“ประกันสังคมคือเรื่องใกล้ตัวที่สุดของคนทำงาน เกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ในนั้นหมด แต่ระบบนี้ไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองเจริญ” ษัษฐรัมย์ กล่าวกับ The MATTER
ทุกเดือนแรงงานไทยกว่า 16 ล้านคนจ่ายเงินสมทบเข้าสู่ ‘ประกันสังคม’ ด้วยความหวังว่าจะได้รับความมั่นคงเมื่อเจ็บป่วย ว่างงาน หรือยามเกษียณแต่ในขณะที่เงินไหลเข้ากองทุนมหาศาลกว่า 2.6 ล้านล้านบาท แต่เสียงของคนจ่ายกลับแทบไม่เคยถูกได้ยิน
หลายปีที่ผ่านมา ‘คณะประกันสังคมก้าวหน้า’ และนักวิชาการรุ่นใหม่พยายามผลักดันให้ระบบนี้โปร่งใส ยึดโยงกับแรงงาน และเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐ แต่ทุกครั้งที่พวกเขาพยายามรื้อระบบ กลับต้องชนเข้ากับระบบราชการและอำนาจเก่าที่สืบทอดมานาน
ทำไมการเปลี่ยนแปลงของระบบที่เกี่ยวพันกับชีวิตคนทั้งประเทศจึงยากกว่าที่คิด? The MATTER ชวนทุกคนไปหาคำตอบพร้อมกันว่าอะไรคือ ‘อุปสรรค’ สำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงระบบประกันสังคม
จุดเริ่มต้นของการรื้อระบบ

(Photo by Nhac NGUYEN / AFP)
ในประเทศที่แรงงานกว่า 16 ล้านคนต้องจ่ายเงินสมทบเข้าระบบทุกเดือน ‘สำนักงานประกันสังคม’ (สปส.) ควรเป็นสวัสดิการพื้นฐานที่ประชาชนรู้สึกอุ่นใจที่สุด แต่กลับกลายเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ ‘ถูกตั้งคำถาม’ เรื่องความโปร่งใสและความรับผิดชอบมากที่สุด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวแรงงานจำนวนหนึ่ง รวมตัวกันในนาม ‘คณะประกันสังคมก้าวหน้า’ เพื่อผลักดันการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง สิ่งที่คณะนี้เรียกร้อง คือการ ‘ปลดล็อก’ สปส. ออกจากกรอบราชการเดิม ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นรากของปัญหาทั้งหมด เพราะทุกขั้นตอนตั้งแต่การจัดซื้อ การลงทุน ไปจนถึงการกำหนดสิทธิประโยชน์ ต้องผ่าน ‘ระบบราชการหลายชั้น’ ที่ช้า หนัก และขาดความรับผิดชอบโดยตรงต่อผู้ประกันตน
‘ระบบราชการ’ ที่ไม่ยอมปล่อยมือ
เบื้องหลังปัญหาทั้งหมดคือ ‘โครงสร้างราชการ’ ที่ออกแบบให้ สปส. อยู่ภายใต้กระทรวงแรงงาน โดยมีคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) เป็นผู้กำหนดทิศทาง ในทางทฤษฎีบอร์ดนี้ประกอบด้วยตัวแทนจาก 3 ฝ่าย คือ รัฐ นายจ้าง และผู้ประกันตน
แต่ในทางปฏิบัติ ฝ่ายรัฐมีอำนาจมากที่สุด เพราะครองตำแหน่งประธานและผู้อนุมัติขั้นสุดท้าย แม้เสียงแรงงานจะมีในบอร์ด แต่ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนได้จริง
“เราสามารถเสนอได้ แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้” ตัวแทนผู้ประกันตนในบอร์ดกล่าวกับ Thai PBS
สปส. มีเงินกองทุนรวมกว่า 2.6 ล้านล้านบาท เงินเข้าทุกปีประมาณ 200,000 ล้านบาท
ถ้าคิดเป็นขนาดเศรษฐกิจ (GDP) เทียบได้กับทั้งประเทศเนปาล แต่เงินจำนวนมหาศาลนี้กลับอยู่ในมือของระบบราชการที่ตรวจสอบได้ยาก
“ประกันสังคมใช้เงินแบบที่สาธารณะไม่รู้เลยว่าลงทุนกับใคร ซื้ออะไร หรือใช้ไปเท่าไหร่ เพราะข้อมูลทั้งหมดอยู่ในเอกสารภายในที่ไม่เปิดเผย” ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี กรรมการผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตน คณะกรรมการประกันสังคม ระบุ

ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี กรรมการผู้แทนฝ่ายผู้ประกันตน คณะกรรมการประกันสังคม
เขาอธิบายว่า โครงสร้างแบบนี้ทำให้เกิด ‘ระบบอำนาจซ้อน’ ข้าราชการชั้นกลางมีอำนาจจริงในการตัดสินใจ ขณะที่แรงงานซึ่งเป็นเจ้าของเงิน ไม่มีสิทธิรู้แม้แต่บัญชีรายงานประจำปี
แรงต้านจากภายใน เมื่อระบบไม่อยากให้ใครเปลี่ยนมันได้

ข้อเสนอหลักของคณะประกันสังคมก้าวหน้าคือ การแยก สปส.ออกมาเป็น ‘องค์กรอิสระ’ คล้ายกับธนาคารแห่งประเทศไทยหรือสำนักงาน กสทช. เพื่อให้บริหารโดยตรงจากผู้ประกันตน แต่ทันทีที่แนวคิดนี้ถูกเผยแพร่ ก็เผชิญแรงต้านอย่างหนัก ทั้งจากกลุ่มข้าราชการระดับสูงและกลุ่มผลประโยชน์ที่อยู่ภายในระบบ
“ถ้า สปส.หลุดจากระบบราชการ อำนาจในการควบคุมเงิน 2.6 ล้านล้านบาทก็จะกระจายออกไป” ษัษฐรัมย์ ระบุ
ฝ่ายรัฐให้เหตุผลว่า ‘การเป็นองค์กรอิสระอาจเสี่ยงต่อการทุจริต’ แต่ฝ่ายนักวิชาการมองว่านั่นคือข้ออ้างของคนที่ไม่อยากสูญเสียอำนาจ
กรณีศึกษาในต่างประเทศ เช่น เดนมาร์กและสวีเดน กองทุนบำนาญของพวกเขาเปิดเผยข้อมูลการลงทุนทุกประเภทต่อสาธารณะ แม้แต่สินทรัพย์นอกตลาดก็ต้องประกาศว่าเป็นของใคร อยู่ที่ไหน และลงทุนเพื่ออะไร ในขณะที่กองทุนไทยยังไม่เปิดเผยแม้แต่รายงานผลการลงทุนรายปีต่อสาธารณะ
ผู้ประกันตนคือคนจ่าย แต่กลับไม่มีสิทธิตัดสินใจ

สำหรับประกันสังคมไทย ‘ผู้ประกันตน’ คือผู้จ่ายเงินสมทบหลักของระบบนี้ แต่มีข้อสังเกตว่า พวกเขากลับเป็นคนที่เสียงเบาที่สุด
“คนจ่าย แต่ไม่รู้ว่าเงินไปไหน” คำพูดสั้นๆ ของหนึ่งในคณะกรรมการประกันสังคม ที่กล่าวกับ Thai PBS
ปัญหาความโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณ เกิดขึ้นเป็นข่าวมาเรื่อยๆ เช่น การใช้งบจัดทำ ‘ปฏิทินประชาสัมพันธ์’ ต่อเนื่อง 8 ปี มูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท หรือโครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีมูลค่าสูง แต่กลับขาดความคุ้มค่าในการใช้งานจริง
ขณะที่เสียงสะท้อนจากผู้ประกันตนในหลายพื้นที่ยังชี้ว่า เมื่อพวกเขาประสบปัญหา เช่น เบิกค่ารักษาล่าช้า ถูกปฏิเสธสิทธิ หรือไม่ได้รับเงินชดเชยตามกำหนด การร้องเรียนมักวนกลับเข้าสู่ระบบราชการเดิมที่ขาดช่องทางตรวจสอบที่เป็นอิสระ นั่นทำให้การเรียกร้องให้ผู้ประกันตนมีสิทธิร่วมบริหารกองทุน จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปประกันสังคม
‘สูตร CARE’ กับคำถามว่า ใครคือเจ้าของประกันสังคมตัวจริง?

