หนึ่งในคลิปวิดีโอจาก TikTok ที่ถูกกล่าวถึงอย่างมาก คือการรีวิวครบรอบ 1 ปีของครูทิวา กับเส้นทางชีวิตข้าราชการครู สิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าความมานะ วิริยะ ที่น่าชื่นชมของครูทิวา คือการควบรวมกิจการการสอนในระดับชั้นประถมศึกษา ตั้งแต่วิชาวิทยาศาสตร์ พลศึกษา ไปจนถึงสังคม รวมไปถึงการมีภาระงานอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมไฟ ทำโต๊ะ ซ่อมท่อน้ำดื่ม รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม
ครูทิวาทำให้ผมนึกถึงแม่แท้ๆ ของตัวเอง ที่ปัจจุบันเป็นข้าราชการเกษียณ ทว่าด้วยความเป็นครูมานานเกือบ 40 ปี เวลาไปไหนมาไหนก็ยังคงมีคนยกมือไหว้ และเรียกแม่ผมว่า “ครูพร” แม่ผมเป็น ‘ครูเพชรบุรี’ ซึ่งหมายถึงครูที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยครูเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ หรือปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ แม้ผมจะไม่ได้ทราบรายละเอียดการทำงานของแม่มากนัก แต่แม่ผมจบเอกประถมศึกษา โดยเรียนมาเพื่อสอนเด็กระดับชั้นประถมฯ นั่นหมายความว่าแม่ผมจะต้องสอนให้ได้ทุกวิชา เด็กนักเรียนจะเจอหน้าแม่ผมตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนโรงเรียนเลิก
ในช่วงหลังของชีวิตข้าราชการครู แม่ถึงได้สอนน้อยลง เพราะมีครูจบเอกเฉพาะทาง หรือครูเฉพาะทางในด้านต่างๆ มาช่วยสอน เช่น ครูคณิต หรือครูอังกฤษ แต่แม่ผมก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหา (ของแม่) สักเท่าไร เพราะรู้ดีว่ามันคือ ‘เงื่อนไข’ ตั้งแต่เลือกเรียนเอกประถมฯ อยู่แล้ว
แม้การสอนหลายวิชาจะไม่เป็นปัญหาของแม่ แต่มันอาจเป็น ‘อาการ’ ที่สะท้อนว่าการจัดระบบการศึกษาของไทย ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
และอาจเป็นปัจจัยสำคัญเบื้องหลังคุณภาพการศึกษาที่ไม่กระเตื้อง ผมถูกเทรนมาให้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ แต่แทนที่จะสนใจเรื่องตลาดหุ้นหรือนโยบายการเงิน ผมกลับถูกดึงดูดด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างความยากจนและความเหลื่อมล้ำ เช่นเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์การพัฒนาคนอื่นๆ ผมเชื่อว่าจุดไต้ตำตอของปัญหาด้านการพัฒนาทั้งหมดของประเทศ คงหนีไม่พ้นไปจากเรื่องของการศึกษา เมื่อปี 2565 ผมมีโอกาสทำงานวิจัยเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนโดย Asian Development Bank Institute (ADBI) ซึ่งโจทย์ของผมสั้นมาก คือพัฒนาการของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยเป็นอย่างไรในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา? และอะไรคือปัญหาสำคัญของการศึกษาไทย?
สิ่งที่ผมประทับใจคือ ความสามารถของระบบการศึกษาไทยที่สามารถช่วยเพิ่ม ‘ปริมาณ’ ของประชากรให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นผลพวงของการมีการศึกษาภาคบังคับที่ถูกระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ในขณะเดียวกัน อัตราการอ่านออกเขียนได้ของประชากรไทย ก็สูงไม่แพ้ชาติใดในโลก
ทว่าสิ่งหนึ่งที่พบเจอและต้องการแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ ไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างมาก ความเหลื่อมล้ำนี้ไม่ใช่ความเหลื่อมล้ำ ซึ่งวัดจากจำนวนปีของประชากรที่ได้รับการศึกษา แต่เป็นความแตกต่างของ ‘คุณภาพ’ การศึกษา โดยเฉพาะในระดับประถมฯ และมัธยมฯ สะท้อนจากระดับคะแนนของการทดสอบระดับชาติอย่าง O-NET หรือแบบทดสอบระดับนานาชาติอย่าง PISA โดยความเหลื่อมล้ำนี้เกิดขึ้นในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียนที่เรียนในจังหวัดที่เจริญกว่าในกรุงเทพฯ (และหัวเมืองใหญ่ๆ) กับนักเรียนที่เรียนในต่างจังหวัด รวมถึงความแตกต่างทางคุณภาพการศึกษาของเด็กที่มีภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่ต่างกัน เช่น จน-รวย
แน่นอนว่าต้นตอของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามีหลายอย่าง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจัดการเรียนการสอนในระดับประถมฯ และมัธยมฯ มีบทบาทสำคัญไม่แพ้ความสามารถของผู้เรียน คำถามแรกที่เกิดขึ้นคือ ครู 1 คน จำเป็นจะต้องสอนหลายวิชานั้น เป็นเพราะ ‘จำนวนครู’ ไม่พอหรือไม่?
