ท่ามกลางกระแสถกเถียงเรื่อง ‘นมแท้-นมผง’ หนึ่งในประเด็นสำคัญที่น่าสนใจคือ สถานการณ์ของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทย โดยเฉพาะฟาร์มรายย่อยที่กำลังเผชิญความยากลำบากจากปัญหาเชิงนโยบายในแวดวงอุตสาหกรรมนม
ปีนี้หลายศูนย์รวมนมถูกลดโควต้า บางแห่งถึงขั้นไม่มีโรงงานรับซื้อน้ำนมดิบเลย สาเหตุสำคัญมาจากระบบ MOU หรือสัญญาซื้อขายระหว่างศูนย์รวมน้ำนมในฐานะผู้ขาย และโรงงานผู้รับซื้อที่ไม่สมดุลกัน เพราะปีนี้จำนวนผู้ซื้อน้อยกว่าผู้ขายอย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากนมผงราคาถูกที่นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งเข้ามาแข่งขันโดยตรงกับน้ำนมดิบในประเทศ ทำให้สถานการณ์แย่มากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ The MATTER จึงพูดคุยกับ ธิติ ขำศิริ กรรมการสมาคมโคนมก้าวหน้า (Progressive Dairy Association) เพื่อคลี่ภาพรวมของอุตสาหกรรมนมไทย ตั้งแต่โครงสร้างการผลิต ระบบ MOU สาเหตุของภาวะน้ำนมล้นตลาด การนำเข้านมผง จนถึงโจทย์สำคัญว่าภาครัฐ โรงงานใหญ่ และผู้บริโภค จะมีบทบาทอย่างไรในการช่วยให้เกษตรกรรายย่อย ‘อยู่รอด’ ได้อย่างยั่งยืน
นมล้นถัง ขายไม่ได้ หรือขายได้แต่ราคาต่ำกว่ารัฐกำหนด
ธิติเริ่มต้นเล่าจากภาพรวมสถานการณ์ที่เห็นผ่านข่าวว่า ช่วงนี้มีเกษตรกรโคนมบางส่วนไม่สามารถขายน้ำนมดิบได้เลย ต้องเททิ้ง หรือถ้าขายได้ก็ขายในราคาที่ต่ำกว่าราคากลางที่รัฐบาลประกาศไว้มาก
“แต่ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากความสัมพันธ์แบบ ‘ฟาร์ม-โรงงาน’ อย่างเดียว โครงสร้างของอุตสาหกรรมนมไทยจริงๆ ซับซ้อนกว่านั้นมาก”
ในความเป็นจริง เกษตรกรส่วนใหญ่ในไทยเป็นรายเล็ก เลี้ยงวัวจำนวนไม่มาก และน้ำนมดิบเป็นของเสียง่าย ตามมาตรฐานแล้วภายใน 2 ชั่วโมงหลังรีด น้ำนมต้องถูกลดอุณหภูมิลงมาประมาณ 4 องศาเซลเซียส ฟาร์มรายย่อยส่วนใหญ่ไม่มีระบบทำความเย็นแบบนี้อยู่ในฟาร์ม สิ่งที่พวกเขาทำได้คือ รีดนมเสร็จแล้วต้องรีบขนน้ำนมไปส่งที่ศูนย์รวมน้ำนมดิบ
ศูนย์รวมน้ำนมดิบจึงกลายเป็นจุดเชื่อมสำคัญของระบบทั้งหมด หน้าที่ของศูนย์คือรับน้ำนมจากเกษตรกรในพื้นที่ นำไปลดอุณหภูมิ เก็บรักษา แล้วขายต่อให้โรงงานอีกที ซึ่งศูนย์ลักษณะนี้มีทั้งที่เป็นสหกรณ์ซึ่งเกษตรกรรวมตัวกันเป็นเจ้าของ และที่เป็นเอกชนเจ้าของคนเดียวที่รับน้ำนมจากเกษตรกรรอบๆ

ปีแรกที่ตัวเลขระหว่าง ‘ผู้ขายและผู้ซื้อ’ ไม่ลงตัว
