“ไม่มีความยุติธรรม ‘สิทธิในการประกันตัว’ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และกฎหมายก็แรงเกินกว่าเหตุ พวกเขาแค่คิดต่างไม่ได้ทำใครตาย”
ในวันที่นักกิจกรรมทางการเมืองถูกคุมขัง และสิทธิประกันตัวถูกตั้งคำถาม คนกลุ่มหนึ่งใช้เวลาช่วงเย็นของแต่ละวันมาร่วม ‘ยืน’ ริมถนนกว่าชั่วโมง เพื่อหวังให้ผู้สัญจรไปมา ‘มองเห็น’ เรื่องราวของ ‘เพื่อน’ ผู้ถูกคุมขัง
เมื่อวาน (12 กันยายน 2568) เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชนจัดกิจกรรม ‘ใส่เสื้อดำ จำชื่อเพื่อน’ หน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก โดยมีมวลชนจำนวนหนึ่งใส่เสื้อสีดำร่วมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อไว้อาลัยต่อกระบวนการยุติธรรมที่พรากความศรัทธาจากสังคม และ ‘ยืน หยุด ขัง’ 1 ชั่วโมง 12 นาที พร้อมชวนผู้คนจดจำ ‘ชื่อ’ และ ‘เรื่องราว’ ของผู้ถูกคุมขัง
ปัจจุบัน มีผู้ถูกคุมขังจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างน้อย 54 คน และไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างการต่อสู้คดีอย่างน้อย 35 คน ผู้ต้องขังที่คดีสิ้นสุดแล้ว 19 คน และมีเยาวชน 1 คน ซึ่งถูกคุมขังในสถานพินิจฯ ตามคำพิพากษาของศาลเยาวชนฯ
โดยจำนวนดังกล่าวมีผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จำนวน 29 คน และคดีมาตรา 110 จำนวน 5 คน
The MATTER ได้พูดคุยกับผู้ร่วมกิจกรรมบางส่วน โดยมีทั้งคนที่เป็น ‘ขาประจำ’ เข้าร่วมกิจกรรมยืนหยุดขังทุกครั้งที่มีโอกาส แม้ไม่มีการนัดหมาย ขณะที่บางคนเป็นผู้เข้าร่วม ‘ขาจร’ ที่จะมาร่วมกิจกรรมเมื่อมีการนัดหมายสำคัญเยี่ยงวันนี้
นักโทษการเมืองทุกคนควรได้กลับบ้านมากกว่าอยู่เรือนจำ

แนท สมาชิกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ถือภาพของ ‘แอมป์-ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา’ ผู้ต้องขังคดี 112
“เราเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ยุติธรรม และนักโทษการเมืองทุกคนควรได้กลับบ้านมากกว่าอยู่เรือนจำ” แนท กล่าว
แนท สมาชิกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม อายุ 24 ปี ถือภาพของ ‘แอมป์-ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา’ นักกิจกรรมและบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ต้องขังคดี 112 จากกรณีปราศรัยในการชุมนุม #นับ1ถึงล้านคืนอำนาจให้ประชาชน บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 2564
แนทเล่าว่า เขามักมาร่วมกิจกรรมทางการเมืองบ่อยครั้ง โดยสาเหตุที่เขามาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยตอนนี้ ‘ไม่ยุติธรรม’ และนักโทษการเมืองทุกคนสมควรได้กลับบ้านมากกว่าถูกคุมขังในเรือนจำ
