แสงแดดรำไร ใบไม้สีเขียว ลมอ่อนๆ เสียงครืดคราดของผืนหญ้าใต้เท้า รอยยิ้มของคนคนนึงจะสดใสขึ้นเพราะบริบทที่น่ารื่นรมย์ บรรยากาศดีๆ ทำให้การสัมผัสมือกันอ่อนโยนมากขึ้น มีห้วงเวลาให้เราซึมซับความรู้สึกของกันและกันอย่างเนิ่นนาน แช่มช้า
ความรักเป็นเรื่องที่ทั้งยากและง่าย แต่ส่วนใหญ่จะยาก ตกหลุมรักก่อน พยายามวิ่งตามหารัก ถักสานและรักษาความสัมพันธ์ไว้ในอีกสารพัดระยะ ในเรื่องรักจึงเต็มไปด้วยคำว่าพยายาม เป็นเรื่องของความพยายาม การไปไหว้ขอพรก็เป็นความพยายามหนึ่งของเหล่านักสู้ และแน่นอนในการเดท การค่อยๆ สร้างความรู้สึก เราต่างเข้าใจคำว่าความพยายามในเรื่องรัก เราทำทุกอย่างเพื่อสร้าง ‘เงื่อนไขของการตกหลุมรัก’ เพื่อให้รักของเราสมหวัง ให้การตกหลุมรักเกิดขึ้นซ้ำๆ ในทุกๆ ครั้งที่ได้เจอกัน
เราอยู่ในโลกที่ความพยายามเป็นของตัวเราเสมอ แต่เรื่อง ‘เงื่อนไขของการตกหลุมรัก’ เอาเข้าจริงบริบท และฉากหลังของเราก็เป็นสิ่งส่งเสริมความชอบพอ การสปาร์ก หรือโมเมนต์พิเศษ ทำให้การตกหลุมรักของเราง่ายขึ้น กรุงเทพฯ…จึงดูแล้วไม่ใช่เมืองที่จัดอยู่ในประเภทเมืองแห่งความรัก กรุงเทพเป็นดินแดนแห่งการดิ้นรน เป็นโลกของการอดทน เป็นที่ที่เราคอยระแวดระวัง แล้วเราจะเอาเวลาไหนไปหารัก เอาพื้นที่ไหนไปตกหลุมรักซึ่งกันและกัน คำพูดของพี่แหม่ม-วีรพร นิติประภาก็เลยแสนจะตรงเป้าว่า “กรุงเทพเป็นเมืองที่ไม่โรแมนติกเอาซะเลย”
ใช่มั้ยล่ะ การจะตกหลุมรัก ถ้าเรามีที่ให้เดินจูงมือ มีหญ้าสวยๆ ให้ได้ลงนอนแล้วแหงนหน้ามองฟ้าด้วยกัน มีพื้นที่ให้ไปเจอกับคนใหม่ๆ หรือกระทั่งมีเมืองที่ดีที่เราไม่ต้องใช้ชีวิตทนทานไปกับการเดินทาง ต้องมัธยัสถ์ทั้งเงินทั้งเวลาที่ล้วนเกิดจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เป็นเมืองที่อนุญาตให้เรามีชีวิตส่วนตัว มีเวลาดูแลตัวเอง มีเวลาไปใช้ชีวิต
วิทยาศาสตร์ของการตกหลุมรักและพื้นที่สาธารณะ
วันว่างๆ เราไปห้าง ส่วนหนึ่งคือเราไม่มีที่ไหนให้ไป เรามีสวนสาธารณะไม่มาก และไม่ค่อยหลากหลาย พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด หอศิลป์ ก็มีน้อยแสนน้อย แน่นอนว่าพื้นที่สาธารณะอันหมายถึงพื้นที่สำหรับสันทนาการประเภทต่างๆ และเป็นที่ที่เราออกจากพื้นที่ส่วนตัว ไปใช้เวลาว่าง หรือไม่ว่างทำกิจกรรมต่างๆ ดังนั้นแล้วฟังก์ชั่นของพื้นที่สาธารณะจึงสัมพันธ์กับการสานสัมพันธ์ของผู้คน คือเป็นทั้งที่ที่เราไปใช้เวลาอย่างมีคุณภาพ และเป็นที่ที่เราไปเจอกับคนอื่น ไปมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