ประเทศไทยมีระบบ MOU น้ำนมดิบอยู่แล้ว ทุกปีกระทรวงเกษตรฯ จะเก็บข้อมูลจากการสำรวจว่าแต่ละศูนย์รวมน้ำนมดิบมีปริมาณนมเท่าไหร่ แล้วช่วงประมาณเดือนตุลาคมของทุกปี ก็จะแจ้งตัวเลขให้ศูนย์นมรู้ว่า “ปีหน้า คุณมีนมประมาณเท่านี้ คุณอยากขายให้ใคร ช่องทางไหนบ้าง”
จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนที่ผู้ขายคือศูนย์รวมน้ำนม และผู้ซื้อคือโรงงาน มานั่งคุยกัน ทำสัญญาซื้อขาย และเซ็น MOU ปริมาณรับซื้อน้ำนมดิบในปีถัดไป ที่ผ่านมาปริมาณที่มีคนอยากขายมักจะมีโรงงานรับซื้อไปครบทุกหยด แต่ปีนี้ต่างออกไปเป็นครั้งแรก ธิติเล่าว่า
“ปีนี้เป็นปีแรกที่ตัวเลขคนอยากขายกับคนอยากซื้อไม่ตรงกัน ทำให้มีศูนย์รวมน้ำนมบางแห่ง ‘ไม่ได้ MOU’ ไปเลย ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยเจอแบบนี้”
เมื่อศูนย์รวมน้ำนมไม่สามารถขายน้ำนมดิบให้โรงงานได้ครบ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาแบบลูกโซ่คือ บางศูนย์ต้องหยุดรับซื้อนมจากเกษตรกรบางส่วน หรือรับซื้อลดลงจากเดิม เช่น จากรับวันละ 1 ตัน เหลือรับเพียง 500 กิโลกรัม และในบางกรณีรุนแรงถึงขั้นต้องเทน้ำนมทิ้ง
ก่อนนมจะถึงจุดที่ต้องเททิ้ง ศูนย์มักจะบีบกลับไปที่เกษตรกรก่อนเสมอ ไม่ว่าจะในรูปแบบการลดปริมาณรับซื้อ หรือแจ้งว่าไม่รับแล้ว ปลายทางคนที่รับแรงกระแทกหนักที่สุดจึงหนีไม่พ้นครอบครัวเลี้ยงวัวนมรายย่อย
เมื่อหางนมผงจากออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ชนกับน้ำนมไทยโดยตรง

ธิติอธิบายว่า เหตุที่ปีนี้สถานการณ์หนักผิดปกติ เป็นเพราะปัจจัยหลายด้านมาชนกันพอดี หนึ่งคือการเปิด FTA/EPA ด้านนมผง โดยเฉพาะจากออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ซึ่งทำให้หางนมผง (Skim Milk Powder) จากต่างประเทศไหลเข้าสู่ไทยในราคาต่ำ และถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบหลักในผลิตภัณฑ์นมหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นนมไม่มีไขมัน นมเปรี้ยว โยเกิร์ต หรือเครื่องดื่มนมรสต่างๆ
FTA คือข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อลดอุปสรรคทางการค้า เช่น การลดภาษีนำเข้า ส่วน EPA คือความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ครอบคลุมความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น การลงทุน
สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ เปิดเผยว่า การนำเข้านมผงจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ คือการเปิดเสรีเต็มรูปแบบภายใต้ FTA ไทย-นิวซีแลนด์ และ FTA ไทย-ออสเตรเลีย โดยจะไม่มีการเก็บภาษีนำเข้า โดยยกเลิกโควต้าการนำเข้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
