สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย จัดเสวนาเรื่อง “ความพร้อมของกลไกเชิงสถาบันกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเวทีสาธารณะด้านหลักนิติธรรม ครั้งที่ 3 เรื่องการฟื้นฟูโครงสร้างเชิงระบบและหลักนิติธรรมเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ณ ห้องประชุม Conference Hall ชั้น 2 สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย
การเสวนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความท้าทายเชิงปฏิบัติการและประเมินศักยภาพในการปฏิรูปโครงสร้างเชิงสถาบันของประเทศไทย อันจะนําไปสู่การสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่มีเสถียรภาพและเอื้ออํานวยต่อการลงทุน
โดยมีผู้ร่วมเสวนา คือ พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย, กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

ภาพ การเสวนาเรื่องความพร้อมของกลไกเชิงสถาบันกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ตอนนี้ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาอะไร? และส่งผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างไรบ้าง?
“ปัญหาใหญ่มากๆ ของเศรษฐกิจบ้านเรากับการลงทุน โดยเฉพาะการที่ต่างชาติมาลงทุนกับประเทศไทย… พบว่า หลายประเทศประสบอุปสรรคในการดำเนินงานและเงื่อนไขจากระบบราชการ และระเบียบต่างๆ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเรียกร้องผลประโยชน์หรือการคอร์รัปชั่น” พจน์ กล่าว
พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการคอร์รัปชั่นที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีรากฐานมาจาก ‘โครงสร้าง’ ของประเทศ โดยเฉพาะระบบกฎหมายที่ล้าสมัย ส่งผลต่อขั้นตอนที่ซับซ้อนในการลงทุนและกลายเป็นช่องว่างเพื่อ ‘การติดสินบน’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการคอร์รัปชั่น
ที่ผ่านมา ภาคเอกชนหรือองค์กรด้านการเงินต่างๆ ได้พยายามเสนอให้มี ‘กิโยตินกฎหมาย (Regulatory Guillotine)’ คือ การทบทวนกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน พร้อมปรับลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็นออก ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางที่ได้รับความสนใจจากภาคเอกชน เนื่องจากช่วยลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มความคล่องตัวในกระบวนการทำงาน
ถัดมาคือ ‘เสถียรภาพทางการเมืองและความต่อเนื่องของนโยบาย’ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่า ‘การเมืองไทยไม่นิ่ง’ การผันผวนของการเมืองส่งผลต่อการดำเนินโครงการหรือนโยบายต่างๆ ของรัฐที่ไม่ต่อเนื่อง ส่งผลโดยตรงกับความรู้สึก ‘ไม่มั่นใจ’ ในการลงทุนของนักลงทุน
“หลายประเทศจะมี ‘นโยบายแห่งชาติ’ ซึ่งจะรัฐบาลไหนเข้ามาก็เดินเรื่องต่อ แต่บ้านเราไม่มีการเดินนโยบายที่ต่อเนื่อง ไม่มีนโยบายของประเทศที่กำหนดให้ทุกรัฐบาลต้องเดินไปทางเดียวกัน… เหล่านี้อาจใส่เป็นข้อตกลงในรัฐธรรมนูญ คือ ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลก็ต้องมาดำเนินนโยบายแห่งชาติต่อ ไม่ใช่เปลี่ยนรัฐบาลที เปลี่ยนแนวนโยบายที” พจน์ กล่าว
พจน์เสนอว่า หากมีการทำนโยบายแห่งชาติจริง เขาก็อยากให้เป็นการกำหนดประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาการศึกษาของคนในประเทศ และนโยบายการปราบปรามคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงผลักให้เอกชนหรือองค์กรต่างๆ มาผลักดันอย่างเดียว
ปัญหาภาคอุตสาหกรรม การผลิต การลงทุน และการส่งออกของประเทศ