พื้นที่สาธารณะจึงสัมพันธ์กับความโรแมนติกอย่างยิ่งยวด เวลาเราไปบางประเทศที่มีสวนสวยๆ มีพื้นที่พิเศษๆ มีทางเดิน มีหมู่พิพิธภัณฑ์คลอไปกับเงาไม้ ดอกไม้ มีบรรยากาศที่รื่นรม ทั้งหมดเราก็พอเข้าใจเลยทำไมเราถึงรู้สึกตกหลุมรักกันง่ายกว่า ถ้าใกล้ตัวขึ้นมาหน่อยถ้าเราสังเกตซีรีส์เกาหลี ไม่ว่าพระเอกจะเป็นนักธุรกิจเบอร์ใหญ่แค่ไหน เราก็จะเห็นภาพการไปเดท ไปเดินจูงมือ กินขนมข้างทาง ริมแม่น้ำบ้าง ในสวนบ้าง (ซึ่งเดาว่าทั้งหมดนั้นอาจจะเป็นทิศทาง soft power ที่ให้ภาพพื้นที่กรุงโซลอันเป็นพื้นที่ของคนรุ่นใหม่ ของความสวยงามที่เหมาะกับการเติบโตทั้งเรื่องรักและตัวตน)
ในสหรัฐเอง สวนก็เป็นอีกที่ที่นอกจากต้นไม้จะผลิบานแล้ว ความรักก็ผลิบานด้วย ด้วยแรงบันดาลใจนี้ก็เลยเกิดเป็นหนังสือชื่อ Heart of the City หนังสือที่ Ariel Sabar ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจจากพบรักของพ่อแม่ที่จากคนแปลกหน้าที่บังเอิญเจอกันในสวน Washington Square Park ผ้เขียนเลยเชื่อว่าสวนและพื้นที่สาธารณะอื่นๆ นี่แหละคือหัวใจ และมีแกนกลางที่จะทำให้คนตกหลุมรักกันได้
หนังสือหัวใจของมหานครเป็นการไปควานหาและรวมเรื่องราวของคู่รักที่ตกหลุมรักที่เกิดขึ้นในพื้นที่สาธารณะสำคัญของนิวยอร์ก ในหนังสือไม่ได้หมายถึงแค่สวนสาธารณะเท่านั้น แต่หมายพื้นที่อื่นๆ ด้วย ความพิเศษของหนังสือเล่มนี้คือ การพูดถึงความสำคัญของสถานที่เราจะเจอคู่ครองของเราได้ ไม่แน่ใจถ้าเป็นบ้านเราอาจจะเป็นลานหน้าพระตรีฯ ตัวอย่างหนึ่งคือการตกหลุมรัก เช่น ในพิพิธภัณฑ์ MOMA พิพิธภัณฑ์ร่วมสมัยสำคัญของนิวยอร์กและของโลก
นึกภาพว่าถ้าเราเจอใครซักคน ซึ่งการที่เราไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย แปลว่าเราสนใจงานประเภทหนึ่ง และการได้เจออีกคนที่ชอบเหมือนๆ กับเรา สนอกสนใจและชอบสิ่งที่คล้ายกับเรา ได้เห็นแพชชั่นของคนคนนั้นในดวงตาที่เป็นประกาย คุณเอ้ย คุณจะไม่หลงคนคนนั้นหรอ และนี่แหละคือส่วนหนึ่งของสถานที่ที่จะทำให้พบเจอคู่รักและเอื้อให้เราตกหลุมรักกันได้
เอาจริง เราอาจรู้สึกว่าฉากรักในหนังรักมันเป็นไปไม่ได้ แต่การตกหลุมรักบางทีเป็นยิ่งกว่านั้น เมืองและพื้นที่ที่เอื้ออำนวยนี่แหละก็จะช่วยให้เกิดจังหวะดีๆ ได้ เช่น ในหนังสือพูดถึงตั้งแต่ปี ค.ศ.1941 ที่ตอนนั้นเซ็นทรัลพาร์กก็ยังไม่เป็นเหมือนทุกวันนี้ ในยุคนั้นก็มีกาละสีเพิ่งเข้าเมืองมาหาฝันจากเท็กซัส จนเวรี่จนและใช้เวลาเดินพักผ่อนอยู่ในเซ็นทรัลพาร์ก เดินไปเดินมาก็เจอสาวร่างผอมกำลังพยายามจุดบุหรี่อยู่ใต้สะพาน นี่มันป็อบอายและโอลีฟในชีวิตจริง
เงื่อนไขของเมืองที่เอื้อให้เรารัก
เมืองที่เราจะตกหลุมรัก หรือเมืองอันโรแมนติกนั้น จะว่าง่ายก็ง่าย ยากก็ยาก อย่าง่ายที่สุดก็คือการเป็นเมืองที่ดีในหลายๆ องค์ประกอบ พอพูดแบบนี้ก็เลยฟังดูยากเพราะต้องดีในหลายปัจจัย แต่เอาเป็นว่าถ้าเมืองมันดีกับมนุษย์ กับคนที่อยู่อาศัย มันก็จะเป็นเมืองที่โรแมนติกขึ้นมาเอง