ปัจจุบันออสเตรเลียได้ยกเว้นอากรสำหรับสินค้าไทยทั้งหมดตั้งแต่ปี 2558 ขณะที่ไทยได้ทยอยลดและยกเว้นอากร สำหรับผลิตภัณฑ์นมจากทั้งสองประเทศมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้สมบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคม 2568 เท่ากับว่าปีนี้ถือเป็นปีสุดท้ายตามพันธกรณีที่ลงนามไว้เมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งกำหนดให้ต้องยกเลิกอากรศุลกากรและโควตาการนำเข้าสินค้านมทุกประเภท ส่งผลให้สินค้านมและผลิตภัณฑ์นมจากออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ สามารถเข้ามาในไทยด้วยอัตราภาษี 0 เปอร์เซ็นต์
ข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก BIOTHAI ระบุว่า เมื่อครั้งที่ประเทศไทยลงนาม FTA กับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในปี 2548 เกษตรกรไทยไม่มีโอกาสรับรู้รายละเอียดของความตกลงมาก่อน และเพิ่งได้เห็นเนื้อหาหลังจากรัฐบาลลงนามไปแล้ว ความไม่โปร่งใส และการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนแม้ความตกลงจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง
นำไปสู่การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนและนักวิชาการ จนเกิดการบัญญัติ มาตรา 190 ในรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งกำหนดให้การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ เสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภา ต้องได้รับความเห็นชอบ และต้องมีกลไกเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและบทบาทรัฐสภาถูกลดทอนลง แม้จะยังคงกำหนดให้เปิดเผยเนื้อหาและให้รัฐสภาเห็นชอบก่อน แต่ความเข้มแข็งในระบบตรวจสอบกลับน้อยลงกว่า ที่เคยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้า

ธิติ วิเคราะห์ว่า นิวซีแลนด์มองเห็นตั้งแต่ตั้งประเทศว่าอุตสาหกรรมหลักอย่างหนึ่งคือ ‘โคนม’ จึงวางระบบเลี้ยงวัวนมเพื่อการส่งออกโดยเฉพาะ โจทย์คือทำอย่างไรให้ได้ของแข็งในน้ำนม (milk solids) สูง ปริมาณน้ำนมไม่จำเป็นต้องมากแต่เข้มข้น และมีต้นทุนต่ำที่สุด
ข้อได้เปรียบของออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์คือ พื้นที่กว้าง เลี้ยงแบบปล่อยในแปลงหญ้าได้ มีอาหารหยาบคุณภาพสูง โปรตีน 20-30 เปอร์เซ็นต์ ที่ปลูกในบ้านเราไม่ได้ อากาศหนาวและแห้ง ไม่มีแมลงรบกวน วัวชอบมาก และที่สำคัญคือพัฒนาวิธีเลี้ยงและสายพันธุ์ต่อเนื่องมาเป็นร้อยปี
