เราตีตั๋วเที่ยวเดียวบนขบวนรถไฟแห่งชีวิตด้วยสูติบัตร ตั๋วใบนั้นที่เราไม่ได้เลือก(และเลือกไม่ได้) พาเราทะยานขนานไปกับกาลเวลา มีเพียงความคิดที่พาเรากลับไปใคร่ครวญในเรื่องที่ผ่านมาได้ แต่ไม่เคยมีทางให้หันหลังกลับ หากชีวิตนี้เราเลือกแห่งหนที่เกิดไม่ได้ เราจะเลือกสถานีสุดท้ายของเราเองได้หรือเปล่า
หากเลือกได้ เราจะเลือกความตายแบบไหนให้ตัวเองกัน?
หลายคนเลือกจากไปอย่างสงบ ไม่ทรมาทรกรรมกับโรคร้ายหรือเจ็บแสนสาหัสกับอุบัติเหตุใดๆ เราจึงได้เห็นเขาเหล่านั้นดูแลใส่ใจสุขภาพ ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท หลายคนเลือกจากไปด้วยความภาคภูมิ ให้ผู้คนจดจำแต่ในสิ่งที่ทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลัง เราจึงได้เห็นเขาเหล่านั้นทุ่มแรงกายแรงใจไปราวกับชีวิตไม่มีวันหยุดพัก
แต่บางคน หากเลือกได้ก็ขอเลือกจากไปในเวลาที่ต้องการเท่านั้น เราจึงได้เห็นเขาเหล่านั้นจากไปอย่างกระทันหัน ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครคาดคิดนอกจากเจ้าของชีวิตนั้นเอง คนเลือกจากไปอาจไม่ได้อยู่ฟังเสียงผู้คนหลังจากนั้น บางเสียงกล่าวว่าเป็นการคิดสั้น บางเสียงกล่าวว่าคิดมากนักต่อนักแล้ว แล้วอย่างไรกันเล่า เมื่อเจ้าของชีวิตต้องการ จะด้วยเหตุผลกลใด ใครจะเป็นผู้ชี้ขาดว่าใครมีสิทธิ์จะอยู่ใครมีสิทธิ์จะไปนอกจากเจ้าของชีวิตเอง
สำรวจแนวคิดอำนาจเหนือชีวิตและความตายในมุมมองทางปรัชญา กับ พิพัฒน์ สุยะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ หัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราทำได้เพียงรอให้ถึงเวลาของมันหรือมีสิทธิ์เลือกเวลานั้นได้ด้วยตัวเอง?
เส้นขอบของเสรีภาพ
เสรีภาพของมนุษย์ถูกตั้งข้อสงสัยอยู่เสมอ รวมถึงขอบเขตของมันด้วยเช่นกัน เรื่องที่เรากำลังพูดถึงอยู่ในตอนนี้นับว่าเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ถ้าเรามีเสรีภาพจริง การเลือกจบชีวิตถือเป็นการใช้เสรีภาพสุดท้ายของเราหรือเปล่า
อาจารย์พิพัฒน์แนะนำให้เริ่มจากการทำความเข้าใจกลุ่มคำทั้งหลายให้กระจ่างชัดเสียก่อน คนเรานับว่ามีเสรีภาพ (freedom) หรืออำนาจในการกำหนดตัวเอง (autonomy) กับสิทธิ (right) นั้นมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราเข้ามาอยู่ในสังคม เราอาจมีเสรีในการกระทำบางอย่างได้ แต่ไม่แปลว่ามีสิทธิตามกฎหมายหรือมีสิทธิทางจริยธรรมเสมอไป ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่าเราอาจมีเสรีภาพในการร้องรำทำเพลงในพื้นที่ของเราเอง โดยไม่มีใครมาห้ามได้ แต่การกระทำนั้นของเราก็ต้องไม่กระทบผู้อื่น เพราะเราไม่มีสิทธิไปละเมิดความสงบสุข สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่นเช่นกัน