“เราไม่ได้มีสื่อหรือสำนักข่าวในมือ กิจกรรมนี้จึงเป็นเหมือนเครื่องมือช่วย ‘ย้ำเตือน’ และ ‘กระจายข่าวสาร’ เพื่อบอกคนอื่นว่ายังมีเพื่อนเราอยู่ในเรือนจำ” แนทกล่าวถึงความสำคัญของกิจกรรม ยืน หยุด ขัง
แนทมองว่าการเลือกจัดกิจกรรมบริเวณหน้าศาลอาญา เป็นสัญลักษณ์ที่ดีสำหรับการพูดถึงผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง “เพราะทุกอย่างเริ่มต้นจากที่นี่”
ทั้งนี้ แนทหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศเร็วๆ นี้ จะคืนความยุติธรรมให้นักโทษการเมืองทุกคน เพราะพวกเขาไม่ใช่อาชญากรที่ต้องอยู่ในเรือนจำ พวกเขาควรได้อยู่บ้านและใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป
“เราไม่รู้ว่าต้อง ยืน หยุด ขัง ไปอีกนานเท่าไหร่ แต่เราไม่อยากให้กิจกรรมนี้เกิดขึ้นอีก หมายถึง เราหวังว่าจะไม่มีใครต้องถูกคุมขังในเรือนจำเพราะคดีการเมืองอีก” แนท กล่าว
ยังมีนักโทษการเมืองที่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม เราอยากให้พวกเขาได้รับความยุติธรรม

ป้านกพร้อมป้ายรูป ‘อานนท์ นำภา’ และลูกชายวัยทารก
“ป้าติดตามการเมืองเป็นประจำ ช่วงพฤษภา’35 ป้าอายุ 28 ปี ออกมาร่วมชุมนุมกับเขาแล้วโดนจับ ช่วงรัฐประหาร 2549 ก็เข้าร่วมมาตลอด ไม่เคยหยุดเลย” ป้านก กล่าว
ป้านก สมาชิกกลุ่มพลเมืองโต้กลับ อายุ 63 ปี เล่าว่า เธอคอยติดตามสถานการณ์ทางการเมืองมาตลอด ตั้งแต่สมัยพฤษภา 2535 การรัฐประหาร 2549 จนปัจจุบัน ทำให้เธอรู้ว่ามีการจัดกิจกรรมที่ไหนบ้างและจะไปร่วมทุกครั้งที่มีโอกาส
โดยกลุ่ม ‘พลเมืองโต้กลับ’ เป็นหัวหอกในการจัดกิจกรรม ยืน หยุด ขัง ในช่วงหลังรัฐประหารปี 2558 โดยอานนท์และเพื่อนได้ชวนกันไป ‘ยืนเฉยๆ’ เพื่อเรียกร้องให้นักกิจกรรมที่ถูกคุมขังในช่วงนั้น
และเมื่อมีการชุมนุมของประชาชนในช่วงปี 2563 พร้อมการดำเนินคดีทางการเมืองมากขึ้น ทำให้กลุ่มเหล่านี้กลับมาจัดกิจกรรมอีกครั้ง โดยช่วงแรกจัดขึ้นที่ศาลฎีกา สนามหลวง ก่อนจะขยับพื้นที่ตามความเหมาะสม
ป้านกมองว่า ยืน หยุด ขัง เป็นการเรียกร้องแบบ ‘สันติวิธี’ ที่สามารถสื่อสารให้คนที่ขับรถผ่านไปมารับรู้ว่า “ยังมีนักโทษการเมืองที่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม เราอยากให้พวกเขาได้รับความยุติธรรม”
“ป้าพกป้ายพวกนี้ติดตัวไปทุกที่ เขียนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ตอนไปเชียงใหม่ป้าก็เอาไปด้วยนะ แต่ส่วนใหญ่ป้าจะมาศาลวันเดียวกับอานนท์ แล้วช่วง 4 โมงเย็น ป้าจะไปยืนถือป้ายตรงประตูทางออก เวลาผู้พิพากษาหรืออัยการกลับบ้านเขาจะได้เห็นป้ายพวกนี้ด้วย” ป้านก กล่าว
ป้านกมาพร้อมป้ายรูป ‘อานนท์ นำภา’ และลูกชายวัยทารกของเขา พร้อมข้อความ “คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน คืนลูกให้แม่ คืนพ่อให้ลูก คืนคนในครอบครัว กลับไปหาครอบครัว” และ “ปล่อยเพื่อนเราทุกคน” ซึ่งมีข้อความภาษาอังกฤษ “Free our friends” ด้วย