น้ำนมที่ผลิตออกมา 1 กิโลกรัม ถูกแบ่งสร้างมูลค่าเพิ่มได้หลายทาง ทั้งไปใช้ในผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ราคาสูง แยกไขมันไปทำเนย ทำชีส และส่วนที่เหลือจึงเป็ ‘หางนมผง’ ที่คืนทุนไปมากแล้ว สามารถขายออกต่างประเทศในราคาถูก แข่งกับน้ำนมดิบไทยได้เต็มที่
“ฝั่งไทยกลับอยู่ในบริบทตรงกันข้าม อาหารหยาบที่ปลูกได้มีคุณค่าทางโภชนะไม่สูง อากาศร้อนชื้นทำให้วัวเครียดง่าย ผลิตนมได้น้อยลง ฟาร์มส่วนใหญ่เลี้ยงในโรง ใช้แรงงานคนให้อาหาร ต้องพึ่งอาหารข้นมากกว่าประเทศอากาศหนาว ต้นทุนต่อน้ำนม 1 กิโลกรัมจึงสูงกว่าโดยโครงสร้าง”
กรรมการสมาคมโคนมก้าวหน้า เสริมว่า หากเทียบกับบางประเทศอย่างญี่ปุ่น หรือไต้หวัน ราคาน้ำนมดิบไทยไม่ได้แพงที่สุด ไต้หวันยังแพงกว่า แต่ประเทศเหล่านั้น ‘แยกตลาด’ ชัดเจนระหว่างนมสดกับนมคืนรูป นมพาสเจอร์ไรส์หรือนมดื่มส่วนใหญ่ใช้นมสดเป็นหลัก ผู้บริโภคให้คุณค่ากับความสดและรสชาติที่สัมผัสได้ ขณะที่ในไทย ทั้งความรู้ของผู้บริโภคและการสื่อสารบนฉลากยังทำให้ ‘นมสด’ กับ ‘นมผง’ ปนกันในหัวของผู้คนจำนวนมาก
อีกปัจจัยสำคัญคือนมโรงเรียน ซึ่งใช้นมในประเทศประมาณ 900-1,000 ตันต่อวัน คิดเป็นราว 30 เปอร์เซ็นต์ของน้ำนมดิบไทยทั้งหมด (ผลิตรวมราว 2,700 ตันต่อวัน) เดิมทีการจัดสรรโควต้านมโรงเรียนใช้หลัก “ใครซื้อเท่าไหร่ได้สิทธิ์เท่านั้น” โรงงานขนาดเล็กและเอกชนหลายแห่งจึงยังพอมีโอกาสตั้งโรงงานมารับซื้อนมดิบจากเกษตรกรได้

แต่ปีที่ผ่านมา เกณฑ์นี้เปลี่ยนเป็นให้สหกรณ์โคนมมีสิทธิ์ก่อน ตามด้วยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) และสุดท้ายค่อยเป็นคิวเอกชน ทำให้โรงงานเอกชนรายเล็กหลายแห่งแข่งขันไม่ได้ ต้องปิดตัวลง
ธิติเล่าว่าที่เขาพอทราบตัวเลขคือมีโรงงานปิดไปราว 20 แห่ง เมื่อโรงงานปิด ผู้ซื้อในระบบก็ลดลง และอำนาจต่อรองกลับไปอยู่ในมือผู้ซื้อที่เหลืออยู่มากขึ้นโดยปริยาย
ขณะเดียวกัน โรงงานเองก็สะท้อนว่าการบริโภคนมในประเทศลดลงตามกำลังซื้อที่หดตัว การขายผลิตภัณฑ์นมพาณิชย์ไม่ดีเหมือนเดิม และ อ.ส.ค. ที่เคยเป็นกันชนสำคัญเวลาเกิดภาวะนมล้น ก็มีปัญหาหนี้สินจากการบริหารที่ผ่านมา ทำให้ปีนี้เซ็น MOU รับซื้อน้ำนมดิบลดลง ตัวเลขที่ธิติเคยเห็นคือราว 200 ตันต่อวัน เมื่อรวมทุกปัจจัยจึงเกิดสภาพที่มีนมประมาณ 250 ตันต่อวัน ไม่มีคนซื้อในระบบ
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่นมมีมากเกินไปจนล้นจริงๆ แต่อยู่ที่นมผงราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาชนกับน้ำนมดิบไทยโดยตรง ขณะที่เครื่องมือเชิงนโยบายและโครงสร้างการตลาดภายในประเทศยังไม่พร้อมรับแรงกระแทกนั้น”
ฉลาก ‘นมโค 100%’ ที่ไม่จำเป็นต้องเป็น ‘นมสด’
อีกมิติหนึ่งที่ธิติให้ความสำคัญ คือการสื่อสารผ่านฉลากผลิตภัณฑ์นมในไทย เรามักเห็นคำว่า ‘นมโค 100%’ ซึ่งในเชิงกฎหมาย หมายถึงทำจากน้ำนมโค 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นนมสด อาจเป็นนมผงคืนรูปก็ได้ ในขณะที่คำว่า ‘นมโคสด’ ตามเกณฑ์ อย.ควรหมายถึงน้ำนมดิบในประเทศ ไม่ใช่นมผง
กรรมการสมาคมโคนมก้าวหน้า เล่าว่า บางแบรนด์มีผลิตภัณฑ์หนึ่งตัวที่ใช้นมสด 100 เปอร์เซ็นต์ จริง เช่น นมรสจืดตัวหลักของแบรนด์ ซึ่งมักถูกหยิบมาใช้เป็นภาพในการโฆษณา แต่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในตระกูลเดียวกัน เช่น นมช็อกโกแลต นมรสชาติพิเศษ หรือนมไฮโปรตีน กลับใช้นมผงเป็นหลัก และบางครั้งอาจไม่มีนมสดเลย เขามองว่าคำอย่าง ‘นมโค 100%’ จึงออกจะหลอกลวง และทำให้ผู้บริโภคสับสนว่า “สรุปในกล่องนี้ เรากำลังดื่มนมสด หรือดื่มนมผงที่ละลายน้ำแล้วกันแน่”

งานวิจัย การรับรู้ข้อมูลฉลากนมโคสด และความเต็มใจจ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทย จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็พบว่าผู้บริโภคมีความสับสนจริง และถ้ามีฉลากที่ระบุชัดว่ามีนมสดเท่าไหร่ ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งยินดีจ่ายแพงขึ้นให้กับผลิตภัณฑ์แบบนั้น
งานวิจัยดังกล่าวสำรวจผู้บริโภค 540 คนในกรุงเทพฯ พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่รับรู้ว่าฉลากในตลาดไทย ‘ไม่ชัดเจนว่ากล่องไหนคือนมสดจริงๆ’ และ 84 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถาม เห็นด้วยกับแนวคิดการแยกตลาดระหว่างนมสดกับนมผสม ขณะที่ 98.5 เปอร์เซ็นต์เห็นด้วยกับการมีฉลากที่บอกชัดว่าเป็นนมสด 100 เปอร์เซ็นต์
ในด้านราคากลางน้ำนมดิบที่รัฐบาลประกาศ และเพิ่งปรับขึ้นเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว เป็นราคาที่ธิติมองว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ ‘พออยู่ได้’ หากขายได้ตามราคานี้ แต่สำหรับเกษตรกรที่สังกัดศูนย์นมที่ไม่มีผู้ซื้อ หรือได้ MOU ไม่เต็ม พวกเขากลับถูกกดราคาเหลือเพียง 15-17 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเขาย้ำว่าอยู่ไม่ได้จริงๆ และเริ่มเห็นคนเลิกเลี้ยงวัวมากขึ้น
รวมกลุ่มให้สหกรณ์หรือศูนย์นมแปรรูปแทน เพื่อลดภาระของรายย่อย
ธิติเลยเลือกเล่าชีวิตประจำวันของเกษตรกรรายย่อยให้เห็นภาพว่า “ตื่นตี 5-6 โมงเช้า เริ่มรีดนม รีดเสร็จ 7 โมงต้องรีบขนนมไปส่งศูนย์รวมนม อีกคนในบ้านต้องให้อาหารวัวรอ ประมาณ 11 โมงถึงจะได้กินข้าวมื้อแรกของวัน พอเที่ยงต้องออกไปตัดหญ้าเพราะไม่มีเงินซื้ออาหารหยาบแบบฟาร์มใหญ่ บ่ายสามเริ่มรีดนมรอบเย็น เสร็จแล้วล้างถัง ส่งนม ปิดงานจริงๆ ราว 6 โมงเย็น”
ในตารางชีวิตแบบนี้ เขาบอกว่าปัญหาชัดมากคือ “ไม่มีเวลาเหลือแล้วที่จะไปแปรรูปนมเอง ทำการตลาดเอง”
ส่วนฟาร์มที่มีวัวมากขึ้น มีลูกจ้างบ้าง ก็เจอข้อจำกัดใหม่ หากสังกัดสหกรณ์ บางแห่งมีกฎห้ามแปรรูปขายแข่งกับสหกรณ์ หรือบางแห่งอนุญาตแต่ปริมาณที่ขายได้ก็ไม่พอเลี้ยงตัวเองอยู่ดี

ยิ่งไปกว่านั้น การจะบรรจุนมขายให้ได้มาตรฐานตลาดทั่วไป ไม่ใช่แค่ต้มนมแล้วกรอกใส่ขวด ต้องมีระบบพาสเจอร์ไรส์ เครื่องโฮโมจิไนซ์ ระบบท่อและทำความเย็น รวมถึงมาตรฐานสุขอนามัยต่างๆ ที่ต้องลงทุนหลักสิบถึงยี่สิบล้านบาทในการตั้งโรงงานหนึ่งแห่ง และแม้จะลงทุนได้ ปัญหาต่อมาคือยอดขายต่อวัน
นมไม่ได้เป็นสินค้ามาร์จินสูง หากโรงงานเล็กๆ จะคุ้มต้นทุน ก็ต้องขายได้อย่างน้อยวันละราว 200 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งในความเป็นจริงยอดขายในหลายพื้นที่ขึ้นลงตามฤดูกาลและกำลังซื้อ
ธิติเลยสรุปว่า “นมไม่ใช่สินค้ามาร์จินสูง ถ้าคุณตั้งโรงงานเล็กๆ แล้วขายได้ไม่ถึงสเกล วันหนึ่งก็เจ็บตัวเยอะเหมือนกัน”
“ทางออกที่เป็นจริงจึงไม่ใช่การให้เกษตรกรทุกคนทำแบรนด์เอง แต่คือการรวมกลุ่มกัน ให้ศูนย์รวมน้ำนมสหกรณ์ หรือโรงงานเอกชนเป็นคนแปรรูปแทน มากกว่าจะกระจายภาระทั้งหมดให้ฟาร์มรายย่อย”
ช่วยรายย่อยให้รอดไม่พอ ต้องช่วยให้โตขึ้นด้วย
เวลาพูดถึงนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร ภาพที่มักผุดขึ้นมาคือรัฐช่วย ‘คนตัวเล็ก’ ไม่ให้ล้มในวันนี้ แต่กรรมการสมาคมโคนมก้าวหน้าเสนอว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนกรอบคิด
“ถ้ารัฐยังคิดแต่ว่าต้องช่วยรายย่อยให้รอดในสภาพ ‘รายย่อยแบบเดิม’ ไปตลอด ผมว่ามันมาผิดทาง เราน่าจะต้องมองว่า จะทำยังไงให้รายย่อยวันนี้ ขยับขึ้นมาเป็นรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่ ได้มากกว่า”
เขายกตัวอย่างประเทศจีนตอนใต้ที่มีสภาพอากาศร้อนชื้นคล้ายไทย หรือแม้แต่ไต้หวัน ฟาร์มจำนวนมากสามารถผลิตน้ำนมได้เฉลี่ย 25 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ขณะที่ไทยยังอยู่ราว 12 กิโลกรัมต่อตัว เมื่อน้ำนมต่อวัวต่ำ ต้นทุนต่อน้ำนมหนึ่งกิโลจึงสูงตามไปด้วย