“ปัจจัยสำคัญที่เราเรียกว่าปัญหาซ้อนปัญหากำลังเกิดขึ้นทั่วโลก จากที่นายกฯ กล่าวถึงความท้าทายของโลกในปัจจุบัน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องกำแพงภาษี ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี (Disruption) เรื่องการผลิต ทุกอย่างในโลกกำลังเป็นปัญหาใหญ่และเป็นความท้าทายระดับโลก” เกรียงไกร กล่าว
เกรียงไกรในฐานะประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสนอ ‘ปัญหาซ้อนปัญหา’ ของประเทศไทยทั้ง 8 ด้าน ซึ่งเคยเสนอต่อนายกฯ ไปแล้วเมื่อ 15 กันยายน 2568 ในประเด็นปัญหาที่ภาคเอกชน เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมกำลังเผชิญ ดังนี้

ภาพ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย
เริ่มจากปัญหามาตรการภาษีของสหรัฐฯ และสงครามการค้าที่เกิดขึ้น แม้ประเทศไทยจะสามารถต่อรองภาษีนำเข้า 19% แต่ก็ยังมีประเด็นอื่นที่ต้องจับตา อย่างกระแสสินค้าในโลกที่เปลี่ยนไป คือ มีการทุ่มตลาดและสวมสิทธิ์ส่งออกซึ่งทำให้ธุรกิจรายย่อยหรือ SME ไทยไปต่อได้ยาก
ส่วนปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ประเทศไทยอยู่ตรงกลางระหว่างสองขั้วมหาอำนาจและเป็นคู่ค้าสำคัญ การเลือกจุดยืนที่เหมาะสมจะสร้างประโยชน์ให้ประเทศได้ดี
ขณะที่ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยคือ จากปี 2567 มียอดการค้า 1.8 แสนล้านบาท และส่งผลให้ไทยมีดุลการค้าปีละแสนล้านบาท แต่เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น SME จำนวนมากได้รับผลกระทบจากการค้าชายแดนที่เกิดขึ้น
“เข้าใจว่านี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การที่ภาคเอกชนร้องเรียน แม้รู้ว่าความมั่นคงสำคัญ อธิปไตยสำคัญ แต่ฝากภาครัฐคำนึงถึงมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะในระยะยาว” เกรียงไกร กล่าว
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนและธุรกิจ โดยหนี้ครัวเรือนแตะร้อยละ 90 ของ GDP (ไม่รวมหนี้นอกระบบ) แต่เมื่อรวมแล้วก็พบว่ามีหนี้ถึงร้อยละ 104 ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อที่ลดลง ขณะที่หนี้ธุรกิจมีตัวเลข NPL (Non-Performing Loan) ที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้หรือไม่สามารถชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามสัญญาได้ คือ มีหนี้ที่วงเงินต่ำกว่า 500 ล้านบาทของ SME แตะร้อยละ 7.62 ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
อีกประเด็นคือ ‘ค่าเงินบาทแข็ง’ คือ ทุกวันนี้ประเทศไทยเผชิญปัญหาการส่งออกร้อยละ 60 ของรายได้ประเทศ หรือ GDP และอีกร้อยละ 20 มาจากการท่องเที่ยว ดังนั้น เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้นก็ส่งผลให้นักท่องเที่ยวลดลง รายได้ของประเทศก็น้อยลงไปด้วย
ทั้งนี้ เกรียงไกรได้วิเคราะห์ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลต่อปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย คือ การที่ประเทศไทยเข้าสู่สังผู้สูงอายุ การติดกับดักรายได้ปานกลาง ระบบการศึกษาที่ไม่เข้มแข็ง นักเรียนเรียนจบไม่มีงานทำ ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาความไม่สมดุลของงบประมาณ จากการเก็บภาษีเงินได้ของประชากรได้เพียง 4 ล้านคน จากกว่า 60 ล้านคน ปัญหาคอร์รัปชั่นจากระบบราชการที่ล้าสมัยซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของปัญหาซ้อนปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้
ภาพรวมปัญหาการเงินไทย: ปัญหาเชิงโครงสร้าง-ความสามารถในการแข่งขัน-ประสิทธิภาพภาครัฐ
ถัดมาที่ภาพรวมทางการเงินและเศรษฐกิจไทย ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย มองปัญหาที่ครอบคลุมหลายมิติ ตั้งแต่ปัญหาเชิงโครงสร้างไปจนถึงปัญหาด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ ดังนี้
