แม้สังคมไทยมักเปรียบเทียบว่า ครูเป็นเหมือนแสงเทียนของนักเรียน เพราะทำหน้าที่ให้แสงสว่างของนักเรียน
แต่ในความจริงแล้ว ครูจำนวนไม่น้อยกำลังหมดแสงไฟลงไปเรื่อยๆ เพราะต้องเผชิญกับภาระมากมาย ที่ล้นเกินจากขอบเขตการสอนหนังสือ
‘ครูการเงิน’ ก็เช่นกัน กรณีครูมัท–ข้าราชการครูวัย 39 ปี ของโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ ผู้จบชีวิตตัวเองลง หลังจากเผชิญปัญหารุมเร้า จาก ‘กระบวนการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพภายในโรงเรียน’ ได้สะท้อนประเด็นใหญ่ในระบบการศึกษาไทย ที่เป็นปัญหามาอย่างต่อเนื่อง
วันนี้เรามาฟังเสียงของครูการเงิน ที่กำลังเผชิญกับปัญหาแทบไม่ต่างจากครูมัทกัน
“เป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครอยากทำ” ครูปลา–เจ้าของเพจบ้านครูการเงิน ผู้รับข้าราชการครูและทำหน้าที่ ‘ครูการเงิน’ มากว่า 6 ปี บอกกับ The MATTER
“เราเข้าใจมาก เข้าใจหัวอกของครูมัทมาก ว่าเจออะไรมา” ครูปลาเล่าว่า ตัวเองได้สร้างเพจบ้านครูการเงิน จากความเจ็บช้ำน้ำใจการทำงาน จึงอยากเป็นทั้งกำลังใจให้กับคุณครูคนอื่นๆ และเป็นแหล่งแบ่งปันความรู้สำหรับครูการเงิน
เธอเล่าต่อว่า ตัวเองได้รับผิดชอบการเงินในโรงเรียนตั้งแต่วันที่บรรจุวันแรก ซึ่งนอกเหนือจากการสอนวิชาภาษาอังกฤษ สัปดาห์ละ 19 คาบแล้ว เธอยังต้องทำหน้าที่นี้ต้องดูแลเงิน ‘ทุกบาททุกสตางค์’ ในโรงเรียน โดยขั้นตอนการนำเงินออกมาใช้นั้น ก็ซับซ้อนและยุ่งยากพอสมควร ทั้งต้องมีเอกสารรองรับ ทั้งมีขั้นตอนมากมาย ที่ครูการเงินต้องดำเนินอย่างถูกต้องตามระเบียบ
“เมื่อก่อนที่ทำการเงินแรกๆ ครูปลาสอน 30 คาบเต็ม คือไม่มีเวลาว่างเลยแม้แต่คาบเดียว”
ครูคนนี้เล่าว่า แม้ชั่วโมงการสอนของตัวเองจะลดลงแล้ว แต่ปัจจุบันยังมีกรณีของโรงเรียนอื่นๆ ที่คุณครูยังต้องสอนหนังสือ 28-30 คาบ หรือกรณีคุณครูอนุบาลที่ต้องดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่เช้าจนส่งเด็กกลับบ้าน ไปพร้อมกับทำงานการเงิน
ส่วนสาเหตุที่หลายคนเข้ามารับตำแหน่งครูการเงินนั้น ครูปลาเล่าว่า ทุกวันนี้คุณครูที่เข้ามาบรรจุใหม่มักจะได้รับช่วงต่อหน้าที่นี้ เพราะ “เป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครอยากทำอยู่แล้ว” แต่จะเจาะจงว่าเป็นใครนั้น ก็ขึ้นอยู่ฝ่ายบริหารว่าจะมอบหมายตำแหน่งนี้ให้กับครูคนไหน
ครูปลาย้ำว่า เมื่อฝ่ายบริหารมอบหมายหน้าที่ครูการเงินให้แล้ว ส่วนใหญ่ก็คุณครูก็จะปฏิเสธได้ยาก เนื่องจากถูกกดดันว่า “สุดท้ายก็ต้องมีคนใดคนหนึ่งในโรงเรียนรับทำ”
