ภาพบันไดกลางเมฆฟุ้งปลายทางสู่สวรรค์ คนบาปแน่นขนัดรอรับการลงทัณฑ์ในนรก หรือภาพตัดดับวูบไปเหมือนปิดสวิตช์ เรามองโลกหลังความตายเป็นแบบไหนกัน?
ในวันที่เราใช้ชีวิต เรามองอาจหวนนึกถึงอดีตบ้าง แต่ไม่ลืมจะมองไปถึงวันข้างหน้าเสมอ อาจสั้นถึงแค่ข้าวมื้อหน้าอยากจะกินอะไร หรือไกลไปถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
เมื่อจั่วไพ่วาระสุดท้ายขึ้นมา หลายคนพลันนึกถึงวินาทีที่ต้องจากไป ตายแบบไหนจึงจะไม่เจ็บปวด จัดงานศพแบบไหนให้ไม่ลำบากคนที่ยังอยู่ อีกสารพันความฟุ้งฝันที่เรายังมีโอกาสนึกได้ เพราะยังคงสถานะคนเป็น เช่นเดียวกับที่เราเลือกใช้ชีวิตที่ผ่านมา
แต่เมื่อเราก้าวพ้นเส้นความเป็นความตาย มันกลายเป็นเรื่องที่เราต่างยังฉงนสงสัย ราวกับเป็นดินแดนเร้นลับที่ยังไม่มีใครหาคำตอบได้ ว่าโลกหลังความตายมันมีอยู่จริงไหม หากมีอยู่มันจะหน้าตาแบบไหน ดำเนินต่อไปอย่างไร หรือมันจะไม่มีอะไรรอเราหลังจากนั้นเลยกันแน่
ไม่ว่าเราจะมีคำตอบในใจเป็นฝั่งไหน เชื่อว่ามีหรือไม่ก็ตาม อยากลองชวนทุกคนมาสำรวจมุมมองของโลกหลังความตายในทางปรัชญา กับ พิพัฒน์ สุยะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ว่าเหล่านักคิด นักปรัชญา ที่มีมุมมองต่อสิ่งนี้ เชื่อว่ามีเพราะอะไร เชื่อว่าไม่มีเพราะอะไร เผื่อได้คำตอบที่สนับสนุนคำตอบของเราได้ยิ่งขึ้น หรือเว้นที่ไว้เปิดมุมมองกับคำตอบได้เช่นกัน
จิตกับกาย คือกุญแจสำคัญของคำตอบ
ก่อนเราจะเดินทางไปถึงการแจกแจงว่าฝั่งเชื่อ มีเหตุผลอย่างไร ฝั่งไม่เชื่อ มีเหตุผลแย้งอย่างไร เราอาจจะต้องย้อนกลับมาสู่คำตอบตั้งต้นของทั้งสองกันก่อน
ฝั่งที่เชื่อว่ามีโลกหลังความตายอยู่จริง มักจะมาพร้อมกับแนวคิดทวินิยม (dualism) มองว่าจิตกับกายเป็นสองสิ่งที่อยู่แยกจากกัน และสิ่งที่เรียกว่าจิตเนี่ย จะดำรงอยู่แม้กายจะดับไปก็ตาม หรือที่เราเรียกกันว่า ‘วิญญาณ’ หรือ soul
ส่วนฝั่งที่ไม่เชื่อว่ามีโลกหลังความตาย มักจะมาพร้อมกับแนวคิดกายภาพนิยม (physicalism) เชื่อในสสาร เลยมองว่าหากเราตาย กายเราดับไป นั่นหมายความว่าจิต ความคิดของเราที่ทำงานเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายก็ดับไปพร้อมร่างกายด้วย ดังนั้น จึงไม่เชื่อในว่ามีโลกหลังความตาย
เห็นภาพกันไหมว่าหากจะเอาเหตุผลของทั้งสองฝั่งมาเถียงกัน ก็สามารถนั่งเถียงได้นานนับวัน เพราะทั้งคู่ต่างยืนอยู่คนละความเชื่อพื้นฐานตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้น โลกหลังความตายที่เราจะพูดถึงในวันนี้ จะพูดในแง่มุมของที่มาความเชื่อ เหตุผลสนับสนุน มากกว่าการหยิบสองความเชื่อมาชนกัน