เริ่มจากที่ประเทศไทยกำลังเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ที่จำนวนผู้สูงอายุพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่วัยทำงานลดลงอย่างมาก สะท้อนว่าในอีก 10 ปี ประเทศไทยจะมีประชากรลดลง 1 ล้านคน แต่ผู้สูงวัยจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เฉลี่ยปีละ 2.6% จนกลายเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของประชากร ซึ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อกำลังแรงงานและสวัสดิการของประเทศ
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง คือ คนไทยที่อยู่ในกลุ่มรายได้สูงมีเพียงร้อยละ 10 ที่สามารถครอบครองรายได้ร้อยละ 52 ของประเทศ ส่วนหนี้ครัวเรือนยังมีการพึ่งพาหนี้นอกระบบถึงร้อยละ 25 ซึ่งปัจจุบันหนี้ครัวเรือนที่แท้จริงจะมากกว่า GDP

ปัจจุบันเศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างแรงงานนอกระบบและสวัสดิการมีถึงร้อยละ 53 ของประชากร และเศรษฐกิจนอกระบบร้อยละ 48 ของ GDP ทำให้การจัดสรรสวัสดิการรัฐทำได้ยาก เพราะมีคนเสียภาษีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น โดยจำนวนที่คนที่ยื่นเสียภาษีก็น้อยมากอยู่แล้ว คือ มีคนยื่นเสียภาษีเงินได้ 11-12 ล้านคน แต่มีคนเสียภาษีจริงเพียง 4 ล้านคน

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ชี้ว่า ประเทศไทยกำลังมีแรงงานนอกระบบเพิ่มมากขึ้น และปรงงานในระบบกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้ต่อครัวเรือนลดลง ขณะที่มีบางส่วนรวมอยู่ใน ‘ว่างงานแฝงในภาคเกษตร’
ขณะที่ประสิทธิภาพทางธุรกิจและความสามารถในการแข่งขันก็ลดลง คือ มีจำนวนธุรกิจที่ปิดการมากกว่าจำนวนที่เปิดกิจการ และตลาดหลักทรัพย์ร้อยละ 65 มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (Price to Book: P/B) ต่ำกว่า 1 แสดงถึงการลงทุนในไทยที่ให้ผลตอบแทนไม่น่าดึงดูด
เมื่อมองไปที่ปัญหาด้านการคลังและประสิทธิภาพภาครัฐ พบว่า หนี้ภาครัฐสูงขึ้น แต่ภาษี VAT ยังคงอยู่ที่ 7% ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่าจะนำเงินจากไหนไปเจือจุนสวัสดิการในสังคมผู้สูงอายุและแรงงานนอกระบบ ขณะที่หลายรัฐบาลยังเลือกดำเนิน ‘นโยบายประชานิยม’ ซึ่งทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นทวีคูณ
ส่วนประสิทธิภาพภาครัฐนั้นต่ำกว่ามาเลเซียและเวียดนามอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาใหญ่อย่างการทุจริตซึ่งเกิดจากระบบนิติธรรมที่มีปัญหา และปัญหา ‘เงินสีเทา’ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความบกพร่องในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เช่น ปปง. ร้านทอง เงินสกุลดิจิทัล กรมศุลกากร ทำให้ไม่สามารถควบคุมและแก้ปัญหาเรื่องเงินสีเทาได้อย่างเต็มที่
‘กับดักกฎหมาย’ อุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย
ด้าน กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมองว่า ‘กับดักกฎหมาย’ เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ทำให้เกิดความสั่นคลอนในตลาดทุนและความล่าช้าทางเศรษฐกิจ ดังนี้

จากการศึกษาพบว่า การออกกฎหมายฉบับหนึ่งของไทยใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 18–26 เดือน รวมตั้งแต่กระบวนการร่างกฎหมาย การผ่านครม. กฤษฎีกา การรับฟังความเห็น ฯลฯ โดยเฉพาะกฎหมายที่ไม่เป็นฉันทามติของสังคมยิ่งมีความล่าช้ามาก
อีกอุปสรรคสำคัญคือระบบการทำงานของหน่วยงานรัฐ ที่มีระบบ “ต้องขอความเห็นจากทุกกระทรวง ทบวง กรม” ทำให้การดำเนินงานต่างๆ ล่าช้า ส่งผลต่อต้นทุนในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ความไม่แน่นอนของกฎเกณฑ์ และลดทอนความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ
กิติพงศ์ได้เสนอการผลักดันปัญหากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ โดยชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันปัญหาหลักของกฎหมายไทยและการดำเนินธุรกิจ คือ ความซ้ำซ้อนและบังคับใช้คนละทิศคนละทาง
หากสามารถแก้ปัญหาความซ้ำซ้อนของกฎหมาย จะช่วยประหยัดต้นทุนของเอกชนได้ถึง 1.34 แสนล้านบาทต่อปี พร้อม GDP ที่เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 0.8 ซ้ำยังช่วยลดปัญหาการทุจริตระหว่างทางที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินการต่างๆ

อีกประเด็นสำคัญคือ ‘ปัญหาฐานภาษีและการจูงใจให้เข้าระบบ’ อย่างฐานภาษีของนิติบุคคลในประเทศไทยซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ 900,000 บริษัท ยื่นภาษี 300,000 บริษัท และเสียภาษีจริงเพียง 100,000 บริษัท
และมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพียง 800 บริษัท มีส่วนในการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลถึง 375,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 30 ของภาษีทั้งหมด ซึ่งแสดงว่าบริษัทส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ระบบเศรษฐกิจนอกระบบ
ส่วนภาษีเงินได้ของบุคคลซึ่งเป็นหัวใจใหญ่กลับเผชิญปัญหาที่ว่า ‘คนไทยไม่อยากเสียภาษี’ เช่น กรณีโครงการคนละครึ่งที่ต้องบอกล่วงหน้าว่าจะไม่โดยภาษีย้อนหลัง ทำให้เกิดความสงสัยว่า “ทำไมการเสียภาษีไม่ใช่หน้าที่คนไทยทุกคน ทำไมคนไทยรู้สึกว่าการเสียภาษีเป็นภาระที่ไม่อยากจ่าย”
แม้แต่ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ประเทศไทยคิดในอัตราเดิมตั้งแต่ปี 2535 คือ 10% แบ่งออกเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจริง 9% และภาษีท้องถิ่น 1% ถึงกระนั้นก็มีการออกพระราชกฤษฎีกาลดอัตราภาษีเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจริงเป็น 7%
ปัจจุบัน มีหลายประเทศที่ขยับเพดานภาษีมูลค่าเพิ่มไปมากกว่า 10% แล้ว แต่ประเทศไทยยังคงเก็บในอัตราเดิม และหากมีคณะรัฐมนตรีสักชุดหนึ่งไม่ต่ออายุการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ประเทศไทยก็จะหันมาเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 10% ได้โดยไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายใหม่ ซึ่งจะทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 200,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการดูแลผู้สูงอายุและการศึกษา
“นี่เป็นปัญหาของคนไทย ซึ่งผมเข้าใจว่าการยืนเสียภาษีเป็นหน้าที่ของทุกคน ผมเคยเสนอกับ อ.บวรศักดิ์ (รองนายกรัฐมนตรี) เรื่องการเขียนรัฐธรรมนูญให้กำหนดว่า ‘ทุกคนมีหน้าที่ต้องยื่นเสียภาษี’ คือไม่ต้องเสียก็ได้ แต่อย่างน้อยให้ยื่นเพื่อขอสิทธิ และนี่ก็เป็นปัญหาว่า จะทำอย่างไรให้คนไทยรู้สึกว่า การเสียภาษีเป็นหน้าที่” กิติพงศ์ กล่าว
‘วิกฤติคอร์รัปชั่น’ ความเสื่อมถอยของความเชื่อมั่นและระบบราชการ
มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มองว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นในปัจจุบันอยู่ในระดับวิกฤติซ้อนวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน และทำให้สถานการณ์ของประเทศย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนถึงปัญหา ดังนี้
ประการแรก คือ ปัญหา ‘สินบน’ ที่การรับเงินใต้โต๊ะกลายเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายสินบนเพื่อผ่านใบอนุญาตที่ดิน การขนส่ง หรือการก่อสร้าง และไม่ได้ทำอย่างหลบซ่อนเช่นอดีต แต่เป็นเรื่องที่คนทั่วไปรับรู้ว่า “ต้องจ่ายเท่าไหร่?”