เสรีภาพในการเลือกความตายของเรา ไม่ได้หมายถึงเพียงเลือกเวลาของมันเท่านั้น แต่หมายถึงรูปแบบของมันด้วย ตั้งแต่ ฆ่าตัวตาย (suicide) โดยตนเอง การขอให้แพทย์ช่วย (physician-assisted suicide) หรือการขอให้แพทย์ยุติชีวิต ในแต่ละกรณีก็มีข้อถกเถียงแตกต่างกันทั้งทางจริยธรรมและกฎหมาย โดยเราเรียกวิธีนี้ในชื่อ ‘การุณยฆาต’ หรือ ‘เมตตามรณะ’ คำนี้มาจากคำว่า ‘Euthanasia’ อาจารย์เลือกใช้คำว่า ‘สุมรณกรรม’ ด้วยเหตุผลในเรื่องความหมายของคำและแนวคิดหลักของคำ

“ผมอยากเริ่มจากการกลับไปหาความหมายของ คำว่า Euthanasia ซึ่งมาจากภาษากรีกแปลว่า good death หรือความตายที่ดี ผมจึงใช้คำว่า ‘สุมรณกรรม’ ซึ่งก็แปลว่า ‘ความตายที่ดี’ เช่นเดียวกัน แล้วมันสำคัญอย่างไร เพราะคำนี้เริ่มเป็นที่รู้จักจากการแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘mercy killing’ ภาษาไทยสมัยก่อนจึงบัญญัติใช้คำว่า ‘การุณยฆาต’ หรือ ‘เมตตามรณะ’ ซึ่งนัยยะของมันเวลาพูดถึงคำว่าฆ่าหรือการตาย จึงมองว่าเป็นเรื่องโหดร้าย น่ากลัว โยงไปถึงความทุกข์ทน ทรมาน
ที่ผ่านมา เราจึงไม่สามารถมองความตายในแบบการยุติชีวิต มองเห็นเฉพาะการหลีกเลี่ยงความทุกข์ อันที่จริงมนุษย์เรามีหลากหลายมิติ และให้ความหมายแก่ชีวิตแตกต่างกันออกไป การมีชีวิตอยู่ก็เป็นส่วนหนึ่งของความหมายของชีวิต แต่ผมเชื่อว่า สำหรับบางคนและส่วนใหญ่แล้ว การมีชีวิตอยู่ไม่ใช่วิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา ผมจึงค่อนข้างเห็นด้วยที่ว่า Euthanasia นั้นเป็นทางเลือกของชีวิตในการกำหนดเส้นทางเดินของชีวิตมนุษย์”
หากเป็นชีวิตเราเองที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากจะไปต่อ หรือทนอยู่กับความเจ็บปวดทุกวันด้วยฤทธิ์ของโรคร้าย เราอาจเลือกสู้สุดใจอีกสักครั้ง หรือปล่อยมือจากความทรมาน เราเลือกผ่านการทดลองทางความคิดได้ทั้งนั้น เพราะเราคือผู้เผชิญสิ่งนั้นด้วยตัวเอง เราเลือกวิธีรับมือของเราเอง แต่เมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องชีวิตของคนอื่น เราจะมองมันในแบบเดียวกันกับปัญหาของเราเองหรือเปล่า
ปัญหาเหล่านี้มีความเป็นความตายเป็นผลลัพธ์ ความหมิ่นเหม่บนเส้นจริยธรรมและกฎหมาย ทำให้ความเห็นต่อการเลือกความตายด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าตัวตายหรือเลือกสุมรณกรรม เสียงได้แตกออกเป็นสองฝั่ง
ฝั่งที่เห็นด้วย มักอ้างถึงความสำคัญกับการอำนาจในการกำหนดตัวเอง (autonomy) การตัดสินใจว่าจะมีชีวิตหรือไม่ นับว่าเป็นกรณีสุดท้ายของการใช้สิทธิในตนเองที่จะกำหนดชีวิตตนเองของปัจเจกบุคคลผู้เป็นเจ้าของชีวิต