เมื่อไล่เรียงจนถึงตอนท้าย ได้ฟังแนวคิด เหตุผลของทั้งสองฝั่ง ก็ยังไม่สายที่จะเลือกว่าเราเห็นด้วยกับแนวคิดไหนมากกว่ากัน
หากคุณเชื่อว่าโลกหลังความตายมีจริง
อาจเพราะไม่เคยมีใครกลับมาบอกเราได้อย่างชัดเจนจริงๆ ว่าโลกหลังความตายหน้าตาเป็นแบบไหน เราจึงสร้างแนวคิดไว้มากมายจากหลากหลายกลุ่ม ทั้งศาสนาและปรัชญา แต่เพื่อความสอดคล้องกันในเนื้อหา เราจึงขอหยิบยกมาเพียงแนวคิดที่มีพื้นฐานมาจากฝั่งปรัชญามาพูดคุยกัน เพราะในฝั่งทางศาสนาเราน่าจะคุ้นเคยหรือรู้จักกันดีอยู่แล้ว
แม้จะเชื่อเหมือนกันว่าโลกหลังความตายน่ะมีแน่ แต่ต่างแนวคิดก็ต่างมีรูปแบบของโลกหลังความตายที่ต่างกัน
มาเริ่มกันที่แนวคิด ‘วิญญาณอมตะ (immortality of the soul)’ มาจากหนังสือเรื่อง Phaedo ของเพลโต (Plato) อันเป็นบทสนทนาระหว่างโซเครติสกับเฟรโด มีตอนหนึ่งว่าด้วยช่วงสุดท้ายในชีวิตของโสเครติส เขาเล่าถึงโลกหลังความตายไว้ว่า หลังจากเราตายแล้ว วิญญาณของเราจะยังดำรงอยู่อย่างอมตะ แต่ว่ามันจะไปปรากฏในรูปแบบไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง อาจเป็นการไปเกิดใหม่ การกลับชาติมาเกิด หรืออยู่เป็นวิญญาณอมตะตลอดไปก็ได้ และเหตุผลที่เขาใช้สนับสนุนความคิดนี้มีดังนี้
- การมีอยู่ของสิ่งตรงข้าม (Argument form opposite)
มีซ้ายก็ต้องมีขวา มีขึ้นก็ต้องมีลง มีสิ่งใหญ่ได้ก็มาจากสิ่งเล็กๆ เราตื่นได้เพราะก่อนหน้านี้เราหลับ โลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ตรงข้ามกันเสมอ ดังนั้น พอเรามีชีวิต เราก็มีความตาย แม้เราตาย ก็ต้องมีตรงข้ามกับความตายของเราอีกที นั่นก็คือการเกิดหรือมีชีวิตนั่นเอง แต่จะไปมีชีวิตแบบมีลมหายใจไม่ได้ (ก็เราเพิ่งตายมา) ด้วยกฎของสิ่งตรงข้าม เราเลยมีชีวิตในรูปแบบของวิญญาณอมตะแทน
- การรื้อฟื้นความทรงจํา (Argument from recollection)
เพลโต้เชื่อว่ามนุษย์เรามีความคิดติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือที่เรียกว่า innate idea แล้วความคิดนี้ มันไม่ได้มาจากไหนเลย มันมาจากประสบการณ์ก่อนเราจะมาเกิดนั่นแหละ ประสบการณ์ในตอนที่เรายังเป็นวิญญาณอมตะ จะไปเกิดใหม่เป็นใครก็ตาม เราก็ยังเก็บเอาประสบการณ์นี้ไว้กับวิญญาณของเราเสมอ
- การอ้างเหตุผลจากสิ่งที่สัมพันธ์กัน (Argument from Affinity)