การรับสินบนส่งผลเสียต่อประเทศหลายด้าน นอกจากความเสียหายด้านการเงินที่มีส่วนต่างแล้ว ยังมีปัญหาความล่าช้าในการก่อสร้าง บ้างก็เกิดอุบัติเหตุ ทำให้ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายอีกด้วย ตัวอย่างถัดมา คือ ‘การใช้เส้นสายและระบบอุปถัมภ์ในราชการ’ คือ มีการใช้เส้นสายเพื่อความเติบโตทางอาชีพการงาน เช่น กรณีตั๋วช้าง หรือผู้กองหญิงที่ได้รับการเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น ยังมีการใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ส่วนตน เช่น การใช้เจ้าหน้าที่รัฐ กฎหมาย และทรัพยากรของรัฐ มาทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจหรือเล่นงานฝ่ายตรงข้าม เช่น กรณีเขากระโดง ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างไม่ถูกต้อง
อีกประเด็นคือ วัฒนธรรมการปกปิดข้อมูลที่ควรเป็นสาธารณะ อย่างการปกปิดรายงานสำคัญระดับชาติ เช่น รายงานการสอบสวนคดี ‘บอส กระทิงแดง’ กรณีร้องเรียนนาฬิกาหรู หรือการสอบสวนกรณีตึก สตง. ถล่ม ซึ่งเป็นเรื่องความปลอดภัยและมาตรฐานวิชาชีพก็ไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ
สุดท้ายคือปัญหาที่ปรากฏในสังคมไทยอย่างยาวนาน คือ ‘การซื้อเสียง’ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งระดับประเทศหรือการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งคนไทยรู้ กกต. รู้ แต่ไม่มีใครทำอะไรกับปัญหาข้างต้นนี้ และผลลัพธ์ที่ออกมาก็กลายเป็นการสืบทอดอำนาจของ ‘บ้านใหญ่’ หรือนักการเมืองที่มีอิทธิพล ทำให้ระบบการเมืองกลายเป็นเรื่องของพรรคพวกและเส้นสาย
ซึ่งปัญหาที่กล่าวข้างต้นส่งผลให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อระบบราชการ กระบวนการยุติธรรม และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ พร้อมไม่เชื่อในมาตรการหรือนโยบายของรัฐว่าจำประสบความสำเร็จ มองว่าอาจมีผลประโยชน์แอบแฝงหรือการคอร์รัปชันอยู่เบื้องหลัง ซึ่งนำไปสู่สภาวะที่เศรษฐกิจและสังคมไทยพัฒนายากขึ้นด้วย
เสนอทางออกต่อภาครัฐ และการดำเนินการเบื้องต้นของแต่ละองค์กร
ช่วงท้ายของการเสวนา นครินทร์ได้ถามถึงทางออกที่ผู้เข้าร่วมเสวนาต้องการเสนอต่อภาครัฐ และการดำเนินเบื้องต้นจากหน่วยงานของตัวเอง ซึ่งแต่ละคนได้สะท้อนวิธีการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นและการสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อหน่วยงานรัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ดังนี้
“การคอร์รัปชั่นเป็นอุปสรรคใหญ่ในการบั่นทอนหลักนิติธรรมและธรรมาธิบาลของประเทศ ผลดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ปี 2567 ประเทศไทยได้ 34 คะแนน (อันดับที่ 107 ของโลก) และหอการค้าไทยได้ทำรายงานการศึกษาเศรษฐกิจและธุรกิจแต่ไม่ได้เปิดเผยในช่วง 4-5 ปีหลัง ซึ่งคิดว่าปีนี้จะเปิดเผยในช่วงเดือนพฤศจิกายน และมีตัวเลขที่เห็นแล้วบอกได้ว่า ‘น่ากลัวมาก’ ก่อนหน้านี้มีผู้ใหญ่ขอร้องไม่ให้เปิดเผย” พจน์ กล่าว