ฝั่งที่ไม่เห็นด้วย มักอ้างถึงความเอื้อเฟื้อต่อสังคมและคุณค่าของชีวิต รัฐอาจมีผลประโยชน์ชอบธรรมในการปกป้องชีวิต ป้องกันแรงกดดันทางสังคมที่อาจผลักให้คนเปราะบางเลือกจากไป รวมถึงปัญหาเรื่องความสามารถในการตัดสินใจ เพราะเสรีภาพที่แท้จริง ควรเป็นการตัดสินใจที่มีสติและปราศจากการบังคับ หากคนต้องการตายเพราะซึมเศร้า ยากจน หรือถูกกดดัน นั่นไม่ใช่การแสดงถึงการมีเสรีภาพอย่างแท้จริง
ต่างฝ่ายต่างยืนหยัดในข้ออ้างสนับสนุนแนวคิดของตน หากเราเปลี่ยนเลนส์มองเรื่องนี้ ผ่านเลนส์ของนักปรัชญา อาจารย์พิพัฒน์ได้เลือกให้ เดวิด ฮิวม์ (David Hume) เป็นตัวแทนของฝั่งสนับสนุนให้เลือกความตายเองได้ และฝั่งของ อิมมานูเอล คานต์ (Immanuel Kant) เป็นตัวแทนของฝั่งตรงข้าม และได้อธิบายทัศนะของทั้งสองฝั่งได้อย่างน่าสนใจ ดังนี้

ทัศนะของฮิวม์
อาจารย์พิพัฒน์อ้างถึงงานเขียนของฮิวม์ในชื่อ Of Suicide (1755) ถูกเก็บไว้ไม่ได้ตีพิมพ์ในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ เพราะเกรงว่าจะถูกครหาหรือโจมตีจากทั้งสังคมและศาสนา เขาได้ตั้งคำถามต่อข้อห้ามตามความเชื่อทางศาสนา และชี้ว่าการฆ่าตัวตายบางกรณีอาจไม่ผิดศีลธรรมโดยอาศัยเหตุผลเชิงธรรมชาติ
ในบทความที่ว่านี้ฮิวม์เสนอเหตุผลเพื่อหักล้างความเชื่อดั้งเดิม 3 ประการ ที่แต่เดิมมักถูกยกมาใช้ต่อต้านการฆ่าตัวตาย คือ
- การฆ่าตัวตายเป็นการผิดต่อพระเจ้า
- การฆ่าตัวตายเป็นการทำลายหน้าที่ต่อสังคม
- การฆ่าตัวตายเป็นการทำลายหน้าที่ต่อตนเอง
อาจารย์ได้แจกแจงถึงแนวคิดของฮิวม์ที่ใช้โต้แย้งเหตุผลข้างต้น ดังนี้
- การฆ่าตัวตายเป็นการผิดต่อพระเจ้า
ฮิวม์โต้แย้งว่า ถ้ามนุษย์ตายเพราะปัจจัยธรรมชาติ (โรคหรือภัยพิบัติ) เราก็ถือว่านั่นเป็นไปตามธรรมชาติที่พระเจ้าสร้างไว้ เช่นเดียวกัน หากมนุษย์ใช้สติปัญญาหรือการกระทำ เพื่อจบชีวิตตนเอง ก็ไม่ต่างอะไรจากการใช้สติปัญญาเพื่อหลบพายุหรือรักษาโรค ฮิวม์กล่าวในงานเขียนว่า
“บางคนว่า การยุติชีวิตตนเองคือการขัดต่อพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า… แต่พระผู้เป็นเจ้าเองก็ได้วางเราไว้ในสถานการณ์ที่ชีวิตอาจถึงขั้นทนอยู่ไม่ได้ และมอบความสามารถให้เรายุติมันได้เช่นกัน”
ดังนั้นสำหรับฮิวม์แล้ว การฆ่าตัวตายไม่ใช่การขัดพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า แต่เป็นการใช้เสรีภาพที่พระเจ้ามอบให้
- การฆ่าตัวตายเป็นการทำลายหน้าที่ต่อสังคม
