ความรู้สึกแสนมหัศจรรย์ ห้วงภวังค์ที่พร้อมจะมอบทุกความสุขบนโลกนี้ให้ ในอีกมุมหนึ่งก็พร้อมจะพรากไปได้ทุกอย่าง ต่างคนต่างไขว่คว้าหานิยาม บอกเล่าอธิบายสิ่งล้นเอ่อในใจที่เรียกว่า ‘ความรัก’ เป็นดั่งดาวบนฟ้าเหลือคณานับ เป็นแดดเช้าสดใส เป็นน้ำทิพย์ชะโลมใจ นานาทัศนะจากมุมมองผู้เปี่ยมรัก แล้วผู้ไร้ศรัทธาในรักเล่า เขามองสิ่งนี้เป็นอะไร
แม้จะฟังดูชวนดราม่าน้ำตารื้นตั้งแต่เริ่ม แต่เรื่องที่อยากชวนพูดคุยกันนี้ อาจไม่ได้ชวนน้ำตาตกกันขนาดนั้น เพียงพามาสำรวจแนวคิดในอีกแง่มุมหนึ่ง จากนักปรัชญาที่ไม่ได้มองรักเป็นสิ่งสวยงามขนาดนั้น (โดยเฉพาะรักโรแมนติก) ภาษาพูดง่ายๆ คงเป็น ‘ไม่อิน’ จะใกล้เคียงที่สุด
อย่าเพิ่งเลื่อนหนีกันไปไหน ไม่ต้องกลัวว่าหลังจากนี้จะมีแต่ข้อความของเจ้าความคิด ต้องสืบเสาะเคาะหาความหมายระหว่างบรรทัด เราจะพยายามเล่าออกมาให้ย่อยง่าย ไม่เหมือนจับใครมานั่งเลกเชอร์ทางหน้าจอแน่นอน
รักคือความบ้าคลั่ง
ชื่อของเพลโตอาจจะคุ้นหูกว่านักปรัชญาคนอื่นเสียหน่อย เพราะแนวคิดของเขามักถูกหยิบยกมาพูดถึงจวบจนทุกวันนี้ (พี่อยู่มาทุกยุคน่ะ) วิธีการเผยแพร่แนวคิดของเขา ค่อนข้างน่าสนใจตรงที่งานเขียนของเขาเป็นบันทึกบทสนทนา ระหว่างคนนั้นกับคนนี้ ตัวละครมากมายออกมาเผยทัศนะต่อเรื่องต่างๆ หนึ่งในตัวละครสำคัญของเขาก็คือ โสกราตีส อาจารย์ของเขานั่นเอง
เพลโตทิ้งบทสนทนามากมายไว้บนโลกใบนี้ ตั้งคำถามตั้งแต่ความคิดปลีกย่อยในใจไปจนถึงภาพใหญ่การปกครอง แน่นอนว่าความรักก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงในสักบทสนทนามาแล้ว อย่างในบันทึกบทสนทนาชื่อดังของเขา Symposium และ Phaedrus นับเป็นชื่อที่คุ้นหูในแวดวงปรัชญาประมาณหนึ่ง
ตัวละครหลักอย่างโสกราตีสเองได้เปรียบความรักไว้ว่าเป็นดั่งความบ้าคลั่ง (Madness) ไม่เชิงว่ามันคือความบ้าบอคอแตก แต่มันคือแรงขับที่เกิดขึ้นเมื่อความปรารถนาครอบงำการตัดสินใจ แต่พูดจบแล้วก็แอบเอะใจ นี่เรากำลังด่าอีรอส เทพแห่งความรักอยู่หรือเปล่า งั้นเปลี่ยนแผน ว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ ความบ้าคลั่งจากรักน่ะ พาไปสู่ความรู้สึกที่ลึกซึ้งได้ต่างหาก สามารถนำพาผู้คนให้อยู่เหนือความดึงดูดใจทางกายภาพไปสู่ความซาบซึ้งในความงามและความจริงที่สูงขึ้น
รักคือสารเคมีในสมอง
จะบอกว่าไม่จริงก็ไม่ได้ แต่มันช่างไร้หัวใจอะไรขนาดนี้นะ สมแล้วที่เป็นมุมมองความรักจาก อาร์เธอร์ โชเปนเฮาเออร์ (Arthur Schopenhauer) ผู้ได้ชื่อว่าเป็น Philosopher of Pessimism หรือ นักปรัชญาแห่งการมองโลกในแง่ร้าย ทั้งนี้ เขามีผลงานโดดเด่นในด้านการดำรงอยู่ (Existential) และ เจตจำนง (Will) ด้วยเช่นกัน
เพราะเจ้าตัวมองว่า ความต้องการของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนบ่อไร้ก้น เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม แนวคิดของเขาจึงค่อนข้างชี้ไปทางที่มนุษย์ควรตัดความต้องการของตัวเอง ให้เหลือแต่ความต้องการพื้นฐานก็พอ
