
ข้างต้นเป็นถ้อยแถลงของ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บนเวทีการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 80 (UNGA 80) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา
รมว.ต่างประเทศ เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของไทยในการยึดมั่นต่อระบอบพหุภาคี การสร้างประชาคมโลกที่เป็นหนึ่งเดียว พร้อมทั้งยังสะท้อนมุมมองต่อความขัดแย้งสำคัญที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามในยูเครน ความสูญเสียของประชาชนผู้บริสุทธิ์ในกาซา ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ตลอดจนประเด็นความท้าทายข้ามชาติ เช่น การโยกย้ายถิ่นฐาน ผู้พลัดถิ่น อาชญากรรมข้ามชาติ และวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ดังนั้น เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปีแห่งการก่อตั้งสหประชาชาติ (United Nations: UN) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ The MATTER ได้สรุปใจความสำคัญจากถ้อยแถลงนี้มาให้ดูกัน
แม้ UN ครบ 80 ปี แต่โลกยังเผชิญความแตกแยก-สงคราม

สีหศักดิ์ เริ่มต้นกล่าวถึงความจำเป็นของการเป็นประชาคมเดียวกันว่า “เมื่อ 80 ปีก่อน ประเทศต่างๆ ได้ร่วมกันรับรองกฎบัตรสหประชาชาติที่เปี่ยมด้วยความหวังต่อสันติภาพ แต่ในวันนี้เรากลับยังคงต้องเผชิญกับการแบ่งแยกที่เพิ่มมากขึ้น”
เขากล่าวต่อไปว่า สงครามในยูเครนซึ่งยืดเยื้อมาถึงปีที่สาม ยังคงสร้างความทุกข์ทรมานและความเสียหาย เช่นเดียวกับความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัสในกาซาที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะเด็กที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดนั้นได้สร้างความเศร้าสลดต่อจิตสำนึกต่อส่วนรวมเป็นอย่างยิ่ง
“เมื่อสันติภาพถูกทำลาย ความสูญเสียจะไม่ได้ตกอยู่ประเทศต่างๆ เพียงเท่านั้น แต่ยังตกกับประชาชนธรรมดา ดังนั้น ในการเป็นประชาคมเดียวกัน ทุกประเทศต่างมีส่วนรับผิดชอบในการส่งเสริมสันติภาพ และความมั่นคงของโลก”

ข้อมูลจาก BBC เผยว่า เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา การเจรจาสันติภาพโดยตรงระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ตุรกี สิ้นสุดลงโดยปราศจากความคืบหน้าที่สำคัญ ทำให้ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป
ขณะที่สถานการณ์ในกาซายังคงอยู่ในขั้นตอนเจรจา โดยวันนี้ (30 กันยายน) เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ออกมายอมรับ ‘แผนสันติภาพฉบับล่าสุดของสหรัฐฯ’ ที่มีทั้งหมด 20 ข้อ หลังจากนี้ต้องรอติดตามกันต่อไปว่าการรับเงื่อนไขดังกล่าวของอิสราเอล จะนำไปสู่การยุติการหยุดยิงในกาซาหรือไม่
รมว.ต่างประเทศ ย้ำบทบาทไทยบนเวทีโลก ร่วมรักษาสันติภาพ-รับมือความท้าทายข้ามชาติ
รมว.ต่างประเทศ ระบุถึงบทบาทหน้าที่ของไทยว่า “เราจะตั้งใจทำหน้าที่ในส่วนของเรา โดยกองกำลังรักษาสันติภาพของไทยได้ปฏิบัติหน้าที่ในทุกมุมโลก เพื่อช่วยฟื้นฟูวิถีชีวิตของผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง”
เขายกตัวอย่างภารกิจที่ไทยกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ทั้งการเก็บทุ่นระเบิดในพื้นที่ปนเปื้อน เพื่อคืนพื้นที่ให้แก่ชุมชน การรับมือกับความท้าทายข้ามชาติ อาทิ การโยกย้ายถิ่นฐานที่เกิดจากความขัดแย้งและภัยพิบัติ การให้ที่พักพิงและงานแก่ผู้พลัดถิ่นจากเมียนมา รวมทั้งการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การหลอกลวงออนไลน์
“ประเด็นเหล่านี้ถือเป็นบททดสอบร่วมกัน ที่ไม่มีประเทศใดสามารถแก้ไขโดยลำพัง”

ข้อมูลจาก รายงานการโยกย้ายถิ่นฐานของไทย ฉบับปี 2025 โดย UN พบว่า แรงงานข้ามชาติในไทย ส่วนใหญ่มาจากประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนมา และเวียดนาม เนื่องด้วยสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ดีกว่า การก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย และโครงสร้างการพึ่งพาการโยกย้ายถิ่นฐานของแรงงานในเศรษฐกิจหลักหลายภาคส่วน
ไทยย้ำเลือกเส้นทางสันติภาพกับกัมพูชา