ฝ่ายคัดค้านมักบอกว่ามนุษย์มีหน้าที่ต่อครอบครัว ชุมชน หรือรัฐ การฆ่าตัวตายคือการละทิ้งหน้าที่นั้น ฮิวม์มองว่า ถ้าบุคคลหนึ่งหมดประโยชน์หรือกลายเป็นภาระต่อสังคม เช่น ป่วยหนักหรือแก่ชราเกินจะช่วยเหลือตนเองได้ การอยู่ต่อไปอาจไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรให้แก่สังคม บางกรณีการจากไปอาจลดภาระและความทุกข์ให้แก่ทั้งตัวเองและคนรอบข้างได้มากกว่าเสียอีก โดยเขากล่าวไว้ว่า
“คนที่ถอนตัวออกจากชีวิตไม่ได้ทำร้ายสังคม เขาเพียงหยุดที่จะทำคุณประโยชน์ต่อไป หากสิ่งนั้นนับว่าเป็นการทำร้าย ก็เป็นการทำร้ายในระดับที่ต่ำที่สุด”
- การฆ่าตัวตายเป็นการทำลายหน้าที่ต่อตนเอง
คำกล่าวหาว่าการฆ่าตัวตายคือการทำร้ายตนเอง ฮิวม์โต้แย้งว่า หากชีวิตของคนคนหนึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน ไม่มีความสุขเหลืออยู่ การทำร้ายตัวเองไม่ใช่การจบชีวิต แต่คือการยื้อชีวิตไว้ต่างหาก เขาจึงถือว่าการฆ่าตัวตาย ไม่ใช่การละเมิดต่อหน้าที่ต่อตนเอง หากแต่เป็นการใช้เหตุผลและเสรีภาพเพื่อปกป้องความสงบสุขของตัวเองในเงื่อนไขที่ชีวิตไม่อาจทนได้

โดยสรุป ฮิวม์เห็นว่า การฆ่าตัวตายไม่ผิดศีลธรรมโดยเนื้อแท้ แต่ต้องดูเงื่อนไขและเหตุผลของแต่ละคน ศีลธรรมไม่ควรผูกขาดกับศาสนา ฮิวม์ได้ท้าทายแนวคิดว่าที่ว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตเราเพียงผู้เดียว เขาเห็นว่ามนุษย์คือผู้ใช้เหตุผล การตัดสินใจยุติชีวิตในบางกรณีจึงเป็นการใช้เหตุผลอย่างสูงสุด เพื่อจัดการความทุกข์ที่ไม่อาจทนทานต่อไปได้
จะเห็นได้ว่าทัศนะของฮิวม์ ได้เปิดพื้นที่ให้การถกเถียงเรื่องการฆ่าตัวตายเข้าสู่พื้นที่เหตุผลและปรัชญา มากกว่าการถูกปิดกั้นด้วยข้อห้ามเชิงศาสนา นอกจากนี้ยังเป็นรากฐานให้กับการถกเถียงสมัยใหม่เรื่อง euthanasia และ assisted suicide เพราะชี้ว่าคุณค่าของชีวิตอาจขึ้นอยู่กับคุณภาพชีวิตและเสรีภาพของบุคคลเอง
ทัศนะของคานต์
คานต์ไม่ได้มองศีลธรรมจากผลลัพธ์หรือมองในแบบประโยชน์นิยม แต่เขาพิจารณาการกระทำจากหลักการเรื่องเจตนาที่ดี และการเคารพความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีในตัวเอง เราจะเห็นความคิดของคานต์ได้อย่างชัดเจนจากกฎสากลของคานต์ที่ว่า “จงทำตามหลักที่ท่านจงใจจะให้เป็นกฎสากล” และ “จงอย่าใช้เพื่อนมนุษย์เป็นเครื่องมือเพื่อการใด”
นั่นหมายความว่า ถ้าเราจะยอมให้ “เมื่อใครก็ตามรู้สึกสิ้นหวัง เขาสามารถฆ่าตัวตายได้” เป็นกฎสากล มันก็จะส่งผลให้มนุษย์ทุกคนสามารถฆ่าตัวตายได้เมื่อประสบทุกข์ มันอาจนำไปสู่การทำลายตัวเองอย่างแพร่หลายและจะขัดแย้งกับหลักการรักษาชีวิตและพัฒนาคุณธรรมของมนุษย์ ดังนั้น กฎสูงสุดที่ยอมรับการฆ่าตัวตายไม่สามารถกลายเป็นกฎสากลได้
สอดคล้องกับในหนังสือ Groundwork เขากล่าวไว้ว่า