เธอบอกว่า ถ้าก้าวขาเข้ามาแล้ว รับตำแหน่งนี้แล้ว มันจะออกยากมาก เพราะไม่ค่อยมีใครอยากทำหน้าที่นี้แทน ยกเว้นในกรณีที่มีปัญหาหนักจริงๆ อย่างปัญหาสุขภาพ หรือมีใบรับรองแพทย์มาให้ว่าป่วยจริงๆ เช่น โรคเครียดสะสม ซึมเศร้า หรือมีอาการแพนิค
ความเหลื่อมล้ำในงานของครู
“งานการเงิน งานพัสดุ งานอาหารกลางวัน สามงานงานนี้ถือว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในโรงเรียน” นอกจากหน้าที่ครูการเงินแล้ว เธอยังพูดถึงตำแหน่ง ‘ครูพัสดุและครูอาหารกลางวัน’ ที่ก็ต้องรับผิดภาระหนักไม่แพ้กัน
สำหรับครูพัสดุ คือตำแหน่งที่รับช่วงต่อมาจากครูการเงิน ยกตัวอย่าง เมื่อครูการเงินเบิกเงินแล้ว ก็จะส่งรายการต่างๆ ให้ครูพัสดุทำเอกสารจัดซื้อจัดจ้างและการล้างหนี้ ซึ่งกลายเป็นภาระงานที่หนักและวุ่นวายมาก เมื่อรวมกับหน้าที่สอนหนังสือที่ต้องรับผิดชอบ
“ถ้าวันนั้นมีสอน ก็อาจจะต้องมาเคลียร์เอกสารกันก่อน ก็แทบจะไม่ได้สอนกันเลย” ครูปลาระบุ
ส่วนครูอาหารกลางวัน ก็ต้องดูแลเงินค่าอาหารกลางสำหรับนักเรียนทั้งโรงเรียน โดยหลายคนต้องซื้อวัตถุดิบและของในครัว ซึ่งก็ต้องจัดการกับเงินจำนวนมากเช่นกัน
กลายเป็นประเด็น ‘ความเหลื่อมล้ำในงานของครู’ เพราะหลายๆ ครั้ง โรงเรียนขนาดเล็กอาจมอบหมายให้งานทั้งสาม ให้ครูตำแหน่งละคน ซึ่งถือว่าเป็นภาระงานที่หนักและเครียดมาก แต่ได้รับค่าตอบแทนและมีชั่วโมงการสอนเท่าๆ กับคนอื่นที่ไม่ได้รับผิดชอบส่วนนี้
ครูคนนี้ย้ำว่า เธอไม่ได้มองงานของคนอื่นหนักหรือมีภาระน้อยไปกว่าตัวเอง แต่หน้าที่ทั้งสามนี้ ต้องทำงานกับระเบียบ ตัวเงิน และหลักฐานมากมาย ที่สร้างความเครียดและกดดันให้คุณครูหลายคน
ราคาที่ครูการเงินต้องจ่าย (เอง)
ครูการเงินมี ‘ราคาที่ต้องจ่าย’ ซ่อนอยู่มากมาย ทั้งค่าน้ำมันที่เธอต้องใช้เงินส่วนตัวจ่าย “ทั้งไปธนาคารเอย ไป อบต.เอย ไปจ่ายค่านั่นค่านี่”
สำหรับเธอแล้ว ในหนึ่งเดือนครูการเงิน อาจต้องเดินทางไปธนาคารมากกว่า 10 รอบ
“บางโรงเรียนต้องเดินทาง 50 กิโลเมตร บางโรงเรียนเรียนเป็น 100 กิโลเมตร” โดยส่วนตรงนี้ครูไม่มีทางจะได้งบ เนื่องจากถูกบอกว่า “มันถือว่าเป็นงานในหน้าที่ของคุณ”
“แล้วทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันต้องทำงานหนักขนาดนี้ ทั้งที่ไม่ได้อะไรเลย” ครูปลาตั้งคำถาม
ครูปลาบอกว่า ครูหลายคนยังมีชีวิตส่วนตัว ยังต้องใช้เงินที่จ่ายไปกับค่ามันหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ มาจุนเจือครอบครัวตัวเอง จนหลายครั้งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเอาเปรียบ เพราะครูต้องควบตำแหน่งหลายงานมากๆ ในขณะที่ได้ค่าตอบแทนตามเดิม