สีหศักดิ์ ยังกล่าวถึงปมความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาว่า แม้แต่ในประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุด ความขัดแย้งระหว่างกันก็สามารถเกิดขึ้นได้ โดยต้องยอมรับว่าสถานการณ์กับกัมพูชาในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นที่พึงประสงค์หรือเป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ฝ่าย
“โดยสันติภาพ ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรือง ของเราล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิด เราไม่อาจแยกออกจากกันได้ เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวอาเซียนเดียวกัน”
เขากล่าวอย่างเปิดเผยว่า เขารู้สึกผิดหวังที่กัมพูชายังคงสร้างภาพให้ตนเป็นผู้ถูกกระทำ การให้ข้อเท็จจริงในแบบฉบับของตนที่ไม่สามารถยืนยันได้ ซึ่งถือเป็นการบิดเบือนความจริง เพราะตั้งแต่เริ่มแรกกัมพูชาเป็นผู้ริเริ่มความขัดแย้ง ด้วยความตั้งใจที่จะขยายข้อพิพาทชายแดนไปสู่ความขัดแย้งระดับระหว่างประเทศ
“ในวันนี้ประเทศของเราทั้งสองต้องตัดสินใจเลือกเส้นทาง ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนบ้านและมิตรกัน ประเทศไทยขอถามกัมพูชาว่า ‘จะเลือกเส้นทางใด’ เส้นทางของการเผชิญหน้าหรือเส้นทางของสันติภาพและความร่วมมือ ซึ่งประเทศไทยขอเลือกเส้นทางแห่งสันติภาพ เพราะเราเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศสมควรได้รับ แต่เราก็ยังมีข้อสงสัยว่า กัมพูชาตั้งใจที่จะร่วมมือกับเราในการมุ่งสู่สันติภาพหรือไม่”
สันติภาพ-สิทธิมนุษยชน ต้องคู่กับการพัฒนาที่ยั่งยืน

ประเด็นถัดไปที่ รมว.ต่างประเทศ ระบุถึงได้แก่ ‘สันติภาพและสิทธิมนุษยชน’ โดยเขาเน้นย้ำว่าสันติภาพและสิทธิมนุษยชนไม่อาจดำรงอยู่ หากปราศจากการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่การพัฒนาในปัจจุบันกลับถูกคุกคาม จากการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ภาษีศุลกากร และอุปสรรคทางการค้า
“ในขณะเดียวกันเราต้องไม่ลืมว่า โลกใบนี้คือหัวใจหลักของการพัฒนาที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถือเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ของพวกเรา เพราะทำให้ช่องว่างระหว่างผู้ที่มีและผู้ที่ไม่มียิ่งกว้างขึ้น”
ถึงเวลาที่ UN ต้องถูกปฏิรูป เพื่อเสริมบทบาทขับเคลื่อนสันติภาพ-การพัฒนา

สีหศักดิ์ กล่าวปิดท้ายบนเวทีการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 80 ด้วยการเสนอให้ปรับปรุง ฟื้นฟู และปฏิรูปสหประชาชาติ โดยเขาระบุถึงประวัติศาสตร์ของสหประชาชาติที่ผ่านมาว่า ล้วนเต็มไปด้วยคำสัญญา ที่ไม่ได้เคยได้รับการปฏิบัติตาม ซึ่งหากสหประชาชาติจะยังคงเป็นหัวใจสำคัญของระบอบพหุภาคี ก็ไม่อาจปล่อยให้วัฏจักรนี้ดำเนินต่อไป
“การที่สหประชาชาติจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามอาณัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ สหประชาชาติจำเป็นที่จะต้องได้รับทรัพยากรที่ต้องการ รัฐสมาชิกทุกประเทศจะต้องปฏิบัติตามคำมั่นทางการเงินของตน เพื่อให้สหประชาชาติยังสามารถทำหน้าที่ขับเคลื่อนวาระด้านสันติภาพและการพัฒนาได้”
“บทเรียนจาก 80 ปีนั้นชัดเจน เราจะแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเราเป็นประชาคมหนึ่งเดียวกัน มีคำมั่นเดียวกัน และร่วมกันสร้างอนาคตเดียวกัน ซึ่งเป็นความหมายที่แท้จริงของคำว่าเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ประเทศไทยขอให้คำมั่นว่าจะทำหน้าที่ของเรา แต่ยิ่งไปกว่านั้นเราขอท้าทายตัวเราเองและมิตรประเทศ ณ ที่นี้ ที่จะเปลี่ยนคำพูดเป็นการกระทำนั่นคือวิธีที่เราจะทำให้ 80 ปีต่อไปข้างหน้านั้นดีกว่าที่ผ่านมา” รมว.ต่างประเทศ กล่าวปิดท้าย
อ่านถ้อยแถลงฉบับเต็มได้ที่: image.mfa.go.th