“ชายผู้สิ้นหวังจากความโชคร้ายปรารถนาจะยุติชีวิต
โดยถือหลักว่า ‘ด้วยความรักตนเอง ฉันจะทำให้ชีวิตสั้นลง หากการอยู่ต่อไปจะมีแต่ความทุกข์มากกว่าความสุข’
แต่หากทำกฎนี้ให้เป็นกฎสากล ระบบธรรมชาติก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้”
หากพิจารณากฎศีลธรรมของคานต์ข้อต่อมาที่ว่า “จงอย่าใช้เพื่อนมนุษย์เป็นเครื่องมือเพื่อการใด” การฆ่าตัวตาย จึงใช้ตัวเองหรือมนุษย์ เป็นเพียงเครื่องมือเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ นี่คือการลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีในตัวเอง
ใน Groundwork เขากล่าวว่า “ผู้ที่คิดจะฆ่าตัวตายควรถามตนเองว่าการกระทำนั้นสอดคล้องกับความคิดว่ามนุษย์เป็นเป้าหมายในตัวเองหรือไม่… การทำลายผู้ที่เป็นผู้กระทำทางศีลธรรมในตนเอง ก็คือการถอนรากการดำรงอยู่ของศีลธรรมออกจากโลกนี้”
นอกจากนี้ ใน The Metaphysics of Morals คานต์เน้นว่ามนุษย์มี ‘หน้าที่สมบูรณ์ต่อความเป็นมนุษย์ในตนเอง’ (perfect duty to oneself as an animal being) การฆ่าตัวตายขัดต่อหน้าที่นี้ เพราะเป็นการละเมิดต่อคุณค่าในตัวตน แม้ในความเจ็บป่วยหรือความทุกข์ เราก็มีหน้าที่รักษาชีวิตเพื่อธำรงศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ และกล่าวถึงความตายในงานเขียนดังกล่าวไว้ว่า
“มนุษย์ไม่อาจสละความเป็นบุคคลของตนได้ ตราบที่เขายังเป็นผู้กระทำทางกฎศีลธรรม… การทำลายตัวเองเพื่อเป็นเพียงเครื่องมือสู่เป้าหมายใด ๆ คือการทำให้ความเป็นมนุษย์ของตนตกต่ำลง”

โดยสรุป ความคิดของคานต์เห็นว่าการฆ่าตัวตายผิดศีลธรรมโดยเนื้อแท้ เพราะขัดกับทั้งกฎสากล และการเคารพความเป็นมนุษย์ มนุษย์มีหน้าที่สมบูรณ์ที่จะต้อง รักษาชีวิต และไม่ใช้ตัวเองเป็นเพียงเครื่องมือ การฆ่าตัวตายไม่เพียงทำลายชีวิตตนเอง แต่ยังทำลายเงื่อนไขของศีลธรรมทั้งหมด เพราะไม่มีตัวตนที่สามารถปฏิบัติตามกฎศีลธรรมเหลืออยู่
หากเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ว่าฮิวม์คิดว่าการฆ่าตัวตายบางกรณีสมเหตุสมผล ไม่ผิดศีลธรรม เพราะไม่ละเมิดต่อพระเจ้า สังคม หรือแม้แต่ตนเอง ส่วนคานต์เห็นว่าการฆ่าตัวตายผิดศีลธรรมเสมอ เพราะเป็นการใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือ ขัดกับกฎสากล และละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ในทางปรัชญาจึงมีเหตุผลหนักแน่นทั้งสองฝ่าย เสรีภาพและการเคารพตนเองในข้างหนึ่ง กับหน้าที่ของสังคมในการปกป้องชีวิตและผู้เปราะบางในอีกข้างหนึ่ง
โปรดเมตตาให้ฉันจากไป