เธอมักถือป้ายดังกล่าวบริเวณประตูทางออกของศาลอาญาในช่วงเวลาประมาณ 16:00-17:00 น. เพราะเป็นเวลาเลิกงานของผู้พิพากษาและอัยการ เธอจึงหวังว่าทุกครั้งที่พวกเขาขับรถผ่าน พวกเขาจะได้อ่านข้อความเหล่านี้และฉุกคิดอะไรสักอย่าง
ทั้งนี้ ป้านกได้ฝากข้อความถึงรัฐบาลอนุทินว่า ปัจจุบันมีผู้ถูกคุมขังจากมาตรา 112 ถึง 29 คน อยากให้รัฐบาลชุดนี้ผลักดัน ‘นิรโทษกรรมประชาชน’ หรือมีการแก้ไขสัดส่วนโทษมาตรา 112 ให้เบาลงและปรับเปลี่ยนรูปแบบการฟ้องร้องให้อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานใดอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการฟ้องเพื่อกลั่นแกล้งอย่างปัจจุบัน
“เมื่อพรรคที่เราเลือก (พรรคประชาชน) ยกมือให้คุณเป็นนายกฯ แปลว่าคุณได้เสียงจากเราไป ดังนั้น สิ่งที่เราขอคงไม่ยากเกินไปสำหรับคุณ (อนุทิน ชาญวีรกูล) ที่จะทำ ถ้าคุณคิดจะทำอะเนอะ” ป้านก กล่าว
นอกจากนั้น ป้านกยังอยากฝากเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยต้องการให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ร. จากประชาชน และไม่เห็นด้วยที่อำนาจศาลรัฐธรรมนูญแค่ 9 คน ซึ่งรับเงินเดือนจากภาษีของประชาชน จะมามีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศ 60 ล้านคนได้อย่างไร?
หากเป็นไปได้และตัวเองยังมีพลังเหลือ อยากเข้าร่วมทุกกิจกรรมจนกว่าจะไม่มีนักโทษการเมือง

สัน ถือภาพของ ‘ไผ่-จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา’
“เป็นพ่อ เป็นเพื่อน เป็นพี่ ไอไผ่ แล้วก็ไม่อยากให้ใครต้องมาโดนคุมขังแบบนี้” สัน กล่าว
สัน ผู้เข้าร่วมกิจกรรม อายุ 56 ปี ถือภาพของ ‘ไผ่-จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา’ นักกิจกรรมซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม ‘ไผ่ ดาวดิน’ หรือ ‘ไผ่ ทะลุฟ้า’ ผู้ถูกฟ้องในความผิดมาตรา 112, 116, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับการอนุญาต จากการชุมนุมราษฎรออนทัวร์ บริเวณหน้าโรงเรียนภูเขียวและหน้าสถานีตำรวจภูธรภูเขียว เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2564
สันเล่าว่า เขาเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองตั้งแต่ปี 2563 โดยแทบไม่พลาดสักกิจกรรม กระทั่งช่วงหลังมีปัญหาด้านสุขภาพ ทำให้สามารถไปร่วมกิจกรรมตามโอกาสที่ตัวเองสะดวกเท่านั้น
ครั้งนี้ สันมาร่วม ยืน หยุด ขัง เพราะต้องการร่วมเป็นหนึ่งใน ‘กระบอกเสียง’ ให้สังคมรับรู้ว่า “ยังมีผู้ถูกคุมขังจากคดีการเมือง และพวกเขาสมควรถูกปล่อยตัว” โดยส่วนตัวค่อนข้างรู้จักกับไผ่ในระดับหนึ่ง
สันกล่าวว่า หากเป็นไปได้และตัวเองยังมีพลังเหลือ เขาอยากเข้าร่วมทุกกิจกรรมจนกว่าจะไม่มีนักโทษการเมือง
เราว่าตอนนี้สังคมก็มีเรื่องให้น่าไว้อาลัยเยอะเหมือนกัน

เกล ถือภาพ ‘ฟรานซิส-บุญเกื้อหนุน เป้าทอง’