ในบทความของ แอนโทนี่ ฟอซซี่ (Anthony Fossi) ในเว็บไซต์ของ WHA สตูดิโอออกแบบทั้งผังเมืองและสถถาปัตยกรรมก็พูดถึงเมืองที่จะโรแมนติกและส่งเสริมให้รัรกกันได้ว่าสัมพันธ์กับองค์ประกอบแทบทุกด้าน นอกจากประวัติศาสตร์และแลนมาร์กของเมืองนั้นแล้ว ยังเกี่ยวกับว่าเมืองนั้นเดินได้มั้ย มี ‘เท็กเจอร์’ หรือรายละเอียดอย่างไร
ในเงื่อนไขทั่วไปเช่นว่าเมืองนั้นเดินได้มั้ยอันนี้สำคัญมาก แน่นอนกรุงเทพเราเดินไม่ได้ เมื่อเราเดินไม่ได้เราก็ต้องอาศัยรถ การเดินในเมืองได้นั้นนำไปสู่ความช้า และในความรัก การตกหลุมรักเราต้องการการเดินช้าๆ เพื่อค่อยๆ เรียนรู้พื้นที่รอบๆ เส้นทาง พร้อมๆ กับการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ในขณะที่พื้นผิวของเมืองนั้นก็ย่อมส่งเสริมบรรยากาศให้เราได้ฏิสัมพันธ์กันว่า เอ้อ เมืองมันออกแบบให้เรามีกิจกรรมที่ดีไหม มีเก้าอี้ ม้านั่ง แสงไฟ ความรู้สึกปลอดภัยหรือกระทั่งมีกลิ่น มีรสชาติ มีรายละเอียดอื่นๆ ให้เราละเลียดไปพร้อมๆ กันรึเปล่า
เงื่อนไขอื่นๆ เอาเข้าจริงกรุงเทพค่อนข้างเข้าข่ายเมืองโรแมนติกได้ทั้งประวัติศาสตร์ การมีแลนมาร์กที่ต่างๆ ชุมชนที่รุ่มรวย ซึ่งแน่นอนว่าเมืองที่ดีที่โรแมนติกจะมีแค่อาคารสถานที่ไม่ได้ แต่คือการเชื่อมโยงเนื้อเมืองต่างๆ เข้าหากัน การเชื่อมโยงที่มีคนเป็นศูนย์กลางของกิจกรรม ของความเคลื่อนไหวของเมืองนั้น ซึ่งก็จะโยงกันโดยมีสาธารณูปโภคของภาครัฐเข้ามาเป็นตัวเชื่อมสำคัญทั้งถนน ทางเท้า สวน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ รถเมล์ รถไฟ และอื่นๆ อีกสารพัดที่จะเชื่อมให้เนื้อเมืองของเรามีรสหวานซึ่งก็หวานส่งมาที่ชีวิตของเราได้
นอกจากตัวเมืองที่ควรจะโรแมนติกได้ คือเป็นเมืองที่มีที่ให้เราได้หาช่องให้ผลักคนอื่นตกลงไปในหลุมรักของเราให้ง่ายขึ้นมาหน่อย ไม่ใช่ว่าต้องพยายามอยู่ฝ่ายเดียว มีฉากหวานๆ มีถนนหนทางดีๆ มีพื้นที่ที่รองรับกิจกรรม ไลฟ์สไตล์หลายๆ แบบ เผื่อจะได้เจอคนอื่นขึ้นมากบ้าง
นอกจากเงื่อนไขเรื่องบรรยากาศและกิจกรรมแล้ว เมืองที่ไม่ดีคือเมืองที่เราเหนื่อย เป็นเมืองที่เราใช้เวลา แรง และเงินไปกับอะไรก็ไม่รู้อยู่ทุกวัน เป็นเมืองที่แค่จะกลับบ้านแล้วอาจต้องรอจนรถว่างไปโน่นเลยสองทุ่ม เป็นเมืองที่ถ้าผิดพลาด คนกรุงเทพอย่างเราต้องจ่ายเป็นเวลาจำนวนมหาศาล เป็นเมืองที่แค่คิดว่าจะถึงบ้านยังไงโดยที่ไม่สบักสบอม
เนี่ย แล้วเป็นแบบเนี้ย จะเอาแรง เอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน ไปเดท เราไม่มีเวลาว่างช่วงเย็น ช่วงค่ำ ไม่เหลือแรงที่จะไปออกเดท ทางเท้าเดินไม่ได้ก็นั่งรถ สวนก็ไม่มีให้ออกกำลัง ดูแลตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ไปไหนก็ไปห้าง ก็กินเยอะอีก อ้วนอีก ลืมตามาอีกทีก็คือโทรม แก่ และแทบจะเลยวัยไปแล้ว
เนี่ย โลกมันยากอยู่แล้ว ถือว่าช่วยๆ กันนะ ช่วยกันสร้างเงื่อนไขให้หารักดีได้ง่ายขึ้นหน่อย ความรักที่ดี ใครๆ ก็อยากมี นะ ช่วยหน่อย
อ้างอิงข้อมูลจาก