พจน์มองว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องส่งเสริมหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาล เพื่อต่อต้านการคอร์รัปชั่นในเชิงนโยบาย โดยสามารถทำได้ง่ายที่สุด ผ่านการเอาจริงเอาจังกับกฎหมายและผู้ใช้กฎหมาย เพราะเชื่อว่ากฎหมายในการปราบปรามคอร์รัปชันนั้นมีครบถ้วนแล้ว นอกจากนั้น ประชาชนหรือภาคส่วนที่เป็นเหยื่อของการทุจริตก็ควรเชื่อในพลังของการออกมาเรียกร้องและปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองด้วย
สุดท้ายนี้ หอการค้าจะจัดการให้มีการมอบ ‘รางวัลจรรยาบรรณหอการค้าไทย’ ให้แก่ธุรกิจดีเด่นที่ขับเคลื่อนกิจการโดยไม่สนับสนุนคอร์รัปชัน เพื่อเป็นเครื่องมือในการยกย่องและสร้างบรรทัดฐานที่ดีในสังคมธุรกิจ
“ผมว่าทุกคนรู้ปัญหา ผมเรียนว่า จริงๆ สี่เดือนของรัฐบาลนี้ ต้องเริ่มตั้งแต่การกลัดกระดุมเม็ดแรก และเมื่อกี้เราคุยตั้งแต่ต้นว่า ดัชนีการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับหลักนิติธรรมของประเทศนั้น ถ้าประเทศที่มีนิติธรรมดี เศรษฐกิจก็จะมั่นคง เติบโต ไปด้วย แต่หากตรงข้ามผลก็จะออกมาเหมือนประเทศที่เราเป็นอยู่” เกรียงไกร กล่าว
GDP ของประเทศไทยทรุดตัวหนักตั้งแต่ปี 2558 ทั้งที่เคยเป็นประเทศดาวรุ่งในกลุ่มอาเซียน พร้อมความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงจากปัจจัยประสิทธิภาพภาครัฐ การให้บริการของรัฐ โครงสร้างพื้นฐาน และงบประมาณภาครัฐ
“ถ้าเรามีคอร์รัปชันเป็นชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) นี่อาจเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ เป็นการจ่าย (ใต้โต๊ะ) กันแบบไม่เคอะเขิน จ่ายเป็นธรรมเนียม ถ้าเป็นอย่างงี้อันดับของเราจะลดลงไปตลอด” เกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้ เขาได้เสนอว่า การปฏิรูปกฎหมายหรือกิโยตินกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญ แม้ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งแต่เมื่อผลลัพธ์ออกมาจะคุ้มค่าอย่างมาก เพราะหากลดความซับซ้อนของกฎหมายได้ GDP จะเพิ่มขึ้น 0.8% ทันที ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหนือกว่าความพยายามอื่นๆ
นอกจากนั้น ภาคเอกชนต้องยุติการเป็น ‘ขาจ่าย’ ภายใต้ทฤษฎีคอร์รัปชัน 3 ขา คือ หน่วยงานรัฐ ข้าราชการ และเอกชน และในฐานะที่เขาเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมและตัวแทนภาคเอกชน ได้ขอประกาศจุดยืนชัดเจนว่า “จะไม่เป็นขาจ่ายอีกต่อไป” เพื่อตัดวงจรคอร์รัปชัน
สุดท้ายนี้ เกรียงไกรเสนอให้ไทยเรียนรู้จากประเทศเพื่อนบ้านและเป็นคู่แข่งสำคัญอย่าง ‘เวียดนาม’ ที่พยายามปรับโครงสร้างอย่างจริงจัง โดยมีการลดจำนวนกระทรวงและหน่วยงานรัฐลงอย่างมาก และลดรายจ่ายประจำลง เพื่อเพิ่มงบประมาณสำหรับการพัฒนาประเทศ

ด้านผยง เน้นว่าปัญหาเศรษฐกิจนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่รัฐบาลจะแก้ไขได้ฝ่ายเดียว ดังนั้นการขับเคลื่อนต้องเกิดจากการรวมพลังของภาคเอกชนด้วย โดยไม่ผลักภาระไปให้รัฐบาลทั้งหมด