เมื่อดูจากสถิติจำนวนครูที่ทำงานในสถานศึกษาในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่าจำนวนครูเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ในปี 2546 ค่าเฉลี่ยของอัตราส่วนครูต่อนักเรียนก็ลดลงจาก 20.6 เหลือ 15.7 ในปี 2563 แม้ในภาพรวมจำนวนครูจะมีเพียงพอต่อนักเรียน แต่ปัญหาครูขาดแคลนกลับกระจุกอยู่ที่โรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนประถม และโรงเรียนในชนบท ที่มีความรุนแรงของการขาดครูมากกว่าโรงเรียนประเภทอื่น และโรงเรียนที่ครูทิวาทำงานอยู่นั้นก็มีลักษณะดังกล่าวอย่างครบถ้วน
โจทย์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องของอัตรากำลังครูในโรงเรียนชนบท ซึ่งถูกกำหนดไว้โดยจำนวนนักเรียนของสถานศึกษา ตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สำนักงาน ก.ค.ศ.) ทางแก้ที่ได้รับการพูดถึงมักเป็นการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก และการจัดสรรครูแต่ละสาขาให้สอนตรงสาขา
แม้ประโยชน์ของการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก จะเป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์ และคุ้มค่าตามทฤษฎีประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) แต่มันก็ไม่ได้เป็นเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป งานวิจัยเชิงประจักษ์ในประเทศจีน ชี้ให้เห็นถึงหลายๆ เงื่อนไขที่อาจทำให้การควบรวมโรงเรียนไม่ได้ส่งผลดีโดยตรงแก่นักเรียน เช่น งานศึกษา Transfer paths and academic performance: The primary school merger program in china พบว่านักเรียนที่ต้องย้ายไปอยู่ในโรงเรียนประจำ (Boarding schools) ลดประโยชน์ของการควบรวมโรงเรียน เพราะคุณภาพชีวิตของนักเรียนแย่ลง ขณะที่งานศึกษา The effect of primary school mergers on academic performance of students in rural China พบว่าประโยชน์ของการควบรวมโรงเรียน เกิดขึ้นเฉพาะนักเรียนที่โตกว่า (เช่น เกรด 4) เท่านั้น
ดังนั้นผลการศึกษาจึงชี้ให้เห็นว่า คุณภาพชีวิตของนักเรียนที่ต้องย้ายโรงเรียน และระยะเวลาที่เหมาะสมของของการควบรวมโรงเรียนนั้น ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการเรียนของนักเรียน
การควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับไทย แต่ที่ผ่านมาก็ยังขาดหลักฐานเชิงประจักษ์อันเชื่อได้ (Credible Empirical Evidence) ที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของการควบรวมโรงเรียน ต่อผลการเรียนของนักเรียน ทั้งนักเรียนที่จะต้องย้ายโรงเรียน และนักเรียนที่จะมี ‘เพื่อนใหม่’