ปี 2568 สำนักงานประกันสังคมเริ่มขยับครั้งใหญ่ ด้วยการเสนอสูตรคำนวณบำนาญใหม่ ‘CARE’ ซึ่งเปลี่ยนจากระบบเดิมที่ใช้รายได้เฉลี่ยเพียง 60 เดือนสุดท้าย มาเป็นการคำนวณจากรายได้เฉลี่ยตลอดช่วงชีวิตการทำงาน เพื่อให้สะท้อนรายได้จริงของผู้ประกันตนมากขึ้น
การรับฟังความคิดเห็นระหว่างวันที่ 1-17 ตุลาคม 2568 มีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 100,000 คน ในจำนวนนั้น 77.93 เปอร์เซ็นต์เห็นด้วยกับสูตรใหม่ โดย สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) ยืนยันว่า ไม่มีการใช้บอตหรือ IO เข้ามาแทรกแซงระบบความคิดเห็นออนไลน์
ด้าน ไอซ์–รักชนก ศรีนอก สส.พรรคประชาชน ออกมาแถลงข่าวที่รัฐสภาว่า “ผู้ประกันตนที่กำลังจะได้รับบำนาญจะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน และถ้าใครสงสัยว่าผู้ที่ได้รับบำนาญอยู่ปัจจุบันจะได้เงินน้อยลงจากสูตรนี้ ให้เอาเท้ามาเหยียบหน้าพวกเราได้เลย”
เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น มีความพยายามจากบางฝ่ายที่ใช้บอตเข้ามาโจมตีระบบ “เพื่อหวังปั่นกระแสไม่เห็นด้วยในช่วงกลางดึก” ซึ่ง DGA ได้ตรวจสอบและยืนยันว่า ระบบไม่ได้ถูกแทรกแซงจริง
แม้สูตร CARE จะได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น แต่ในโลกออนไลน์ยังมีเสียงสะท้อนว่า การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเพียงการปรับตัวเลข ไม่ได้แตะโครงสร้างอำนาจเดิมของระบบประกันสังคม
‘ทางออกและบทสรุป’ เราจะเปลี่ยนระบบนี้ได้อย่างไร?

สิ่งที่คณะประกันสังคมก้าวหน้าเสนอ มี 3 ข้อสำคัญดังนี้
- ออก พ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับใหม่ เพื่อแยก สปส.ออกจากระบบราชการ
- เปิดเผยข้อมูลทุกการลงทุนและการใช้จ่ายต่อสาธารณะ
- ตั้ง ‘สภาผู้ประกันตน’ เพื่อให้แรงงานมีสิทธิกำหนดทิศทางกองทุนของตัวเอง
นอกจากนี้ ษัษฐรัมย์ยังเสนอแนวคิด ‘ประกันสังคมถ้วนหน้า’ ให้ประชาชนอายุ 18-60 ปีทุกคนได้รับการคุ้มครองรายได้เมื่อเจ็บป่วยหรือขาดงาน ใช้งบประมาณเพียง 40,000 ล้านบาทต่อปี หากเปรียบเทียบง่ายๆ คือไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ ของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เขาเตือนว่า หากไม่เริ่มเปลี่ยนตอนนี้ ระบบจะเสื่อมจนสายเกินแก้
โดยสรุปแล้ววันนี้ความฝันเรื่อง ‘ประกันสังคมใหม่’ ยังติดอยู่ในรอยต่อของระบบราชการที่ไม่ยอมปล่อยมือ เสียงของแรงงานยังถูกกั้นอยู่ และผู้ที่จ่ายเงินสมทบเดือนแล้วเดือนเล่า ยังไม่รู้ว่าเงินของตัวเองจะถูกใช้อย่างไร
อ้างอิงจาก
thaipbs.or.th (1) (2)