เมื่อศาสนาไม่ใช่เพียงที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ แต่กลับถูกใช้เป็นฉากบังความมืดมนของมนุษย์ภายใต้เงาแห่งผ้าเหลือง
ใครจะไปใคร่รู้ได้ว่า วัด สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งประตูด่านหน้าสู่การศึกษาโลกทางธรรม จะกลายเป็นสถานที่ก่อเหตุคดีฆาตกรรมอันแสนซับซ้อนซ่อนเงื่อน มีเพียงบรรดาพระสงฆ์บนเกาะเท่านั้น ที่สามารถพาไปสู่คำตอบของปริศนาทั้งหมดได้
*บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของหนังสือกาสักอังก์ฆาต*
กาสักอังก์ฆาต ผลงานแนวสืบสวนจากนักเขียนไทยนามว่า กิตติศักดิ์ คงคา บอกเล่าเรื่องราวของ ‘ศาสตราจารย์ซินแคลร์ หรือ ทิวกร’ อดีตนายแพทย์ผู้ผันตัวมาเป็นนักสืบ กับการต้องเผชิญเรื่องราวค้างคาในจิตใจ ก่อกำเนิดเป็นความรู้สึกผิด อันยากจะสลัดทิ้งได้ ทำให้เขาตัดสินใจละทางโลก เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เพื่อหวังให้ความรู้สึกมากมายสงบลง
ทว่าทิวกรกลับต้องไปเจอกับคดีฆาตกรรมแสนประหลาด เนื่องจากผู้ต้องสงสัยทุกคนถูกขังอยู่ในหอสำนึกตน แต่ผู้ตายดันเป็นผู้อยู่ข้างนอกคนเดียว นักสืบหนุ่มจึงต้องยืมมือพี่ชายฝาแฝดอย่าง ‘สารวัตรเดเมียน หรือ รติพล’ มาช่วยคลี่คลายคดีแสนซับซ้อนในครั้งนี้
ฆาตกรรมในห้องเปิดตาย
เมื่อคนเป็นถูกขังในห้องปิดตาย ส่วนคนตายดันอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง
ฟังดูแล้ว อาจเป็นเรื่องยากจะเชื่อได้ สำหรับใครที่เป็นแฟนนิยายแนวสืบสวนสอบสวนอยู่แล้ว คงคุ้นกับคำว่า ‘ฆาตกรรมในห้องปิดตาย’ เป็นอย่างดี เพราะถือเป็นหนึ่งในรูปแบบพล็อตดั้งเดิม ที่บรรดานักเขียนแนวดังกล่าวหลายคน ต่างก็หยิบขึ้นมาปรับใช้กันเสมอ
อย่างไรก็ดี ‘กาสักอังก์ฆาต’ เลือกทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป ด้วยการพลิกกลับด้านพล็อตที่คุ้นเคย ด้วยการขังคนเป็นเอาไว้ในห้องปิดตาย อันไร้ซึ่งทางออก แล้วเลือกนำผู้เสียชีวิตไปไว้ในพื้นที่ด้านนอกแทน
แม้จะเปิดโล่งและเต็มไปด้วยทางหนีทีไล่มากมาย ทว่ากลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากจะไขคดีหรือคาดเดาตัวคนร้ายได้ เพราะทุกคนที่คาดว่าจะเป็นคนร้าย ดันถูกขังเอาไว้อยู่ในหอสำนึกต้น ซึ่งถูกลงดาลประตูไว้จากภายนอก ส่วนด้านในมีเพียงช่องระบายอากาศเล็กๆ แม้แต่มือสักข้างจะเล็ดลอดออกไปก็ยังทำได้ยาก
การใช้เทคนิคห้องเปิดตาย ทำให้การดำเนินเรื่องสืบสวนภายในนิยายมีชั้นเชิงเพิ่มมากขึ้น แถมยังเป็นการช่วยเพิ่มความตื่นเต้นให้กับคนอ่านได้เป็นอย่างดี เพราะหากเป็นห้องปิดตายธรรมดา เชื่อได้ว่าแฟนสืบสวนหลายคนก็คงพอจะคาดเดาคำตอบกันได้ไม่ยาก ในทางกลับกัน พอเป็นห้องเปิดตาย การไขคดีจึงทวีความท้าทายและซับซ้อนขึ้น
ฉะนั้นแล้ว ทริคห้องเปิดตาย จึงไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อเรื่องของกาสักอังก์ฆาตเท่านั้น ทว่ามันเป็นจุดสำคัญ ซึ่งสามารถดึงดูดให้ผู้อ่านอย่างเราอยากพลิกหน้าถัดไปเรื่อยๆ เพื่อร่วมขบคิดและหาคำตอบของปริศนาว่า ใครที่สามารถออกจากห้องปิดตาย เพื่อไปก่อคดีฆาตกรรมได้ หรือแท้จริงแล้วจะเป็นฝีมือจากคนนอกเกาะกันแน่