ไทยไม่ได้ขาดแคลนนักวิจัย หรือนักวิชาการที่มีความรู้ในด้านการนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์หรือการทดลอง หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง จึงควรให้ความสำคัญกับการศึกษาผลกระทบของการควบรวมโรงเรียน ไม่น้อยไปกว่าภารกิจด้านอื่นๆ แม้งานวิจัยจะต้องใช้เวลา แต่คงดีกว่าการมุ่งดำเนินการ แล้วกลับกลายเป็นว่านักเรียนจากโรงเรียนขนาดเล็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล จะต้องแบกรับต้นทุนของความไม่รู้ หากเป็นเช่นนั้น ปัญหาความเหลื่อมล้ำจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น แม้รัฐจะดำเนินการแก้ไขด้วยการควบรวมโรงเรียนแล้วก็ตาม
ฝ่ายที่เห็นด้วยกับการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก มักยกถึงเรื่องประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และแน่นอนว่ามันเกี่ยวข้องโดยตรงกับสภาพของครู ที่ทั้งครูพรและครูทิวาต่างเผชิญ แต่คนเราเลือกเกิดไม่ได้ฉันใด เด็กประถมก็อาจจะเลือกสถานที่เรียนไม่ได้ฉันนั้น การเดินทางไปเรียนในโรงเรียนที่ไกลขึ้น อันเนื่องมาจากผลของนโยบายการควบรวม อาจบีบบังคับให้เด็กต้องออกจากการเรียนกลางคัน เพียงเพราะผู้ปกครองไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ และยังไม่นับรวมสภาพจิตใจของเด็กเล็กที่จะต้องห่างบ้าน แน่นอนว่าแม้จะมีการกำหนดประเภทของโรงเรียนขนาดเล็กที่ควบรวมไม่ได้ เช่น โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล แต่หากเลือกได้ คงไม่มีใครอยากเรียนไกลบ้าน
ผมเป็นคนหนึ่งที่บ้านตั้งอยู่ในอำเภอห่างไกลจากอำเภอเมืองประมาณ 40 กิโลเมตร พ่อและแม่เป็นคนจัดแจงเรื่องโรงเรียนในระดับอนุบาลและประถมฯ ของผมทั้งหมด ผมไม่ได้เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย แต่พ่อแม่ก็สามารถแบ่งเงินมาจ่ายค่าเทอมและค่ารถตู้ เพื่อส่งผมไปเรียนในโรงเรียนต่างอำเภอได้ การนั่งรถตู้ (เมื่อก่อนเป็นรถแท็กซี่จ้างรับเหมาที่ 1 คัน มีนักเรียนนั่งเบียดกันไป 5–6 คน) ไปยังโรงเรียนที่อยู่ในอำเภอเมืองทุกวัน เช้า-เย็น แบบไป-กลับ ไม่ใช่เรื่องสนุก ซึ่งยังไม่นับรวมการเข้าเมืองในทุกวันเสาร์เพื่อเรียนพิเศษด้วย เวลาที่หายไป จึงเป็นเวลาทำการบ้าน เวลาเล่นกับเพื่อนบ้าน รวมถึงเวลาที่ใช้กับครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ‘เพื่อนร่วมรถตู้’ ในวัยเด็กของผมก็มีไม่มากนัก เป็นเด็กต่างรุ่นกัน มีตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงมัธยมปลาย ส่วนมากเป็นลูกของคนที่พอจะส่งเสียให้ลูกได้เรียนในอำเภอเมือง ถ้าไม่ค้าขาย ก็เป็นลูกข้าราชการ ส่วนเด็กที่เหลือต้องเรียนโรงเรียนที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง ผมจำได้ว่าคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ผ่านมาไม่กี่ปี ตอนนี้ลูกของพวกเขาก็ได้เรียนโรงเรียนเดียวกัน คิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าไม่มีโรงเรียน จากแรงงานที่พอจะมีทักษะและการศึกษาบ้าง จะกลายเป็นคนส่วนน้อยที่ไม่ได้ร่ำเรียนหรือเปล่า?
