“ภายใต้แผนสันติภาพ 20 ข้อ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเจรจาระหว่างฮามาสและอิสราเอล จะไม่มีใครถูกบังคับให้ออกจากดินแดนปาเลสไตน์” ทรัมป์ กล่าว
วันที่ 10 ตุลาคม สำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอลออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลเห็นชอบข้อตกลง ‘หยุดยิงทันที’ (ceasefire) และการปล่อยตัวประกันในกาซา ตามข้อเสนอสันติภาพของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งการรับรองดังกล่าวถือเป็น ‘ขั้นตอนสุดท้าย’ ที่จะนำไปสู่การยุติการโจมตีในกาซา ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานถึง 28 เดือน 2 วัน นับตั้งแต่อิสราเอลเริ่มปฏิบัติการทางทหาร เพื่อตอบโต้การโจมตีของฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023
ถึงแม้ว่ายังมีเงื่อนไขบางอย่างในข้อตกลงที่ต้องกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น การปลดอาวุธของฮามาส หรือการจัดตั้งคณะกรรมการสันติภาพ แต่สาระสำคัญของข้อตกลงนี้คือ การยุติความรุนแรงและแลกเปลี่ยนผู้ถูกคุมขังทั้งสองฝ่าย
อิสราเอลจะปล่อยผู้ต้องขังชาวปาเลสไตน์ที่รับโทษตลอดชีวิต 250 คน และผู้ถูกคุมขังในกาซาอีก 1,700 คน พร้อมคืนร่างผู้เสียชีวิตชาวกาซา 15 ราย ขณะที่ฮามาสจะปล่อยตัวประกัน 20 คน และส่งคืนร่างผู้เสียชีวิต 28 ราย
ในวันที่ทั่วโลกจับตาอนาคตของสันติภาพดังกล่าว The MATTER อยากชวนทุกคนมองย้อนกลับไปยังผลของความขัดแย้งครั้งนี้

รอยแผลจากสงครามที่ ‘ปาเลสไตน์’ ต้องเผชิญ
แม้ข้อตกลงสันติภาพจะเริ่มเห็นเค้าลาง แต่ตัวเลขความสูญเสียที่เกิดขึ้นในกาซายังคงเป็น ‘บาดแผล’ ขนาดใหญ่ของมนุษยชาติ เพราะตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา มีชาวปาเลสไตน์มากกว่า 67,000 คนเสียชีวิต จากการโจมตีของอิสราเอล โดยมีเด็กเสียชีวิตมากถึง 21,179 คน หรือเฉลี่ยวันละกว่า 20-30 คน ซึ่งตัวเลขแท้จริงอาจสูงกว่านี้ เพราะยังมีผู้สูญหาย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้สะท้อนความโหดร้ายของสงครามอย่างชัดเจน จนเกิดการกระแสประณามว่า อิสราเอลกำลังก่อ ‘อาชญากรรมสงคราม’ และ ‘ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ชาวปาเลสไตน์ในกาซา
นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์กว่า 1,700 คน ครูอีก 700 คน และผู้สื่อข่าวอย่างน้อย 184 คน ต้องสังเวยชีวิตในความขัดแย้งครั้งนี้ ด้านผู้บาดเจ็บก็มีมากกว่า 170,000 คน ในจำนวนนี้ราว 42,000 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส จนไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนเดิมอีกต่อไป

19 กันยายน 2025 (Photo by AFP)
ผลกระทบทางมนุษยธรรมรุนแรงไม่แพ้กัน ประชาชนในกาซากว่า 1.9 ล้านคน หรือประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด ต้องกลายเป็น ‘ผู้พลัดถิ่น’ ต้องอาศัยอยู่ในค่ายชั่วคราว ที่ขาดแคลนอาหาร น้ำสะอาด และยารักษาโรคอย่างหนัก เพราะไม่มีที่ไหนปลอดภัยไปกว่านี้อีกแล้ว
สถานการณ์ความอดอยากอยู่ในขั้นวิกฤต โดยมีประชาชนอย่างน้อย 500,000 คน กำลังเผชิญภาวะอดอยากรุนแรง (famine-level hunger) จากการปิดล้อมทางมนุษยธรรม และการโจมตีที่ยืดเยื้อโดยอิสราเอล
ความเสียหายด้านโครงสร้างพื้นฐานก็รุนแรงไม่แพ้กัน มากกว่าครึ่งของพื้นที่กาซาถูกทำลาย 94 เปอร์เซ็นต์ โรงพยาบาลและโรงเรียนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทำให้การศึกษาและระบบสาธารณสุขแทบล่มสลายโดยสิ้นเชิง
ความสูญเสียใน ‘อิสราเอล’