“เราว่าตอนนี้สังคมก็มีเรื่องให้น่าไว้อาลัยเยอะเหมือนกันนะ แม้แต่คดี 110 ที่ก่อนหน้านี้ศาลเคยยกฟ้อง แต่ศาลอุทรณ์กลับคำพิพากษาให้จำคุก มันก็ดูพิลึกดีเหมือนกันนะ” เกล กล่าว
เกล พนักงานองค์กรภาคประชาสังคม อายุ 24 ปี ถือภาพ ‘ฟรานซิส-บุญเกื้อหนุน เป้าทอง’ ผู้ถูกศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา ให้ลงโทษจำคุกจำในคดีประทุษร้ายเสรีภาพพระราชินี มาตรา 110 จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 โดยมีจำเลยในคดีนี้รวม 5 คน
เดิมศาลชั้นต้นยกฟ้องคดีดังกล่าว โดนเห็นว่า ไม่พบพยานหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศแจ้งเตือนให้กับผู้ชุมนุมได้รับทราบถึงการมีขบวนเสด็จ อีกทั้งตลอดเส้นทางที่ขบวนเสด็จใช้ ก็ไม่พบองค์ประกอบของการเป็นเส้นทางขบวนเสด็จตามปกติ ผู้ชุมนุมจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าขบวนเสด็จจะเคลื่อนผ่าน
ถึงกระนั้น อัยการโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คดีจึงเป็นผลให้มีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาชั้นต้น เป็นลงโทษจำคุก ‘เอกชัย หงส์กังวาล’ 21 ปี 4 เดือน และจำเลยอีกสี่คนจำคุกคนละ 16 ปี ไม่รอลงอาญา
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เกลออกมาร่วมกิจกรรม ยืน หยุด ขัง เหมือนผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ
เกลมองว่า การยืน หยุด ขัง ทำให้คนที่ผ่านไปมารับรู้ว่า “ยังมีคนที่เป็นผู้ต้องขังทางการเมืองอยู่นะ” คือ ไม่ว่ากระแสสังคมและการเมืองจะผันผวนอย่างไร แต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งได้รับโทษจากกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรมอยู่
ทั้งนี้ เกลหวังว่าจะมีการผลักดันกฎหมาย ‘นิรโทษกรรม’ ที่รวมความผิดฐานมาตรา 112, 110 หรือคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองต่างๆ ซึ่งเคยถูกละทิ้งไปก่อนหน้านี้
“อยากให้พรรคภูมิใจไทย รักษาคำพูดของตัวเอง ที่เคยพูดไว้เมื่อ 16 กรกฎาคม 2568 ว่า ถ้ากฎหมายนี้ (พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข) เป็นก้าวแรกแล้ว ก็อย่าลืมคดี 112 110 หรือคดีต่างๆ ที่เป็นข้อยกเว้นเชิงกฎหมายในรอบนี้ด้วย”
“คุณเคยบอกว่าจะกินข้าวทีละคำ ถ้าคำแรกมันสำเร็จแล้วอะ คุณก็อย่าละทิ้งคำต่อไป กลืนมันเข้าไปด้วย เพราะถึงอย่างไรวันหนึ่งคุณก็ต้องถูกทวงถามเรื่องนี้อยู่ดี” เกล กล่าว
อยากให้รู้ว่ายังมีคนสนใจและไม่ละทิ้งพวกเขา

อนันต์ ถือภาพพร้อมข้อความชื่อ ‘อัฐสิษฎ’
“อยากแสดงพลังให้คนที่ได้รับผลกระทบจากคดีการเมืองรู้ว่ายังมีคนคิดถึงเขาอยู่ ไม่อยากให้ท้อแท้” อนันต์ กล่าว
อนันต์ อายุ 71 ปี ถือภาพพร้อมข้อความชื่อ ‘อัฐสิษฎ’ ศิลปินและผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 จากการถูกฟ้องว่าเป็นผู้ทำเพจเผยแพร่ภาพวาดแนวเสียดสีสังคมจำนวน 2 ภาพ เมื่อปี 2564