ความไทยๆ ในงานสืบสวน
ไม่เพียงแต่พล็อตที่แปลกตา แต่กาสักอังก์ฆาตก็เป็นนิยายไทยเพียงหยิบมือท่ามกลางกองหนังสือนิยายสืบสวนสอบสวนมากมาย เมื่องานของคนไทยมีอยู่ในสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับที่อื่นๆ แต่ถ้าจะใช้คำว่า ‘น้อยแต่มาก’ ในการอธิบายถึงงานสืบสวนของไทย ก็คงไม่เกินจริงเท่าไหร่นัก
กาสักอังก์ฆาต คือหนึ่งในตัวอย่างอันแสดงภาพความหมายของวลีดังกล่าวให้เห็นชัดเจนได้เป็นอย่างดี เพราะนิยายเล่มนี้ถือเป็น นิยายสืบสวนของคนไทย ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวคดี ปริศนา และการสืบสวนออกมาได้อย่างครบองค์ประกอบ แต่ถึงอย่างนั้น ตัวนิยายกลับยังคงเคล้าคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายความเป็นไทยตลอดทั้งเรื่อง โดยสามารถนำเสนอรายละเอียดความไทยๆ ออกมาได้หลากมิติเลยทีเดียว
อันดับแรก ที่ผู้อ่านอย่างเราจะได้พบ เมื่อเข้าสู่โลกแห่งกาสักอังก์ฆาตคือ การใช้ชื่อทิศแบบไทยๆ ในการแทนชื่อตัวของพระแต่ละท่าน พร้อมกับบอกตำแหน่งที่ตั้งของกุฏิพระทั้งหมด ซึ่งจะตั้งอยู่แปดด้านตามชื่อทิศ ได้แก่ ทิศอุดร (ทิศเหนือ), ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก), ทิศทักษิณ (ทิศใต้), ทิศประจิม (ทิศตะวันตก), ทิศอีสาน (ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ), ทิศอาคเนย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้), ทิศพายัพ (ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ) และท้ายสุด ทิศหรดี (ทิศตะวันตกเฉียงใต้)
การใช้ชื่อทิศเหล่านี้เป็นตัวแทนชื่อหรือนามแฝงของแต่ละคน คล้ายคลึงกับนิยายสืบสวนเล่มดังหลายเล่ม ที่มักใช้โค้ดเนมเฉพาะกลุ่มในการเรียกกันเอง พอกลายเป็นชื่อแบบไทยๆ กลับกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญ อันชวนให้เราสามารถจดจำชื่อตัวละคร รวมถึงลักษณะของพระแต่ละท่านได้ง่ายมากขึ้น
นอกจากเรื่องทิศแบบไทยๆ แล้ว กาสักอังก์ฆาตยังได้ใช้มิติด้านภาษาไทยในการเป็นกุญแจสำคัญ สำหรับการไขไปสู่คำตอบของปริศนาที่ถูกซ่อนเอาไว้บนเกาะด้วยเช่นกัน อย่างการใช้คำในภาษาไทย เพื่อเป็นการบอกใบ้ให้แก่พระเอกนักสืบของเรา ซึ่งคำใบ้ทั้งหมดปรากฏอยู่ภายในหอสำนึกตน โดยมีทั้งหมด 8 คำ ตามทิศแต่ละทิศ ได้แก่ ‘สัตย์ แท้ แก้ ผ้า มุ สา ห่ม คลุม’
พอคำใบ้ต่างๆ เป็นภาษาไทยธรรมดาทั่วไป มันกลับช่วยดึงโลกของหนังสือให้เข้าใกล้กับผู้อ่านคนไทยอย่างเราให้มีส่วนร่วมในการไขคดีและปริศนาต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น เพราะคำเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคำที่เราต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
ดังนั้น คงไม่ผิดเท่าไหร่นัก หากจะบอกว่า การนำเสนอความไทยๆ เหล่านี้ผ่านตัวบท ทำให้เนื้อหาของนิยายไม่ออกห่างจากผู้อ่านมากเกินไป นำพาให้เราสามารถเชื่อมโยงเนื้อเรื่องและที่มาที่ไปขององค์ประกอบต่างๆ ภายในเรื่องได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ศาสนากับเรื่องราวการสืบสวน
