธรรมเนียมของเชื้อพระวงศ์มาก่อนแล้ว นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นยังยืนยันว่าเธอพร้อมปฏิเสธเงินกว่า 159 ล้านเยน (46 ล้านบาท) ซึ่งให้ตามธรรมเนียมสำหรับสตรีในราชวงศ์ที่ตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะสามัญชน รวมถึงมีข่าวว่าหลังจากพิธีแต่งงาน เธอจะย้ายออกจากญี่ปุ่น เพื่อไปอาศัยที่นิวยอร์คเมืองที่แฟนหนุ่มของเธอทำงานอยู่
ผู้เชี่ยวชาญบางคนเปรียบการตัดสินใจครั้งนี้ของมาโกะว่า มันคือการหันหลังให้กับอดีต หรือรากเหง้าความเป็นชนชั้นสูงของเธอ
แต่ถึงแม้มาโกะมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ยอมทิ้งสิทธิพิเศษที่มาพร้อมสายเลือดเพื่อความรักขนาดนี้ บางส่วนของสังคมญี่ปุ่นก็ยังไม่ยอมรับการตัดสินใจของเธอ และเรียกเธอว่า “หัวขโมยภาษี” หรือวิจารณ์ว่าเธอกำลังทำให้ “ญี่ปุ่นต้องอับอายไปทั่วโลก”
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนในสังคมญี่ปุ่นที่มองว่าการตัดสินใจของเธอไม่เหมาะสม ชายวัย 66 ปีคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในโตเกียวยอมรับว่า ถึงแม้เขายังสงสัยในตัวของเคอิ แต่มาโกะมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่จะตัดสินใจต่อชีวิตของเธอเอง เขากล่าวว่า
“มันเป็นเรื่องของสิทธิมนุษยชน และคนอื่นไม่ควรยื่นมือเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้”
ชีวิตที่ขอมอบให้แก่กันและกัน
ก่อนเข้าสู่พิธีวิวาห์อันเรียบง่ายในช่วงบ่ายของวันนี้ มาโกะและเคอิได้แถลงข่าวกับสื่อมวลชนเป็นครั้งสุดท้าย โดยมาโกะได้กล่าวว่า เธอรู้สึกเสียใจกับทุกปัญหาที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของเธอและเคอิ เธอกล่าวว่า
จนถึงวันนี้ ฉันมีโอกาสน้อยเหลือเกินที่จะเผยความรู้สึกของตัวเอง และมันทำให้มีความเข้าใจผิดบางอย่างจากโอกาสอันน้อยนิดนั้น สิ่งที่แพร่ออกไปมันเป็นมุมมองเพียงด้านเดียวมาตลอด และมันทำให้ฉันทั้งกลัวและเสียใจ
ด้านเจ้าบ่าวกล่าวว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมามี “ข้อมูลที่ผิด (Misinformation)” ถูกเผยแพร่มาโดยตลอด แต่อย่างไรเขาก็ขอขอบคุณทุกคนที่อยู่ข้างเขาเสมอ เขากล่าวว่า
“ผมรักคุณมาโกะ นี่คือชีวิตที่ใช้ได้แค่ครั้งเดียว และผมอยากใช้มันกับคนที่ผมรักด้วยความสุข”
เช่นเดียวกับมาโกะพูดถึงเคอิต่อหน้าสื่อมวลชนว่า “สำหรับฉันเคอิคือสิ่งสำคัญ ที่ฉันขาดไม่ได้”
ไม่ว่าหลังจากนี้ชีวิตรักของทั้งคู่จะเป็นเช่นไร ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ผู้เขียนยินดีด้วยกับข้าวใหม่ปลามันคู่นี้ที่ฝ่าขวากหนามของสปอร์ตไลท์และพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่า พวกเขามีความรักให้แก่กันจริง แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็น่าสนใจและพอสะท้อนมาถึงประเทศเราได้อย่างน้อย 3 ประการ
ประการแรกคือ ความคลั่งไคล่ต่อสายเลือดศักสิทธิ์ที่กลุ่มกษัตริย์นิยมพยายามปกป้อง ซึ่งดูเหมือนยังคงเข้มข้นเหมือนกันไปทั่วโลก แม้กระทั่งในญี่ปุ่นที่ราชวงศ์ถูกริบอำนาจทั้งหมดไปแล้ว และทำหน้าที่เป็นเพียงสัญลักษณ์บางอย่าง
ประการที่สอง ความน่าอิจฉาต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกในญี่ปุ่น ที่ทำให้สื่อและสังคมสามารถพูดถึงและวิจารณ์ราชวงศ์ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
และประการสุดท้าย การทำข่าวแบบน้ำเน่าของสื่อมวลชนบางสำนัก ที่หลายครั้งทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด และบางครั้งทำให้สังคมเสียโอกาสรับข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์มากกว่า เช่น กรณีของข่าวลุงพลและน้องชมพู่
และไม่ว่าเรื่องราวระหว่างมาโกะและเคอิจะเป็นความจริงตามที่สื่อเล่า หรือถูกใส่สีตีไข่มากน้อยแค่ไหน ความจริงข้อหนึ่งที่เรายังเชื่อถือได้อยู่เสมอตั้งแต่อดีตกาลคือ ความรักชนะทุกสิ่ง หรือคุณคิดว่าไม่จริง ?
อ้างอิง: