“สื่อต้องทำงานเลยไปก้าวสองก้าวมากกว่าสังคม แต่ตอนนี้สื่อทำงานเท่ากับสังคม สังคมเป็นอย่างไรสื่อเป็นแบบนั้น” นุ๊ก ผู้ร่วมก่อตั้ง TransEqaul กล่าว
ปัจจุบันสื่อถูกนำเสนอในด้านเนื้อหาและช่องทางที่หลากหลาย แต่หนึ่งในความท้าทายในการเสนอประเด็นสิทธิความหลากหลายทางเพศกับสื่อมวลชนนั้นคือ ยังมีการนำเสนอภาพเหมารวม อคติ ตีตรา และผลิตซ้ำความเกลียดชัง
จนนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและความรุนแรงอันมาจากความแตกต่างทางเพศ ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดเครื่องมือและขาดพื้นที่สื่อ ในการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างสื่อและผู้บริโภค
ดังนั้นแม้ว่าสังคมไทยจะยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้นแล้ว แต่ในปัจจุบันยังมีการรายงานข่าว ที่สร้างภาพจำที่ไม่ดีให้แก่คนกลุ่มนี้ เช่นกับผู้ที่เป็น ‘ทอม’ หรืออาจมีลักษณะที่เหมือนทอมในสายตาของสื่อ ด้วยการระบุว่าเป็น “ทอมโหด” “ทอมหึงแรง” “ทอมโรคจิต“ ผ่านการนำเสนอข่าว
The MATTER จึงพูดคุยกับผู้ที่ได้รับผลกระทบทางตรง และทางอ้อมจากการเลือกปฏิบัติจากสังคมเนื่องจากเพศสภาพ รวมถึงข้อเสนอในการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขามีต่อสื่อ เพื่อลดอคติและการตีตราเพศหลากหลาย
*บทความชิ้นนี้ถูกผลิตขึ้นจากการเข้าร่วม UNDP Media Fellowship on Sustainable Development
ชีวิตของทอมกระทบ เพราะการเสนอภาพจำของสื่อ

อ้อย–ณัฐธยา เดชดี
อ้อย–ณัฐธยา เดชดี คณะทำงานและผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายทอม ผู้ชายข้ามเพศ นอนไบนารี่ เพื่อความเท่าเทียม (TransEqual) กล่าวว่า สำหรับเขาแล้ว คำเช่น ทอมหึงโหด ทอมหลอกลวง มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขาเหมือนกัน
เขาเคยได้ยินประโยคที่คนใกล้ตัวแฟนพูดกับแฟนว่า “ระวังนะเว้ย มันจะมาหลอกลวงนะ” ซึ่งสำหรับอ้อยแล้วข้อความลักษณะนี้ปรากฏอยู่ในสื่อ จนนำไปสู่การเหมารวมว่า ‘ทอมต้องเป็นแบบนี้ทุกคน’
“พี่คิดว่ามันมีผลต่อความรู้สึก เพราะต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ เหนื่อยเหมือนกันสำหรับคนที่เป็นทอม แต่ว่าพี่พยายามไม่พิสูจน์ พยายามเป็นตัวเอง แต่ยอมรับว่ามันมีผลกระทบ”
อ้อยเล่าต่อว่า แม้แต่การลงพื้นที่เพื่อทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ ก็ได้ยินเรื่องแบบนี้เหมือนกัน “ระวังนะเดี๋ยวโดนสาวหลอก เงินเดือนเก็บๆ ไว้บ้าง” ซึ่งคนที่พูดกับเรา ทำงานเกี่ยวกับประเด็นสิทธิและความหลากหลาย
ขณะเดียวกัน เนื้อทอง ทำงานเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์บริษัทไอทีแห่งหนึ่ง ก็เล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดจากภาพจำที่สังคมมีต่อทอมว่า
“อย่างแรกเลย เราไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองเป็นทอม เราเพิ่งนิยามตัวเองทอม พูดว่าตัวเองเป็นทอมได้อย่างเต็มปาก เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เอง เพราะตามประสบการณ์ที่เคยเจอมา คำว่าทอมสำหรับเรา มันคือคำที่โคตรเชิงลบ”
เราโดนล้อมาตั้งแต่เด็กว่าเป็นทอมหรือเปล่า โดนเพื่อนผู้ชายเรียกว่าทอม ทำให้เรากลัวมากที่จะนิยามตัวเองว่าเป็นทอม จนเราปฏิเสธในการจะเรียกตัวเองว่าทอม เราพยายามคิดว่าเราไม่เห็นเหมือนทอมเลยสักนิด นอกจากนี้ เนื้อทองยังเล่าว่า เธอมักถูกถามว่าทำไมไม่เลือกว่าจริงๆ แล้ว ตัวเองเป็นอะไรกันแน่ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ทำไมถึงครึ่งๆ กลางๆ
“เราไม่รู้ว่าเราควรจะไปอยู่จุดไหนดี จนไม่กล้าพูดหางเสียง ไม่กล้าพูดครับ ไม่กล้าพูดค่ะ ในสายตาผู้ใหญ่เรากลายเป็นคนที่ดูไม่มีสัมมาคารวะ แต่เราไม่รู้ว่าจะคำนิยามที่เหมาะกับตัวเราคืออะไร
“ประจวบกับการพาดหัวของสื่อ ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าทอมแม่งไม่ได้วะ กูไม่ใช่วะ ซึ่งมันสร้างผลกระทบกับเราจริงๆ เพราะเราเจอคนมองเข้ามาว่าเป็นพวกขี้หึง เป็นพวกรักแรง โกรธแรง”
เนื้อทองให้เหตุผลว่า เพราะการรายงานของสื่อ สามารถสร้างภาพจำ ที่กลายเป็นว่าความเป็นทอมต้องไปผูกติดหรือยึดโยงกับอะไรบางอย่างเสมอ โดยเฉพาะกับความรุนแรง หรือถ้าไม่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง ทอมก็ยังถูกพาดหัวอยู่ดี ซึ่งบางทีพอไปอ่านเนื้อข่าวจริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องระบุเพศก็ได้ สามารถระบุแค่ชื่อก็พอ เพราะเขาอาจแค่ตัดผมสั้น แต่ไม่ได้นิยามตัวเองว่าเป็นทอมหรือสาวหล่อ
คู่มือสำหรับสื่อมวชนในการรายงานข่าวด้วยมุมมองความยุติธรรมทางเพศและความละเอียดทางเพศ ระบุว่า สื่อด้านข่าวยังขาดความละเอียดอ่อนอันเกิดจากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับชายข้ามเพศที่จำกัด โดยมักใช้คำว่า ‘ทอม’ หรือ ‘สาวหล่อ’ เป็นฉายาในการเรียกชายข้ามเพศ
ในหลายกรณี สื่อยังตัดสินอัตลักษณ์ทางเพศของแหล่งข่าวจากลักษณะทางร่างกายหรือบุคลิกภาพ เช่น กรณีผู้หญิงตัดผมสั้น ผู้หญิงที่มีบุคลิกภาพห้าวๆ โดยมากสื่อมวลชนมักรีบเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ของความเป็นทอม ซึ่งอาจเป็นการสร้างภาพเหมารวมที่คลาดเคลื่อน
เนื้อทองกล่าวต่อว่า “คำนิยามมันมีหลากหลายมาก และหลายคนไม่ได้สบายใจที่ถูกนิยามว่าเป็นทอม ด้วยประวัติศาสตร์ของคำว่าทอม เราจึงรู้สึกว่าในข่าวยังพูดชื่อเขาออกมาได้ ยังพูดถึงเนื้อหาที่เป็นคีย์หลักสำคัญที่ไม่ต้องระบุเพศที่ยึดโยงกับบางอย่างได้ และทำไมการพาดหัวข่าวถึงทำแบบนั้นเหมือนกันไม่ได้”
สำหรับเธอแล้ว มันเกิดผลกระทบ เพราะทำให้ผู้คนจำว่าทอมต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ “แต่จริงๆ เรามีมากกว่านั้น ในสื่อเราอาจดูเป็นอาชญากร อาจดูเป็นเหยื่อของดี้บ้างบางครั้ง แต่ในชีวิตจริงทั่วไปเราก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีภาพแบบนั้น ไม่ต่างกับเพศชายหญิง”

นุ๊ก
นอกจากนี้ นุ๊ก ผู้ประสานงานและผู้ร่วมก่อตั้ง TransEqual และยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกลไกขับเคลื่อนสภาวะเพื่อคนข้ามเพศระดับชาติ ยังพูดคุยกับ The MATTER
นุ๊กเป็นชายข้ามเพศ ที่ก่อนหน้านี้เป็นทอมมาก่อน อย่างไรก็ตาม เขาระบุถึงผลกระทบของสื่อจากการเหมารวมทอมออกเป็น 2 ระดับว่า อันดับแรกคือ การกระทำ (action) ยกตัวอย่างเช่น ไม่ให้คบกับเพื่อนทอม หรือไม่ให้ลูกสาวคบกับแฟนที่เป็นทอม ซึ่งเราก็เคยเจอตอนเด็กๆ พ่อแม่ของเพื่อนบอกเพื่อนว่า “อย่าไปคบเพื่อนคนนี้ คบแล้วจะทำให้เป็นทอม”
หรือภาพลักษณ์ที่ว่า ทอมใช้แต่อารมณ์ไม่ใช้เหตุผล ก็ส่งผลทันทีเช่นกัน โดยมีเพื่อนคนหนึ่งของเขาเคยเล่าว่า ไปสมัครงานที่หนึ่ง แต่ไม่ได้งานเนื่องจาก HR ของที่ทำงานดังกล่าวบอกเหตุผลเพื่อนเราว่า ”คุณดีมากเลย แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ไหม เพราะกลัวว่าเข้าไปแล้ว จะไปต่อต้านนโยบายขององค์กร หรือเข้าไปสร้างความสัมพันธ์ มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในที่ทำงาน”
สำหรับนุ๊กมองว่า สิ่งนี้เป็น ‘มายาคติและอคติ’ ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงกับเพื่อนของเขา เพราะในความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละคน ไม่ใช่อัตลักษณ์ ซึ่งสอดคล้องกับระดับที่สองจากผลกระทบของสื่อ คือระดับทัศนคติ ที่ไม่เกิด action ตรงๆ แต่มันเกี่ยวข้องกับมายาคติ เช่น การรายงานข่าวทอมที่ถูกแฟนทิ้งว่า ‘สาวทอมป่วยจิต ทิ้งขยะกองโต เพราะเลิกกับแฟน เครียดไลฟ์สดตัดพ้อ’
เขาชี้ว่า เนื้อหาดังกล่าวมีกลิ่นอายของความผิดปกติอยู่ ทั้งนี้เราไม่ได้บอกว่าทอมต้องดีเลิศ เสนอข่าวไม่ดีไม่ได้ แต่เรามองว่ามันมีอีกหลายแง่มุมให้มองอยู่ ที่ไม่จำเป็นต้องเอาอัตลักษณ์มาผูกโยงกับบางสิ่ง เพราะการผูกโยงมันส่งผลอย่างชัดเจน
สื่อสามารถทำข่าวโดยไร้ซึ่งอคติ การตีตรา และการเหมารวม
อ้อยอยากให้สื่อมองว่า ไม่ว่าจะเป็นทอมดี้ เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ล้วนเป็นคนเหมือนกัน อยากให้มองคนที่ความเป็นคน ไม่ใช่วัตถุหรือสินค้า สื่อสามารถเล่าความจริงโดยที่ไม่ต้องมาแต่งเสริม ประดิษฐ์คำเพื่อให้เรื่องมันขายได้มากขึ้น
“พี่มองว่าสื่อมีต้นทุน มีเงินที่จะจ้างคนที่ทำงานขับเคลื่อนความหลากหลายทางเพศ มาอบรมคนที่จะเขียนข่าว ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่นักข่าวอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงผู้บริหาร เพราะถือว่ามีอำนาจและเป็นผู้นำในการนำเสนอข่าว”
อ้อย อธิบายว่า เนื่องจากในปัจจุบันก็ยังมีกลุ่มคนที่อยู่ห่างไกล ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มีกลุ่มคนหลากหลายทางเพศอยู่ พวกเขาจึงอาจไม่ได้ใส่ใจหรือรู้เรื่องราวเหล่านี้มากเท่าคนที่อยู่เมือง ดังนั้นสื่อต้องใช้คำให้ถูกต้องและไม่ตีตรา เพื่อสร้างความเข้าใจ และความตระหนักรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องเพศให้กับทุกคน
อ้อยปิดท้ายว่า “สื่อควรจะมีจริยธรรมมากกว่านี้ ในการนำเสนอทุกๆ ประเด็น ไม่ควรมองว่าคนหรือเหตุการณ์นั้นๆ เป็นสินค้า สำหรับการทำยอดหรือเป็นผลประโยชน์เท่านั้น”
ทางด้านเนื้อทอง ระบุว่า เวลาเกิดข่าวอาชญากรรม เกิดเหตุยิงกัน และในเหตุการณ์อาจมีคนเพศหลากหลายมาเกี่ยวข้อง สื่อก็มักจะนำเพศมาพาดหัวข่าว เช่น ชาย หญิง

อ้อย–ณัฐธยา เดชดี (ซ้าย) และ นุ๊ก (ขวา)
คู่มือสำหรับสื่อมวชนในการรายงานข่าวฯ ยังระบุแนวปฏิบัติสำหรับสื่อมวลชนว่า สื่อต้องไม่เชื่อมโยงอัตลักษณ์ทางเพศสภาพ และเพศวิถีของบุคคลในข่าวที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น เชื่อมโยงทอม เกย์ กะเทย บุคคลข้ามเพศ ฯลฯ กับข่าวอาชญากรรมต่างๆ ที่ไม่ได้มีปัจจัยด้านเพศสภาพ และเพศวิถีมาเกี่ยวข้อง ทำให้ข้อเท็จจริงในข่าวถูกบิดเบือน
ซึ่งสำหรับเนื้อทองแล้ว มันมีวิธีรูปแบบอื่นๆ อีก ในการพาดหัวข่าว อย่างระบุถึงเพียงว่า เกิดเหตุยิงกันที่แถวนี้ เนื่องจากการทะเลาะวิวาท การหึงหวง ก็อาจจะเพียงพอแล้ว โดยที่ข่าวสามารถคงข้อเท็จจริงและความน่าสนใจไว้ได้
เธอยกตัวอย่างข่าวที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นว่า ล่าสุดเกิดประเด็นสุนัขหายและมีการถกเถียงกันเรื่องเงินรางวัล ซึ่งคนที่เชื่อมโยงกับข่าวนี้ มีคนหนึ่งที่เป็นทอม
“อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาเป็นทอม เพราะเราอ่านข่าวแค่บางแหล่ง หรือฟังจากที่เพื่อนๆ เท่านั้น จนกระทั่งเราเห็นพาดหัวข่าวจากสื่อหนึ่งว่า สาวทอมโดนเบี้ยวเงิน เราจึงเพิ่งมารู้ว่า อ่อมีทอมอยู่ในนั้นด้วย” ในความเห็นเนื้อทองมองว่า เนื้อหาหลักของข่าวคือ คนเจอสุนัขและได้รับการสัญญาว่าจะได้รางวัลแต่กลับไม่ได้
“สำหรับเราเนื้อหาของข่าวนี้ที่เราควรจะได้รับควรมีเท่านี้ เพราะประเด็นของข่าวอยู่แค่ในกรอบข้างต้นนั้นเอง ในขณะที่เรื่องเพศ เช่น สาวทอม ผู้หญิง หนุ่ม ฯลฯ เป็นเพียงองค์ประกอบที่ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
“ลองพิจารณาเนื้อหาก่อน หากรู้สึกว่าการไม่ระบุเพศในพาดหัว ทำให้ข่าวดูไม่น่าสนใจเลย ไม่แน่ว่าข่าวนั้นอาจจะไม่น่าสนใจตั้งแต่แรก และไม่จำเป็นต้องนำมาเสนอก็ได้”
ทั้งนี้เธอย้ำว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าการใช้คำว่าทอม หรือ LGBTQ+ ในสื่อจะใช้ไม่ได้เลยนะ แต่ต้องดูก่อนว่ามันจำเป็นต้องใช้จริงๆ หรือเปล่า
“อยากให้สื่อมองว่า ประเด็นการระบุอัตลักษณ์ที่สร้างภาพจำที่ไม่ดี นั้นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่อยากให้มองเป็น เรื่องยุ่งยากหรือวุ่นวาย เพราะพวกเขาก็เป็นคน เป็นคนที่ใช้สื่อ เป็นคนที่คุณนำเรื่องราวไปตีแผ่เหมือนกัน และทำไมคุณถึงจะไม่ให้ความสำคัญกับเขาละ” เนื้อทองปิดท้าย
ส่วนนุ๊กเสนอความเห็นว่า หากสื่อไม่รู้เรื่องอัตลักษณ์ สื่อสามารถถามบุคคลที่สื่อจะทำข่าวได้เลย เพราะบางคนเขาอาจภูมิใจในอัตลักษณ์ตัวเองที่แตกต่างกันไป นุ๊กบอกว่า อย่างกะเทยหลายคนบอกว่า ไม่ต้องมาเรียกฉันว่า ผู้หญิงข้ามเพศ ฉันเป็นกะเทย หรือบางคนก็ภูมิใจที่ถูกเรียกว่าสาวสอง แม้แต่ทอมบางคนก็อาจรู้สึกสบายใจที่ถูกเรียกว่าทอม มากกว่า LGBTQ+
“เราเข้าใจที่สื่อบางเจ้าจะเกิดความกังวลและไม่กล้า เช่น ควรเขียนว่ากะเทยดีไหม จะเป็นการเหยียดหรือเปล่า ดังนั้นทำง่ายๆ เลย ถามองค์กรที่ทำงานเรื่องนี้ หรือถามคนที่เราจะทำข่าวเกี่ยวกับเขาเลยว่าควรใช้อัตลักษณ์อะไร”
การเสนอแนวทางข้างต้น สอดคล้องกับข้อมูลใน คู่มือการเลือกปฏิบัติงานสื่อในการเสนอประเด็นความหลากหลายทางเพศ ที่ระบุวิธีการเรียกบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศว่า
หากเนื้อหาที่จะนำเสนอจำเป็นต้องใส่อัตลักษณ์ของบุคคล ที่มีความหลากหลายทางเพศ และผู้นำเสนอมีความไม่แน่ใจ ก็ควรสอบถามผู้ให้ข้อมูลที่เป็นบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศนั่นว่า เขาต้องการที่จะให้เสนอตัวเขาอย่างไร หรือเขานิยามตัวเขาว่าอย่างไร
แต่ถ้าเนื้อหาที่จะนำเสนอไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นความหลากหลายทางเพศ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่รสนิยมทางเพศ อัตลักษณ์ของบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ เพียงแค่เรียกเขาด้วยชื่อเขาก็พอ
มุมมองของสื่อ

จ๊ะโอ๋–ณัฏฐ์อาภา ผ่องทิพาภรณ์
จ๊ะโอ๋–ณัฏฐ์อาภา ผ่องทิพาภรณ์ ทำงานเป็น Senior content creator ที่ TNN Online เริ่มต้นพูดคุยกับเราว่า จริงๆ แล้วเธอนิยามตัวเองว่าเป็น สาวหล่อ หรือ LGBTQ+ ไม่ค่อยชอบที่ถูกเรียกว่าทอม