ในสมาคมโคนมก้าวหน้าเองมีฟาร์มสมาชิกที่ทำได้เฉลี่ย 18-25 กิโลกรัมต่อตัวต่อวันอยู่แล้ว แสดงว่า “เราทำได้” เพียงแต่ต้องขยายความรู้และการสนับสนุนให้กระจายออกไป
ธิติเสนอว่าภาครัฐควรเก็บตัวอย่างจากฟาร์มที่ทำได้ดีเหล่านี้ ถอดบทเรียนทั้งเรื่องการจัดการ การให้อาหาร การเงิน และการใช้แรงงาน แล้วทำเป็น ‘คู่มือ’ หรือ ‘แผนพัฒนา’ ที่ใช้เป็นบันไดให้เกษตรกรรู้ว่า ถ้าอยากขยับจากรายย่อยขึ้นมาเป็นรายกลาง ต้องปรับอะไร ลงทุนอะไรบ้าง

อีกตัวแปรสำคัญคือต้นทุนเทคโนโลยี วัวนมเป็นอาชีพที่ต้องใช้เทคโนโลยีช่วย ทั้งระบบให้อาหารอัตโนมัติ เครื่องรีดนม ระบบจัดการฟาร์ม ฯลฯ ซึ่งเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ลงทุนเองไม่ไหว
รุ่นพี่ในภูมิภาคอย่างไต้หวันมีนโยบายชัดเจนในบางปี เช่น ประกาศว่าปีนั้นจะสนับสนุนการพัฒนาระบบให้อาหารอัจฉริยะ ใครสนใจให้เขียนข้อเสนอมา รัฐช่วยออกให้ 20-50% ที่เหลือฟาร์มลงทุนเอง โมเดลแบบนี้ ธิติคิดว่าไทยก็สามารถทำได้ เช่น วางบันไดพัฒนาจากรายย่อยไปสู่รายกลาง และใช้เครื่องมืออย่างสินเชื่อที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) หรือ เงินอุดหนุน (subsidy) ช่วยให้เกษตรกรขึ้นบันไดแต่ละขั้นได้จริง
เขายังชี้ไปถึงอีกจุดที่คนทั่วไปแทบไม่รู้ คือเรื่อง ‘พันธุกรรมวัวและฐานข้อมูลระดับชาติ’
“ในหลายประเทศ วัวทุกตัวมีหมายเลขประจำตัว สามารถติดตามได้ว่าตัวไหนอยู่ฟาร์มไหน จังหวัดอะไร เคยย้ายฟาร์มไปไหน ผลผลิตเท่าไหร่ สุขภาพเป็นอย่างไร ข้อมูลนี้ถูกใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ เพื่อหาวัวที่เหมาะที่สุดกับสภาพแวดล้อมของประเทศตนเอง”
ในไทยมีจำนวนวัวไม่น้อย แต่ระบบลงทะเบียนและ tracking ยังแทบไม่มี ธิติมองว่าถ้าภาครัฐสร้างฐานข้อมูลโคนมทั้งประเทศ เราจะรู้ว่าวัวตัวไหนให้ผลผลิตดี ทนร้อน ทนโรค สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ให้เหมาะกับ ‘สภาพการเลี้ยงแบบไทย’ เป้าหมายคือให้ได้โคนมที่ให้ปริมาณนมสูงสุด โดยเกษตรกรยังทำกำไรได้ในบริบทของเรา
เขายอมรับว่านี่เป็นงานระยะยาว ที่อาจใช้เวลานานเกินวาระของรัฐมนตรีหรืออธิบดีหนึ่งคน แต่ถ้าไม่เริ่มทำสักที ไทยก็จะยิ่งเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม ที่วันนี้ผลิตนมได้ 35-40 กิโลกรัมต่อตัวต่อวัน ฟาร์มที่ทำเฉลี่ย 30 กิโลก็มี ขณะที่ไทยอยู่ที่ 12 กิโลต่อตัว