หากวันหนึ่ง เราตื่นขึ้นมาพร้อมสายระโยงระยาง คอถูกเจาะเป็นรูกว้าง มีเครื่องมือทางการแพทย์มากมายทำหน้าที่อย่างขันแข็งเพื่อประคองชีวิตเราไว้ กิจวัตรที่เคยทำได้กลายเป็นเรื่องยาก บางอย่างแทบเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ความไม่สะดวกกายไม่สบายใจเกาะกินทั่วทั้งตัว แต่หากนั่นเป็นทางเดียวที่เรายังมีชีวิต ทางเดียวที่เราจะอยู่ต่อไปได้ เราจะเลือกมีชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ด้วยหวังว่าสักวันอาจดีขึ้นได้ หรือเลือกจบความทรมานลงเสีย ผู้ป่วยในหลายประเทศมีสิทธิ์เลือกยุติชีวิตโดยเจตนาเพื่อให้พ้นจากความเจ็บปวดทรมาน ด้วยการุณยฆาตเชิงรับ (passive euthanasia) คือการปล่อยไม่ให้การรักษาด้วยความสมัครใจของผู้ป่วย
ส่วนการุณยฆาตเชิงรุก (active euthanasia) การให้ยาหรือสารเคมีเพื่อเร่งให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเร็วขึ้นด้วยความสมัครใจของผู้ป่วย เป็นการกระทำที่ถูกกฎหมายหรือยอมรับให้ถูกกฎหมายในไม่กี่ประเทศ ซึ่งกำหนดเงื่อนไขโดยเจาะจงและกำหนดให้ต้องอยู่ภายใจ้การดูแลจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
แต่นั่นหมายความในกรณีที่เราไม่ได้เจ็บป่วยในระยะสุดท้าย หรือก่อเกิดปัญหาสุขภาพเกินเยียวยาใดๆ ดูจะยังเป็นไปได้ยาก มีเพียง 8 ประเทศ ได้แก่ เนเธอแลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์ก สเปน โคลอมเบีย แคนาดา นิวซีแลนด์ ออสเตรเลียบางส่วน ที่เลือกสุมรณกรรมหรือเลือกจากไปด้วยตัวเองได้อย่างถูกกฎหมาย

ในประเทศไทยมีการยุติการรักษาด้วยความสมัครใจของผู้ป่วย แต่ในเรื่องของสุมรณกรรมนั้น อาจารย์พิพัฒน์มองว่ายังไกลไปอีกหลายก้าว เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้เรายังก้าวไปไม่ถึงจุดนั้น ศีลธรรม ศาสนา หรือความไม่พร้อมของระบบสาธารณสุข อาจารย์ตอบไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ผมว่าความรู้และความเข้าใจในเรื่องความตาย น่าจะเป็นปัญหาหลักของสังคมไทยมากกว่าประเด็นอื่นๆ หากเราไปยึดติดกับนิยามที่ว่า การมีชีวิตอยู่เท่านั้นถึงจะเป็นชีวิตที่ดี เราก็น่าจะมองความตายเป็นเรื่องที่น่ากลัว โหดร้าย แต่หากเราเข้าใจว่าความตายเป็นสภาวะหนึ่งหรือขั้นตอนหนึ่งของการมีชีวิต เมื่อการมีชีวิตอยู่ไม่มีความหมายกับเราอีกต่อไป ทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเราลดน้อยลง หรือเป้าหมายชีวิตของได้รับการเติมเต็มทุกอย่างแล้ว เราอยากจะขอ ‘ยุติ’ ชีวิต จะเป็นไปได้ไหม
หรือเป็นที่เข้าใจของคนในครอบครัว ผู้คนในสังคมได้หรือไม่ หากความเข้าใจตรงนี้เกิดขึ้นได้บ้างแล้ว แน่นอนว่าความเข้าใจหรือไม่เข้าใจในประเด็นนี้ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเรื่องศีลธรรม ศาสนา หรือค่านิยมของสังคมอย่างแน่นอน ส่วนระบบสาธารณสุขจะเป็นเรื่องรองมากๆ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่พัฒนาตามมาได้ไม่ยาก”