การควบรวมโรงเรียน จึงไม่ควรมองจากฝั่งสถิติเบื้องต้นแค่อัตราส่วนครูต่อนักเรียน แล้วติต่างว่ามันมีประสิทธิภาพ แต่ควรถามเด็กนักเรียน รวมถึงพ่อแม่ของเด็กที่จะได้รับผลกระทบด้วย
อีกหนึ่งมุมสำคัญของการบริหารจัดการโรงเรียนคือ โรงเรียนขนาดเล็กถูกเปลี่ยนสถานะ เนื่องจากมีนักเรียนเกิน 120 คน ผลก็คือโรงเรียนเหล่านี้ได้รับเงินอุดหนุนรายหัวน้อยลง จนกระทบต่อการจ้างบุคลากร รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน ซึ่งการเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก จะได้รับเงินเพิ่มรายหัวคนละ 500 บาท และการเปลี่ยนขนาดของโรงเรียนทำให้สูญเสียงบประมาณในส่วนนี้ไป เช่น โรงเรียนที่เดิมเคยมีนักเรียน 118 คน แล้วนักเรียนเพิ่มเป็น 121 คน เงินกว่าครึ่งแสนก็จะหายไป งบประมาณของโรงเรียนที่หายไปแบบฉับพลันนี้ ก็เหมือนคนที่รู้ว่าตัวเองป่วยแบบกระทันหัน
ภาครัฐจึงควรเข้ามาสนับสนุนช่วงเปลี่ยนผ่านของโรงเรียนในลักษณะนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า สวัสดิการของนักเรียนจะไม่แย่ลง และภาระงานที่แท้จริงของครูก็จะไม่เพิ่มขึ้น จนมาเบียดบัง ‘เวลาและสมาธิ’ ของครูในการจัดการเรียนการสอน
ประเด็นสุดท้ายคือ ระบบการสอบและการบรรจุครู ครูมัธยมฯ ที่ต้องไปสอนนักเรียนระดับประถมฯ อาจเกิดจากตำแหน่งที่ตัวเองต้องการ และตรงตามความสามารถนั้นยังไม่เปิดรับสมัคร จึงทำให้ต้องรับบรรจุเข้าเป็นครูประถมฯ และจำเป็นที่จะต้องสอนในวิชาอื่นที่อาจไม่ตรงกับความถนัดของตน แน่นอนว่าตลาดแรงงานครูก็จะเกิดความลักลั่นกัน ระหว่างความสามารถของครูกับความสามารถขั้นต่ำในงานที่ครูทำ
ดังนั้นความเชี่ยวชาญของครูที่ไม่ถูกใช้ คือการสูญเสียทรัพยากรของประเทศโดยใช่เหตุ แทนที่ครูทิวาจะได้สอนชีววิทยาในระดับมัธยมฯ สะสมความรู้ ความเชี่ยวชาญ และปั้นเด็กให้กลายเป็นดาวประดับวงการชีววิทยา กลับต้องมาใช้เวลาไปกับการเตรียมการเรียนการสอนในวิชาที่ไม่ถนัด
แน่นอนว่าครูพร ครูทิวา รวมถึงครูมัธยมฯ ที่มาสอนนักเรียนชั้นประถมฯ กว่าครึ่งค่อนประเทศทำได้ แต่ระบบจะช่วยทำให้ครูเหล่านี้ได้ใช้ความรู้ความสามารถให้เกิดประโยชน์ต่อนักเรียนมากกว่าที่เป็นอยู่เช่นกัน
ทว่าการจัดสรรครูประถมฯ และมัธยมฯ ให้มีประสิทธิภาพนั้น ไม่ได้เป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการโรงเรียน หรือกระทรวงศึกษาธิการเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการเลือกเอกของครูตั้งแต่สมัยเรียนด้วย ดังนั้นการวางแผนทรัพยากรในระยะยาว จึงต้องเริ่มตั้งแต่ในรั้วสถาบันการศึกษาที่ผลิตครู การร่วมมือกันระหว่างผู้ใช้บัณฑิต (โรงเรียน) กับสถาบันการศึกษา (คณะ/มหาวิทยาลัยที่ผลิตครู) จึงน่าจะเป็นจุดแรกที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาในตลาดแรงงานครูได้ แม้ครูจะไม่ได้เป็นอาชีพเดียวที่เผชิญกับปัญหาการจับคู่ด้านทักษะอย่างไม่เหมาะสม (Mismatch) แต่ครูคือเสาหลักของการศึกษาอันเป็นกลจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาครัฐและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงควรร่วมหาทางแก้ไขปัญหาโดยเร็ว
40 ปีผ่านไป จากครูพรถึงครูทิวา ความมั่นคงในอาชีพครูสามารถพาตัวเองหลุดพ้นจากความยากจน และเป็นเสาหลักของครอบครัวได้ คุณภาพชีวิตและสภาพจิตใจของครู เป็นแกนกลางคุณภาพของนักเรียนไทย ซึ่งจะกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนสังคมในอนาคต และครูก็เป็นศูนย์กลางของความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ฝังราก
เราจึงต้องกลับมาตั้งคำถามว่า วันนี้…เราฟังเสียงครูในโรงเรียนขนาดเล็ก ครูในระดับชั้นประถมฯ และครูในชนบท เพียงพอแล้วหรือยัง?