“ต้องใช้วัวไทย 3 ตัวสู้กับวัวเขา 1 ตัว” และถ้าไม่เริ่ม วันนี้นมผงอาจเป็นแค่จุดเริ่มต้น ในอนาคตอาจมีการขนนมสดเข้ามาแข่งด้วยก็เป็นได้
ถึงเวลาที่คนเลี้ยงวัวนมไทย ไม่อยู่ในสภาพรายย่อยไปตลอดชีวิต
ในฝั่งอุตสาหกรรม เรามักเห็นโฆษณาของแทบทุกแบรนด์เล่าเรื่อง ‘นมสดจากฟาร์มเกษตรกรไทย’ เพื่อสร้างภาพว่าเกื้อหนุนต้นน้ำ แต่เมื่อมองตัวเลขนมล้น 250 ตันต่อวัน ธิติชี้ว่าในจำนวนนี้ ส่วนที่ถูกเททิ้งจริงๆ อาจอยู่ราว 30-50 ตัน ที่เหลือถูกซื้อไปแล้ว แปลว่าโรงงานสามารถซื้อได้ แต่คำถามคือซื้อในเงื่อนไขแบบไหน และในราคาที่แฟร์กับเกษตรกรมากน้อยเพียงใด
เขาไม่ได้โจมตีโรงงานตรงๆ แต่ชวนตั้งคำถามว่า ถ้าอุตสาหกรรมเห็นจริงๆ ว่า ‘นมสดมี value’ โรงงานอาจทำอะไรได้มากกว่าแค่เล่าเรื่องในโฆษณา ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการใช้นมสดในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ผลิตอยู่แล้ว และการทำฉลากให้โปร่งใสว่า หนึ่งกล่องใส่นมสดเท่าไหร่ ใส่นมผงเท่าไหร่

ฝั่งภาครัฐ สมาคมโคนมก้าวหน้าได้ยื่นข้อเสนอทั้งระยะสั้นและระยะยาวแล้ว ระยะสั้นคือการทบทวนเกณฑ์นมโรงเรียนที่มีผลต่อโครงสร้างตลาด เพราะนมโรงเรียนปริมาณ 900 ตันต่อวันคิดเป็น 30 เปอร์เซ็นต์ของน้ำนมดิบทั้งประเทศ หากบริหารดี ก็สามารถเป็นกันชนสำคัญในภาวะนมล้นได้
ส่วนระยะยาวคือการยกระดับฟาร์มผ่านคู่มือเครื่องมืออย่างสินเชื่อที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือเงินอุดหนุนเทคโนโลยี และการสร้างระบบข้อมูลโคนมทั้งประเทศอย่างจริงจัง
ในฝั่งผู้บริโภค ธิติตอบแบบตรงไปตรงมาว่า “สิ่งที่ทำได้ทันทีคือการเลือกซื้อนมที่เขียนชัดว่า ‘นมโคสดแท้ 100%’ ซึ่งเกือบทุกแบรนด์มีผลิตภัณฑ์ประเภทนี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มนมรสจืด
การเลือกแบบนี้คือการส่งสัญญาณไปยังตลาดว่า “ผู้บริโภคให้คุณค่ากับนมสดจากฟาร์มไทยจริงๆ” เขายังยืนยันว่าในแง่คุณภาพ นมไทยสู้ได้ในระดับโลก ทั้งในแง่ไขมัน โปรตีน และค่าจำนวนโซมาติกเซลล์ที่สะท้อนสุขภาพเต้านมและความสะอาดของน้ำนม รวมถึงการควบคุมมาตรฐานที่กำหนดให้นมทุกลิตรต้องถูกลดอุณหภูมิลงภายใน 2 ชั่วโมง และถูกสุ่มตรวจเข้มงวดจากโรงงานตลอด
“ปริมาณนมต่อหัวสู้ต่างประเทศไม่ได้ แต่เรื่องคุณภาพ เราสู้ได้แน่นอนครับ” เขาทิ้งท้าย
อ้างอิงจาก
ณัฐพงศ์ พูลยรัตน์, ยชญ์ สริวรรณ และ ณัฐวุฒิ รัตนญู. (2562). การรับรู้ข้อมูลฉลากนมโคสด และความเต็มใจจ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทย. คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.