วิญญาณอมตะนี้ แม้จะมองไม่เห็น แต่มันจะคงอยู่เสมอไป ทำให้มันคล้ายกับโลกของแบบของเพลโต้ แล้วที่วิญญาณนั้นมันกลายเป็นอมตะได้ เพราะมันไม่เปลี่ยนแปลงไปเหมือนร่างกายที่เน่าเปื่อย มันเลยมีคุณสมบัติในแบบเดียวกับโลกของแบบ เลยทำให้มันอาจเป็นสิ่งอมตะเช่นกัน - รูปแบบของชีวิต (Argument from Form of Life)
ข้อนี้ออกจะซับซ้อนเสียหน่อย ค่อยๆ นึกภาพตามไปทีละขั้น เริ่มที่เพลโต้มองว่าตัวจิตวิญญาณของเรา ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา มีส่วนที่ทำให้เรามีชีวิต แล้วทีนี้ อะไรที่มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเนี่ย มันจะไม่มีวันตาย ดังนั้น จิตวิญญาณของเราเลยสามารถกลายเป็นวิญญาณอมตะได้นั่นเอง
อาจด้วยข้อเสนอของเพลโต้ในเรื่องวิญญาณอมตะ เป็นเรื่องยากที่เราจะมีประสบการณ์กับมันหรือยากที่จะพิสูจน์ เลยทำให้เกิดข้อถกเถียงมากมายตามมา แต่มันก็ช่วยตอบคำถามเรื่องของการระลึกชาติ กลับชาติมาเกิด ของบางความเชื่อได้
มาต่อกันที่ ‘Non-Material Afterlife’ ของ เจ เอ็ม อี แม็กทาการ์ต (J. M. E. McTaggart) แม้จะอยู่ในฝั่งจิตนิยมแต่กลับไม่ได้มองว่าโลกหลังความตายจะเป็นวิญญาณอมตะแบบเดียวกับเพลโต้ แทนที่จะไปโฟกัสเรื่องวิญญาณอะไรแบบนั้น เขากลับให้ความสนใจไปยังสิ่งที่ ‘เหลือรอดหลังจากความตาย (survival of person)’ มากกว่า หมายความว่า ความเป็นตัวเราเนี่ย สามารถดำรงอยู่หลังความตายได้ เพียงแต่มันอาจจะไม่เต็มร้อยทั้งหมด อาจจะเหลือรอดมาเพียงความทรงจำ เหลือมาเพียงจิตสำนึกบางอย่างที่มันเคยเป็นของเรานี่แหละ แต่ตอนนี้มันเหลือมาเท่านี้ก็ถือว่าเป็นโลกหลังความตายได้เช่นกัน
หากยังนึกไม่ออกว่าหลงเหลือมา แล้วไม่เป็นวิญญาณ เราจะเป็นอะไร หน้าตาแบบไหน อาจารย์พิพัฒน์ยกตัวอย่างไว้อย่างน่าสนใจ ให้เราลองนึกถึงภาพยนตร์ไซไฟต่างๆ ที่มีการย้ายตัวตนของเราไปไว้ในหุ่นยนต์ คอมพิวเตอร์ เครือข่ายอื่นๆ นั่นก็เข้าข่ายในสิ่งที่แม็กทาการ์ตพูดถึงเช่นกัน พอเราตาย เราเหลือเพียงความทรงจำ ความตระหนักรู้บางอย่างที่ถูกย้ายไปสิ่งอื่น ส่วนที่เหลืออยู่นี้ที่เรายังพอจำได้ว่ามันคือตัวเรานี่แหละ คือสิ่งที่แม็กทาการ์ตให้ความสำคัญ แต่ย้ำว่าสิ่งที่เหลือรอดอย่างไรก็ยังเป็น จิต หรือวิญญาณ หรือความเป็นบุคคลอยู่นั่นเอง เพราะแม็กทักการ์ตไม่เชื่อในเรื่องวตถุ สสาร หรือร่างกายที่เป็นนิรันดร์