7 ตุลาคม 2025 (Photo by Tobias Schwarz / AFP)
ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2023 หรือวันที่กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลด้วยการยิงจรวดและบุกเข้าสู่ชุมชนชายแดน ทำให้มี ผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1,600 คน โดยมีทั้งชาวอิสราเอล และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในพื้นที่
ด้านผู้บาดเจ็บมีอย่างน้อย 630 คน แบ่งเป็น พลเรือน 277 คน และทหาร 353 คน โดยที่ผ่านมาตั้งแต่ปลายปี 2023 ผู้คนในพื้นที่ชายแดนต้องเผชิญกับการโจมตีด้วยจรวดอย่างต่อเนื่อง หลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัส และต้องอพยพออกจากพื้นที่
ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มฮามาสยังได้จับชาวอิสราเอลและต่างชาติเป็นตัวประกันราว 251 คน ซึ่งในปัจจุบันยังคงมี 48 คนถูกคุมขังอยู่ และคาดว่ามีผู้รอดชีวิตราว 20 คน ในส่วนเชิงโครงสร้างพื้นฐาน อิสราเอลได้รับความเสียหายจากการถูกปะทะ โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวชายแดน ซึ่งมีบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างถูกทำลายบางส่วน แต่โครงสร้างหลักของประเทศยังคงใช้ดำเนินไปตามปกติ ทั้งระบบสาธารณูปโภค การคมนาคม และบริการสาธารณสุข
ดังนั้น ในภาพรวมอิสราเอลไม่ได้เผชิญกับภาวะอดอยากหรือการขาดแคลนทรัพยากร เหมือนอย่างกาซา แต่เสียงสะท้อนจากผู้สูญเสีย ทั้งครอบครัวของผู้ถูกจับเป็นตัวประกัน ผู้ที่สูญเสียคนรัก หรือแม้แต่ชาวอิสราเอลหรือผู้ที่ต้องการให้ความขัดแย้งนี้ยุติลง ก็ยังคงดำรงอยู่ในสังคมอิสราเอล
ความหวังในสันติภาพที่ยังต้องจับตา

7 ตุลาคม 2025 (Photo by BASHAR TALEB / AFP)
หลังจากอิสราเอลลงนามรับรองข้อตกลง ‘หยุดยิงทันที’ โลกยังคงจับตาอย่างใกล้ชิดว่า สันติภาพครั้งนี้จะนำพาภูมิภาคตะวันออกกลางไปในทิศทางใด ภายใต้แผนสันติภาพ 20 ข้อของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่กำหนดให้ทั้งอิสราเอลและฮามาสต้องยุติการสู้รบ ปล่อยตัวประกัน และเปิดทางให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่กาซา
ทรัมป์ย้ำว่าข้อตกลงนี้ “ไม่มีผู้ใดต้องถูกบังคับให้ออกจากดินแดนปาเลสไตน์” และสหรัฐฯ พร้อมจะสนับสนุนโครงการฟื้นฟูพื้นที่กาซาในระยะยาว อย่างไรก็ดี ยังมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า ทั้งการปลดอาวุธของฮามาส การรับรองอธิปไตยของปาเลสไตน์ และการสร้างกลไกค้ำประกันทางความมั่นคงในระยะยาว
ทั้งนี้ ทรัมป์มีกำหนดจะเดินทางไปยังประเทศอียิปต์ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดระดับภูมิภาค โดยเขาจะทำหน้าที่เป็น ‘ตัวกลาง’ ในการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาสอย่างถาวร
อ้างอิงจาก
reuters.com (1) (2)