อนันต์เล่าว่า เดิมเขาเป็นคนสนใจเรื่องการเมืองอยู่แล้ว โดยหวังว่าบ้านเมืองควรจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี และการเข้าร่วมกิจกรรมของเขาก็เป็นการแสดงออกตามหลัก ‘สันติวิธี’ เนื่องจากไม่อยากให้ทุกปัญหาถูกกดทับไว้แล้วปะทุออกมาด้วยความรุนแรง
หากยังมีแรงมาร่วมกิจกรรมเพื่อเป็นจำนวนนับได้ อนันต์ก็จะมาเข้าร่วมกิจกรรมอยู่เสมอ
อนันต์เริ่มร่วมกิจกรรมยืน หยุด ขัง ตั้งแต่ช่วงปี 2563 โดยจุดมุ่งหมายสำคัญของเขาคือ การส่งกำลังใจให้ผู้ถูกดำเนินคดีทางการเมือง ไม่อยากให้พวกเขาท้อแท้ อยากให้รู้ว่ายังมีคนสนใจและไม่ละทิ้งพวกเขา
พวกเรายังมีความหวัง เพื่อรอวันที่คนข้างในจะได้รับสิทธิการประกันตัว

ป้าเต๊ะ ถือภาพ ‘ครูใหญ่-อรรถพล บัวพัฒน์’
“ไม่มีความยุติธรรม ‘สิทธิในการประกันตัว’ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน และกฎหมายก็แรงเกินกว่าเหตุ… พวกเขาแค่คิดต่างไม่ได้ทำใครตาย” ป้าเต๊ะ กล่าว
ป้าเต๊ะ อายุ 61 ปี ถือภาพ ‘ครูใหญ่-อรรถพล บัวพัฒน์’ ผู้ถูกฟ้องในความผิดมาตรา 112, 116, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับการอนุญาต จากการชุมนุมราษฎรออนทัวร์ บริเวณหน้าโรงเรียนภูเขียวและหน้าสถานีตำรวจภูธรภูเขียว เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2564
ป้าเต๊ะเล่าว่าเธอเข้าร่วมกิจกรรม ยืน หยุด ขัง อย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่เมื่อมีการจัดกิจกรรมแรก ๆ โดยสาเหตุที่เธอออกมาร่วมกิจกรรม คือ ต้องการร่วมเรียกร้อง ‘สิทธิในการประกันตัว’ ของผู้ถูกดำเนินคดีการเมือง และเห็นว่าสัดส่วนความรับผิดของกฎหมายบางมาตราไม่สอดคล้องกับที่ควรจะเป็น
ยกตัวอย่างผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 บางคน ถูกตัดสินจำคุกนานกว่าผู้มีความผิดฐานฆ่าคนตาย อย่าง ‘บัสบาส-มงคล ถิระโคตร’ นักกิจกรรมชาวเชียงราย ถูกตัดสินโทษจำคุกรวมทุกคดีอยู่ที่ 54 ปี 6 เดือน
ป้าเต๊ะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ มากขึ้นจากการเข้าร่วมกิจกรรมบ่อยครั้ง ในจำนวนนี้มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ ‘เชน ชีวอบัญชา’ ผู้ผลิตสื่ออิสระทางเฟซบุ๊กเพจ ‘ขุนแผน แสนสะท้าน’ ซึ่งปัจจุบันถูกคุมขังจากคดีมาตรา 112 และดูหมิ่นศาล
แม้ปัจจุบันจะมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมน้อยลง แต่ป้าเต๊ะก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าหรือสิ้นหวัง เพราะอยากเป็นกำลังใจให้คนที่ถูกคุมขังและต้องการยืนหยัดที่จะแสดงออกเพื่อเรียกร้องสิทธิการประกันตัว
“เป็นกำลังใจให้คนที่ถูกคุมขังนะ อยากให้อดทนและรอคอย อยากให้รู้ว่าคนที่อยู่ข้างนอกยังสู้อยู่ พวกเรายังมีความหวัง เพื่อรอวันที่คนข้างในจะได้รับสิทธิการประกันตัว” ป้าเต๊ะ กล่าว