ไม่เพียงแค่นั้น ความยุ่งยากที่สุดคือ ‘การประสานกับคน’ เพราะงานการเงินจะทำคนเดียวไม่ได้ โดยต้องคุยกับผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหาร หัวหน้าฝ่ายในโรงเรียน คุณครูคนอื่นๆ จนถึงองค์กรนอกโรงเรียน
ในหลายครั้งก็เกิดการปะทะระหว่างทำงาน ทั้งจากความไม่เข้าใจ การไม่ให้ความร่วมมือ หรือแม้กระทั่งความผิดพลาดที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เมื่อเกิดปัญหาใดๆ จากการส่งเอกสารหรือขั้นตอนอื่นจากฝ่ายต่างๆ ครูการเงินจะกลายเป็นผู้รับผิดชอบคนเดียวเสมอ
ครูปลายกตัวอย่าง กรณีที่ฝ่ายอื่นซื้อของมา แล้วส่งบิลลงวันที่มาให้ครูการเงินเมื่อเวลาผ่านไปแล้วหลายวัน ทั้งๆ ที่ครูการเงินยังไม่ได้ทำเรื่องเบิกเงิน
“แล้วเราจะทำอย่างไร ในเมื่อเราเป็นคนเบิก เป็นคนทำหลักฐาน” ครูปลาชี้ว่า กรณีเช่นนี้อาจกลายเป็นเรื่องส่อทุจริต เนื่องจากวันที่ไม่ตรงกัน จนทำให้ครูการเงินต้องหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
“เท่ากับว่า ความเครียดมาตกที่เรา” เธอระบุ
“เรื่องงานเอาจริงๆ คุณครูเขาสู้ค่ะ” ครูปลามองว่า สิ่งที่ทำให้หมดกำลังใจในการทำงานที่สุด คือปัญหาการประสานในโรงเรียน การคุยกับผู้บริหาร หรือฝ่ายต่างๆ ในขณะต้องทำตามระเบียบที่ถูกต้องไปด้วย
“ขาข้างหนึ่ง เข้าไปอยู่ในคุก”
ประโยคนี้เป็นสิ่งที่ครูการเงิน ครูพัสดุ และครูอาหารกลางวันได้ยินอยู่บ่อยๆ เพราะหน้าที่เหล่านี้ต้องดูแลเงินของโรงเรียนตามระเบียบอย่างเคร่งครัด แต่ในทางปฏิบัติ กลับมีปัจจัยมากมายที่ทำให้การทำงานไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
ครูปลาเล่าว่า บางกรณีที่โรงเรียนมีความขัดแย้งหรือผิดใจกันเกิดขึ้น อาจมีการกลั่นแกล้งตามมา โดยหาช่องโหว่ของการทำงานที่ส่อถึงทุจริต แล้วส่งเรื่องไปทางเขตฯ หรือ สตง. ซึ่งแม้คุณครูจะไม่ได้มีเจตนาทำผิดจริงๆ แต่ตามหน้าที่แล้ว ครูสามตำแหน่งนี้คือผู้รับผิดชอบ กลายเป็นอีกประเด็นที่ทำให้ไม่มีใครอยากทำงานนี้
เธออธิบายต่อว่า “ถ้าใครจะใส่ร้ายด้วยประการใดก็ตาม แต่เราก็เป็นคนถือเงิน เป็นคนรับหลักฐาน เป็นคนทำเอกสาร ถ้าใครจะใส่ร้ายหรือหาเรื่อง ก็สามารถหาช่องโหว่เล่นงานได้ เพราะเกี่ยวกับระเบียบ”
“ถ้าใครบอกว่า คุณก็ต้องสู้ (กับความไม่ยุติธรรม) สิ” ครูปลาแย้งว่า ในความเป็นจริง การขัดคำสั่งหรือมีปัญหากับหลายๆ ฝ่าย “ก็เท่ากับว่า เราจะอยู่ในโรงเรียนไม่ได้อีกเลยนะ” เพราะการใช้ชีวิตในโรงเรียนจะกลายเป็น ‘เรื่องน่ากลัวมาก’ จนใครก็ไม่อยากจะเอาตัวเองไปเสี่ยงกับตรงนั้น
“ฉันก็ทำงานที่หนักอยู่แล้ว เสี่ยงก็เสี่ยง เครียดก็เครียด ยังต้องมาระแวงเรื่องนี้อีก”