ผยงเสนอให้มีการสร้างกลไกขับเคลื่อนร่วมกันหรือ ‘Reinvent’ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเวทีสาธารณะที่มีชีวิต เพื่อเป็นพื้นที่ในการถกเถียงปัญหาและเสนอทางออกด้านธุรกิจและสุขภาพการเงินในครัวเรือนของคนไทย โดยไม่ให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเป็นเจ้าของ แต่เป็นพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม
เขามองว่าโครงการ Reinvent Thailand จะช่วยปรับโฟกัสให้รัฐบาลจัดลำดับความสำคัญของภาคส่วนที่ควรขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน แม้ระยะเวลาของรัฐบาลจะมีอายุเพียง 4 เดือน แต่ต้องเป็น 4 เดือนที่ Quick Big Win
นอกจากนั้น พยงยังอยากให้มีการใช้ข้อมูล (Data) และดัชนีชี้วัดในการสร้างความตระหนักรู้ ความเข้าใจ และนำไปสู่การถกเถียงอย่างมีเหตุผล โดยเบื้องต้นภาคเอกชนจะดำเนินการเผยแพร่ดัชนีชี้วัด สำคัญ 3 ด้าน คือ ดัชนีคอร์รัปชัน ดัชนีหนี้นอกระบบ และดัชนีความสามารถในการแข่งขันและผลิตภาพ
การเผยแพร่ดัชนีเหล่านี้จะช่วยให้ทุกคนเกิดความตระหนักและเข้าใจปัญหาเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งอาจนำสู่การเสนอแนวคิดอย่างเป็นรูปธรรมที่ทุกภาคส่วนสามารถร่วมมือในการพูดถึงและแก้ไขปัญหาต่างๆ
ส่วนกิติพงศ์ยังคงเสนอให้มีการผลักดันการกิโยตินกฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งต้องอาศัยเจตจำนงที่จริงจังของรัฐบาลด้วยว่าอยากผลักดันเรื่องนี้จริงๆ พร้อมการการปฏิรูปการคลังและการขยายฐานภาษี โดยพยายามดึงคนเข้าระบบและสร้างแรงจูงใจให้คนอยากจ่ายภาษี รู้สึกว่าการจ่ายภาษีเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ
ทั้งนี้ กิติพงศ์มองว่า หากสร้างระบบติดตามภาษี (Tracking System) โดยกำหนดระบบที่ชัดเจนว่าเงินภาษีเหล่านี้จะนำไปใช้ในการพัฒนาสุขภาพและการศึกษาอย่างไร ก็อาจสร้างความมั่นใจและช่วยให้ประชาชนยอมรับการปฏิรูปโครงสร้างทางการคลังได้
“วันนี้ ถ้าจะเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนกลับมาก็ต้องทำอะไรให้โปร่งใส เปิดเผย คนก็จะเข้ามามีส่วนร่วมเอง อีกอย่างคือ ตามที่นายกฯ บอกและพูดกันมาพักใหญ่แล้ว คือ ไทยต้องเข้าร่วม OECD ให้ได้ ถ้าอยากเห็นเศรษฐกิจไทยเติบโต” มานะ กล่าว
มานะเสนอว่า หากประเทศไทยสามารถเข้าร่วมองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ก็อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้น เนื่องจากเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน เพราะประเทศการเข้าร่วมองค์การดังกล่าว มีมาตรฐานด้านเศรษฐกิจ ธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรมค่อนข้างสูง
สุดท้ายนี้ มานะยังเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนร่วมผนึกกำลังต่อต้านคอร์รัปชัน ทั้งภาคเอกชน ประชาชน ข้าราชการ นักธุรกิจ ที่จะต้องตระหนักในสิ่งที่ตัวเองทำ และมองเห็นสิ่งที่ตนเองทำได้เพื่อให้ไม่สนับสนุนการคอร์รัปชัน
“เราทุกคนที่เป็นคนไทย เป็นข้าราชการ ประชาชน นักธุรกิจ ใครทำอะไรได้ก็ต้องทำ ต้องจับมือ ช่วยกันสร้างประเทศไทย เพราะเดินคนเดียวอาจจะเหงา ถ้าจับมือกัน เราสู้คอร์รัปชันได้แน่นอน” มานะ กล่าวทิ้งท้าย