เชื่อว่าแฟนนิยายสืบสวนหลายคนอาจเคยอ่านงานสืบสวนที่ใช้ศาสนาหรือความเชื่อมาเป็นองค์ประกอบหลักของเรื่องกันมาบ้าง ซึ่งคงต้องกล่าวตามตรงว่า การใช้มิติด้านด้านความเชื่อมาผสมผสานกับสไตล์งานแนวสืบสวนสอบสวน สามารถเพิ่มมุมมองและมิติของความเป็นมนุษย์เข้าไปในเนื้อเรื่องได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ซึ่งศาสนาและความเชื่อต่างๆ ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิตมนุษย์ เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวโยงกับชีวิตมนุษย์เราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จนมันแทบจะกลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมบางแห่งเสียด้วยซ้ำ แถมในบางครั้งศาสนา ก็ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับจุดประสงค์บางอย่าง สำหรับตอบสนองต่อการกระทำของตนเอง แม้เรื่องเหล่านั้นจะขัดต่อหลักของศาสนาก็ตาม
อย่างในเนื้อหาของกาสักอังก์ฆาต ที่นำเสนอเรื่องราวของพระสงฆ์บนเกาะร้างอันแสนห่างไกล ซึ่งพระเหล่านี้ต่างก็มีเรื่องราวซ่อนเอาไว้อยู่เบื้องหลัง ทั้งนี้ เมื่อพระนักสืบ (ทิวกร) ได้ขุดคุ้ยเรื่องราวไปเรื่อยๆ ก็ได้พบว่าพระบางรูปบนเกาะแห่งนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘คดีโจรกรรมทองคำในวันประชาธิปไตย’ อันเป็นคดีปริศนาเมื่อ 20 ปีก่อน ทองคำทั้งหมดที่ถูกปล้นมาหายไป พร้อมกับคนร้ายทั้ง 4 คนในคดีนี้ ก็ได้หายเข้ากลีบเมฆไปอย่างไร้ร่องรอย
การใส่องค์ประกอบเรื่องศาสนาพุทธและคดีดังกล่าว มาทับซ้อนกับคดีฆาตกรรมห้องเปิดตายในครั้งนี้ ทำให้ปริศนาเริ่มทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เพราะมีใครบางคนบนเกาะแห่งนี้ กำลังใช้ผ้าเหลืองซุกซ่อนความผิดบาปบางอย่างเอาไว้
ซึ่งการใช้ศาสนาสำหรับบังหน้าหรือปิดบังการกระทำอันผิดบาป ไม่ใช่เรื่องราวใหม่ชวนตลึงแต่อย่างใด เพราะในสังคมบ้านเรา ก็ปรากฏเรื่องราวในทำนองนี้อยู่บ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น ข่าวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รวบตัวหนุ่มไรเดอร์ ก่อเหตุฉกข้าวของในรถผู้อื่น แล้วไปหลบหนีไปบวช แต่ท้ายสุด ตำรวจสามารถรวบตัวได้คาผ้าเหลือง
ข่าวดังกล่าวสะท้อนให้เราเห็นว่า ศาสนาไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่ของผู้มีจิตศรัทธาเพียงอย่างเดียวต่อไปแล้ว เพราะยังมีอีกหลายคนเลือกใช้ศาสนาไปในทางที่ผิด จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การนำเอาศาสนาเข้ามาเป็นองค์ประกอบหนึ่งในเนื้อเรื่อง สามารถช่วยตีแผ่ความเป็นมนุษย์ออกมาได้ดีมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการดำเนินการไขคดีตามสไตล์งานสืบสวน ซึ่งช่วยเพิ่มน้ำหนักของเนื้อเรื่องและตัวละครให้สมจริง จนทำเอาผู้อ่านอย่างเราเชื่อตามไปกับเนื้อเรื่องของนิยาย
กาสักอังก์ฆาตจึงเป็นหนังสือสืบสวนสอบสวนอีกหนึ่งเล่ม ที่หากผู้อ่านอยากได้ทั้งความสนุกของเนื้อหา ความซับซ้อนของกลยุทธ์ และมิติความเป็นมนุษย์อันหลากหลาย ผ่านบริบทความไทยๆ ที่ใกล้ตัวเรา ก็สมควรอย่างยิ่งต่อการหยิบขึ้นมาอ่านกัน
อ้างอิงจาก