หากมองไปยังประเทศเหล่านั้นที่ผ่านกฎหมายสุมรณกรรมแล้ว ข้อกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ ของมัน ก็ยังไม่ตายตัว ยังคงปรับให้เข้ากับการใช้งานจริงและพัฒนาต่อไปอยู่เรื่อยๆ ทั้งกรณี Groningen protocol การยุติชีวิตทารกแรกเกิด (neonatal euthanasia) ในเนเธอร์แลนด์ การขยายกฎหมาย Euthanasia ให้รวมเด็กไว้ด้วยของเบลเยี่ยม และอีกหลายกรณีในประเทศเหล่านั้น

เมื่อมันเป็นไปได้ในประเทศนั้น ย่อมมีความเป็นไปได้ในประเทศอื่นด้วยเช่นกัน เราจึงถามถึงความเป็นไปได้ที่เราจะหยิบยกบางบทเรียนนำมาปรับใช้กับไทย
“บทเรียนสำคัญสำหรับประเทศไทย ทั้งเชิงนโยบายและการปฏิบัติ ผมคิดว่า ไม่ช้าก็เร็ว เรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างแน่นอน หากเราเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาและวิจัยกรณีบทเรียนจากประเทศต่างๆ น่าจะทำให้เราเห็นแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกำหนดนิยาม เกณฑ์ให้ชัดเจนและแยกประเภทกรณี รวมทั้งกำหนดว่า euthanasia หรือ assisted dying ใครมีสิทธิบ้าง ผู้ใหญ่เท่านั้น หรือผู้เยาว์ในกรณีพิเศษ หรือ ความเจ็บป่วยทางจิต สามารถทำได้หรือไม่
หลายประเทศที่มีกฎหมายเน้นว่า euthanasia ควรเป็นทางเลือกสุดท้ายภายใต้การรักษาแบบระบบประคับประคอง (palliative) ที่เข้มแข็ง ประเทศไทยควรตั้งคณะทำงานอิสระจากหลากหลายสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาโมเดลต่างประเทศ โดยต้องมีแพทย์ พยาบาล นักจริยธรรม นักกฎหมาย นักจิตวิทยา นักปรัชญา ตัวแทนศาสนา และตัวแทนประชาชน เพื่อพัฒนาร่างกฎเกณฑ์ชั่วคราว แล้วค่อยๆ พัฒนาผ่านกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย กระบวนการเหล่านี้เป็นเรื่องมที่ซับซ้อนและคงต้องใช้เวลาอย่างยาวนาน แต่หากเราไม่เริ่มวันนี้ ปัญหาที่รอเราอยู่ข้างหน้ามีแต่จะทบเท่าทวีคูณไปเรื่อยๆ”
เราอาจจะยังต้องเดินอีกหลายก้าวกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ ระหว่างนี้เราอาจจะต้องทบทวนกฎเกณฑ์อีกหลายข้อ ต่อรองอีกหลายความเห็น ขบวนรถไฟแห่งชีวิตยังคงแล่นไปข้างหน้าไม่หยุด ไม่มีใครรู้แน่ว่าสถานีสุดท้ายของตัวเองอยู่ตรงไหน
บางคนได้ก้าวสลงอย่างสงบ บางคนไม่ทันร่ำลา ความงามของการเดินทางนี้อาจไม่อยู่ที่ปลายทางเลยก็ได้ หากแต่อยู่ที่การได้รู้ว่า ทุกลมหายใจที่เรายังอยู่บนรถไฟขบวนนี้ ก็นับว่าเป็นการเลือกใช้ชีวิตในหลายหน่วยเวลาอันนับไม่ถ้วน