เธอระบุสาเหตุว่า สมัยเด็กๆ เรารู้สึกว่าคำนี้ถูกใช้ในเชิง negative อย่างเรารู้จักคำนี้เพราะเพื่อนแถวบ้านแซวว่า “ทอมดี้ ทอมดี้” เพราะตอนนั้นเรากำลังเดินกับเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกัน ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทอมมันแปลว่าอะไร
“มันจึงเป็นที่คำที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่การแซวที่รุนแรงก็ตาม และพออยู่ช่วงมัธยมก็เริ่มได้ยินสรรพนามอื่นๆ มากขึ้น เช่น อีตุ๊ด อีกะเทย ซึ่งเราถูกเรียกเราว่าอีทอม ยิ่งทำให้เราไม่ชอบคำนี้ยิ่งขึ้นไปอีก” แต่ปัจจุบันเธอยอมรับว่า ไม่ได้ยี่หระกับคำนี้แล้วเท่าไรแล้ว
สัดส่วนทอมที่ทำงานในวงการข่าว

จ๊ะโอ๋–ณัฏฐ์อาภา ผ่องทิพาภรณ์
จ๊ะโอ๋รู้สึกว่าสำหรับเธอแล้ว ทอมที่เป็นผู้ประกาศข่าวแทบไม่มีเลย แต่อาจจะมีกลุ่มบุคคลเพศหลากหลายอื่นๆ มากกว่า โดยเฉพาะเกย์
ทั้งนี้เธอเล่าย้อนไปในช่วงที่เธอเพิ่งก้าวสู่วงการผู้ประกาศข่าวว่า เราไม่ได้เริ่มต้นด้วยการเป็นอย่างนี้ เริ่มแรกในการเป็นผู้ประกาศข่าว เราต้องใส่ส้นสูง กระโปรงสั้น แต่งหน้า ขนตางอน ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งที่เราอยากจะเป็น
“มันเหมือนกับว่าเราต้องใช้ความสามารถเพื่อเป็นใบเปิดทาง เลยต้องทนเก็บอัตลักษณ์ตัวเองไว้ก่อน เป็นผู้หญิงไปก่อน คิดว่าเอางานมาก่อน มีเงินมาก่อน”
จนช่วงปี 2021 จ๊ะโอ๋ถูกชักชวนให้ร่วมงานกับสำนักข่าวออนไลน์เจ้าหนึ่ง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นให้ได้เป็นตัวของตัวเองในวงการข่าว “เมื่อได้เป็นตัวเอง มันเป็นส่วนอย่างมากที่ทำให้ทำงานได้ดีและเป็นตัวเองยิ่งขึ้น”
จ๊ะโอ๋ ปิดท้ายว่า ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ไม่ควรปิดกั้นคนด้วยเรื่องเพศ ซึ่งถามว่าคนปิดกั้นบางทีผิดไหม ก็ไม่ผิด เพราะอาจจะไม่รู้หรือไม่เข้าใจ เนื่องด้วยรากเหง้าของสื่อในอดีตด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพาดหัวข่าวแรงๆ การนำเสนอ LGBTQ+ ในมุมที่ตลก ดราม่า ทอมหึงโหด หึงแรง ฆ่ากันตาย พอมันเป็นแบบนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่ทำให้สังคมยังคงมีชุดความคิดลักษณะนี้อยู่
แต่ยอมรับว่า ถ้ามองอย่างเป็นกลางดีกรีการรายงานข่าว ตามที่ยกตัวอย่างมีแนวโน้มที่ลดลง และปัจจุบันคนในสังคมส่วนใหญ่ก็มีชุดความคิดที่เปลี่ยนไปแล้วว่า ทอมไม่ต้องโหด ผู้ชาย หรือผู้หญิงก็โหดได้เหมือนกัน
“สำหรับเราถ้าตอนนี้สื่อไหนพาดหัวโดยไม่ให้เกียรติคน สื่อจะโดนแทน เพราะโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว” จ๊ะโอ๋ ระบุปิดท้าย
Photographer: Asadawut Boonlitsak, Channarong Aueudomchote
Graphic Designer: Manita Boonyong
Editor: Thanyawat Ippoodom
*บทความชิ้นนี้ถูกผลิตขึ้นจากการเข้าร่วม UNDP Media Fellowship on Sustainable Development