ฝ่ายบริหารไม่มีความรู้
หากพูดถึงโครงสร้างการทำงาน ครูปลากล่าวว่าหลายครั้งเหล่าฝ่ายบริหารที่ควรจะเป็นผู้นำฝ่ายอื่นๆ กลับไม่มีความรู้และไม่เข้าใจการเงินและพัสดุ
แม้จะเป็นเรื่องพื้นฐานที่ต้องตอบคำถามคุณครู กลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สร้างความกังวลให้คุณครูหลายคน เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้น ฝ่ายบริหารจะช่วยแนะแนวทางออกไม่ได้
เธอบอกว่า “ได้ยินประโยคนี้มาเป็นร้อยๆ ข้อความ” จากคุณครูทั่วทุกสารทิศ ที่เล่าเรื่องราวคล้ายๆ กันผ่านเพจบ้านครูการเงินว่า ผู้บริหารไม่สามารถสอนงาน แนะแนวทาง หรือแก้ปัญหาให้ครูการเงินได้ จึงทำให้ครูการเงินต้องมาตามแก้ปัญหาเอง
“งานการเงิน งานพัสดุ ทุกงานในโรงเรียนต้องได้รับการเซ็นอนุมัติ จากผู้บริหารคนเดียวเท่านั้น ถ้าผู้บริหารไม่สามารถบอกอะไรคุณครูได้ เท่ากับว่า คุณครูก็ไปต่อไม่ถูก”
โดยเฉพาะครูที่บรรจุใหม่และไม่มีใครสอนงาน คนๆ แรกที่คุณครูจะต้องไปหาเพื่อขอคำแนะนำเรื่องงาน คือผู้อำนวยการหรือฝ่ายบริหาร แต่หลายครั้งครูกลับต้องมานั่งศึกษาเอง พร้อมกลับสอนหนังสือไปด้วยเต็มเวลา ซึ่งหากบางคนไม่มีเวลาว่าง ก็จะต้องหอบเอกสารล้นมือกลับไปเรียนรู้เองที่บ้าน
“เราเรียนครูมา เราไม่ได้เรียนเรื่องพวกนี้มาเลย”
‘การกระจายงาน’ คือทางออก
“แต่ละโรงเรียนไม่ควรให้ครูที่รับตำแหน่งการเงิน พัสดุ และอาหารกลางวัน ทำหน้าที่ติดต่อกันเกิน 5 ปี” ครูปลาเสนอพร้อมชี้ว่า การทำงานที่หนักอย่างที่เล่ามาติดต่อกันไปจนเกษียณนั้น อาจบั่นทอนกำลังใจของครูหลายคน
อย่างไรก็ตาม หากโรงเรียนแต่ละแห่งจำกัดระยะเวลาการทำงานของคุณครูสามตำแหน่งนี้ได้ และกำหนดให้มีการหมุนเวียนหน้าที่ทุก 3 หรือ 5 ปี จะช่วยกระจายความเครียดของคุณครูได้มาก
พร้อมกันนี้เธอยังเสนอว่า ในแต่ละตำแหน่งไม่ควรจะมีคุณครูรับผิดชอบเพียงคนเดียว ควรจะมีเพื่อนคู่คิด และตัดสินใจเพิ่มด้วย เพราะจะช่วยแบ่งเบาภาระและความกังวล พร้อมทำให้ครูสามารถช่วยกันตรวจสอบงานได้รัดกุมยิ่งขึ้น
แนวทางเหล่านี้ นอกจากจะช่วยบรรเทาความเครียดในหน้าที่แล้ว ยังลดคำถามที่เกิดขึ้นในหัวของครูการเงินหลายคนว่า “ทำไมเราต้องมาเสียสละจุดนี้เพิ่ม ทั้งๆ ที่งานเราก็หนักอยู่แล้ว”
สุดท้ายนี้ ครูปลาไม่อยากให้มองข้ามความเสียสละมากมายของครูทั้งสามตำแหน่ง ทั้งเงิน พลังงาน และเวลา เพราะนอกเหนือจากงานสอนหนังสือ งานการเงิน งานพัสดุ และงานอาหารกลางวันแล้ว คุณครูเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่ก็มีชีวิตส่วนตัวที่ต้องรับผิดชอบเช่นกัน