แนวคิดของ ริชาร์ด ดอว์กินส์ (Richard Dawkins) เองก็มีส่วนสอดคล้องกับแม็กทาการ์ตเช่นกัน เขามองว่าความเป็นอมตะไม่ใช่ของตัวบุคคล แต่เป็นข้อมูลทางพันธุกรรมที่ถูกส่งต่อจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง เหมือนเราส่งต่อพันธุกรรมไปให้ลูกหลาน และส่งต่อไปเรื่อยๆ แบบนั้น เป็นแนวคิดสิ่งที่เหลือรอดจากบุคคลคล้ายกัน แต่เพียงแต่ของดอว์กินส์นั้นสิ่งที่หลงเหลือมาเป็นนั้นเป็นสสารหรือสิ่งทางกายภาพ
หากคุณเชื่อว่าโลกหลังความตายไม่มีจริง
อย่างที่กล่าวถึงในข้างต้นว่าแนวคิดส่วนใหญ่ของฝั่งนี้ จะเป็นกายภาพนิยม (Physicalism) หรือ ธรรมชาตินิยม (naturalism) เชื่อในสสาร สิ่งที่เป็นกายภาพ หรือสิ่งทางธรรมชาติเท่านั้น อาจารย์พิพัฒน์เล่าว่าฝั่งนี้อาจไม่ได้มีแนวคิดชัดเจน จัดหมวดหมู่ได้เหมือนฝั่งที่แล้วเท่าไหร่นัก จึงขอพูดถึงเป็นรายบุคคลไปว่าคนนี้คิดแบบนี้เพราะอะไรกันบ้าง
มาเริ่มกันที่ เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ (Bertrand Russell) เชื่อในธรรมชาตินิยม วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เขามองว่าที่มีจิต มีความคิดได้ก็เพราะสมองของเราทำงาน แต่เมื่อเราตายไป สมองเราไม่ได้ทำงานแล้ว จิตของเราก็ดับลงตามไปด้วย หรือพูดง่ายๆ ว่าจิตต้องอาศัยการทำงานของสมองนั่นเอง
ในบทความหนึ่งของเขา ‘What I Believe’ บอกว่า “เมื่อข้าพเจ้าตายร่างกายข้าพเจ้าก็จะเน่าเปื่อยแล้วก็ไม่มีอะไรหลงเหลือจากความเป็นตัวตนของข้าพเจ้าอีก” ยิ่งสะท้อนชัดถึงมุมมองต่อจิตกับกายของเขา ว่าเขาไม่เห็นถึงความเป็นไปได้ที่จิตจะดำรงอยู่หลังจากร่างกายสูญสลายไป
นอกจากนี้เขายังมีความคิดต่อโลกหลังความตาย ว่ามันเกิดขึ้นเพราะความกลัวของเราเอง เมื่อเราจับต้องหรือพิสูจน์หรือเข้าถึงสิ่งใดไม่ได้ด้วยเหตุผล มันมาจากฐานของความกลัว ไม่ว่าเราจะกลัวเรื่องลี้ลับ เรื่องผี หรือความกลัวความตายก็เช่นกัน และยังกล่าวถึงทางออกของเรื่องนี้ว่า หากเรายอมรับความตายด้วยใจสงบ มองว่ามันก็คือส่วนหนึ่งของชีวิต คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ อาจทำให้เรามีอิสรภาพทางใจมากกว่าติดอยู่กับความกลัว
มาต่อกันที่ เอเจ แอ (A. J. Ayer) นักปรัชญาปฏิฐานนิยม logical positivism เชื่อว่าความรู้ของมนุษย์ ถ้าไม่เป็นตรรกะก็เป็นประสบการณ์ คำพูดหรือความคิดใดที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตรรกะหรือประสบการณ์ ก็ไม่มีความหมาย โลกหลังความตายที่เชื่อกันว่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ถ้ามันพิสูจน์ด้วยประสบการณ์ของเราไม่ได้ ก็แปลว่ามันไม่มีความหมายเช่นกัน
และปิดท้ายด้วย แอนโธนี ฟลูว์ (Anthony Flew) ผู้ปฏิเสธแนวคิดโลกหลังความตายทุกแบบ หนักแน่นเหมือนโคจอนพูดว่าพี่ไม่เชื่อ เพราะเขามองว่าโลกหลังความตายมันมีปัญหาทางตรรกะทุกแบบไม่ว่าจะแนวคิดของนักปรัชญาคนไหนก็ตาม แนวคิดของศาสนาไหนก็ตาม
เหตุผลสนับสนุนแนวคิดที่ไม่เห็นด้วยกับโลกหลังความตายของเขา เริ่มที่ เขามองไม่เห็นถึงหลักการการแยกแยะตัวตน ว่าตายไปแล้วจะเป็นวิญญาณของใคร แล้วเป็นจริงไหม
ข้อต่อมา ความทรงจำไม่ได้เป็นหลักประกันความเป็นบุคคลเดิม อย่างที่เราเคยพูดถึงในแนวคิดของแม็กทาการ์ต ว่าเราอาจจะเหลือเป็นความทรงจำหลังตายไปแล้วก็ได้ แต่ทีนี้ ความทรงจำเนี่ย ก็ยังมีช่องโหว่บางอย่างที่จะมาใช้ยืนยันความเป็นตัวเราได้แม้ในยามที่ยังมีชีวิต สมมติว่าเราความจำเสื่อมขณะยังมีชีวิตอยู่ เรายังจำตัวตนของเราไม่ได้ นับประสาอะไรกับตอนตาย แนวคิดแบบแม็กทาการ์ตจึงดูเป็นไปได้ยากสำหรับฟลูว์
บทความหนึ่งของเขาในชื่อ ‘Can a man witness his own funeral?’ เขาเล่าว่าเราสามารถจินตนาการถึงเห็นงานศพของตัวเองได้ แต่เราไม่สามารถเป็นผู้เห็นงานศพของตัวเองด้วยตัวเองได้ อาจารย์พิพัฒน์อธิบายเสริมในส่วนนี้ว่า
“ถ้าเราตายแล้ว เราก็กลายเป็นผู้สังเกตงานศพของตัวเองไม่ได้ เพราะว่ามันหมายถึงบุคคลเดียวกับตอนมีชีวิตอยู่ เมื่อตายแล้วจะใช้คำว่าบุคคลได้อย่างไร การกล่าวแบบนี้จึงขัดแย้งกับตัวมันเอง”
เช่นเดียวกับรัสเซล ที่มองว่าโลกหลังความตายเกิดจากความกลัว ฟลูว์เองก็มองแบบนั้นเช่นกัน คนที่เชื่อในเรื่องโลกหลังความตาย ไม่เป็นเพราะว่ามีความหวังก็ต้องมีความกลัวอยู่ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งแต่ไม่ใช่เพราะว่ามีหลักฐานหรือเหตุผลรับรองอย่างแน่นอน
ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลสนับสนุนเป็นของตัวเอง มาถึงตรงนี้แล้ว จากที่เราเคยหาคำตอบลงช่องชัดเจนว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ เพราะแบบนั้นแบบนี้ เราอาจเว้นช่องว่างคำตอบนั้นเอาไว้ รับรู้ ทำความเข้าใจ มุมมองที่หลากหลาย ก็อาจเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่เราทำได้เช่นกัน
อาจเป็นความสบายใจที่ได้รู้สึกว่ายังมีโลกหน้ารอเราอยู่ หรือจะสบายใจมากกว่ากัน หากรู้ว่าเราไม่ต้องดำรงอยู่ต่อไป หลังจากใช้ขวบปีในชีวิตมากครบถ้วนแล้ว คำตอบนี้อาจจะตอบได้เมื่อความตายนั้นมาถึงตัวเราแล้วจริงๆ กว่าจะถึงเวลานั้น เรายังมีเวลาคิดไคร่ครวญอีกมากนัก
แล้วทุกคนล่ะ คิดว่าโลกหลังความตายมีจริงไหม?