แน่นอนว่าความรักก็ปิ๋วไปด้วย ไม่มีรักก็ไม่ตายหรอก เขามองว่าความรักเป็นเพียงกลไกทางชีววิทยาที่เกิดขึ้นเพียงเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์และไม่ได้มีความหมายที่แท้จริงแต่อย่างใด เป็นเหมือนเครื่องมือที่มีเอาไว้รับใช้ความต้องการจะมีชีวิต (will to life) เท่านั้น อย่าไปหลงกลรักโรแมนติกล่ะ มันเป็นเพียงความรู้สึกแฟนซีที่เกิดขึ้นมาด้วยเหตุผลทางชีววิทยาเท่านั้น ตัวมันเองไม่ได้จำเป็นอะไรกับชีวิตเราขนาดนั้นหรอก (กลับไปที่สิ่งจำเป็นมีแค่ความต้องการพื้นฐานในชีวิต) และยังเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ตกเป็นเหยื่อของความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานอีกด้วย
รักคือการเหนี่ยวรั้งอิสระ
จะว่าบังเอิญไหมก็ไม่แน่ใจ แต่สันนิษฐานว่าอาจมาจากพื้นฐานไอเดียคล้ายๆ กัน 2 ตัวพ่อจากฝั่งอัตถิภาวนิยม (Existentialism) แนวคิดที่เน้นไปทางประสบการณ์จากปัจเจกบุคคล เลยมีมุมมองต่อความรักคล้ายๆ กัน เป็นการมองว่าความรักนั้นทำให้เราลิดรอนอิสรภาพของผู้อื่น แต่ต่างคนต่างมีรายละเอียดในเรื่องราวนี้ต่างกันไป (แต่ใจความเดียวกันแหละนะ)
เริ่มกันที่ ฟรีดริช นิทเช่ (Friedrich Nietzsche) เขามองว่าความรักแบบโรแมนติกเป็นได้ทั้งแรงขับพื้นฐานของมนุษย์ที่บางครั้งพาให้เราอยากมีอำนาจเหนือผู้อื่น ประมาณว่ารักแล้วก็อยากครอบครอง บงการจิตใจอีกฝ่าย ปล่อยให้มันครอบงำอารมณ์ ทั้งลุ่มหลง ฟูมฟาย ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสของอารมณ์ สัญชาตญาณ และเจ้าความรักนี่แหละที่ผลักดันสัญชาตญาณดิบของมนุษย์จนทำให้เราเผยด้านที่เห็นแก่ตัวออกมา
ถึงอย่างนั้นจะบอกว่าเขาไม่แคร์ความรัก จนไร้รักในหัวใจก็คงไม่ใช่ เพราะชีวิตรักของเขาอุทิศให้กับสาวหนึ่งเดียวในใจ แม้จะทุ่มเทขนาดนั้นก็ยังไม่สมหวังจนรักกลายเป็นรสขมเกินกลืน ว่ากันว่าผลงานบางชิ้นของเขาก็มีเธอคนนั้นเป็นแรงบันดาลใจด้วยเช่นกัน
ตามมาด้วย ฌ็อง-ปอล ซาร์ตร์ (Jean-Paul Sartre) ที่มองว่าความรักนั้นช่างเป็นสิ่งที่ไม่จีรังเสียเลย หากมันจะจับต้องได้ ก็ต้องอาศัยการแสดงออกผ่านการกระทำเท่านั้น จึงนับว่ารักมีอยู่แบบสัมผัสได้
แต่เขาไม่ได้เป็นคนหันหลังให้ความรักหรอกนะ เป็นพ่อหนุ่มคลั่งรักคนหนึ่งเลยล่ะ (แบบ Open Relationship เสียด้วย นับว่าหัวสมัยใหม่มากในยุคนั้น) เขามองว่าความสุขของความรักคือการที่เรารู้สึกมั่นคงในการครอบครองกันและกัน ได้รู้จักตัวเองผ่านการถูกรัก แต่ปัญหาคือ เขารู้สึกว่าอะไรทำนองนี้มันช่างบางเบาราวกับภาพลวงตา เพราะต่อให้เราจะรู้สึกรักกันมั่นคง เธอมีแค่ฉัน ฉันมีแค่เธอขนาดไหน แต่เขาก็ยังเชื่อว่าทุกคนต่างมีอิสระในการเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง รวมถึงอิสระที่จะเลือกที่จะมีความสัมพันธ์อื่นๆ ก็ได้ หรือเลือกจากไปก็ตาม
มันเลยทำให้รักเป็นเหมือนเกมที่ต่างฝ่ายต่างอยากเอาชนะกันด้วยการเหนี่ยวรั้งอีกคนไว้ ด้วยความรักบ้าง ด้วยการบงการบ้าง จะด้วยเหตุใดก็ตาม แต่มันคือการพยายามที่จะปล้นอิสรภาพของกันและกัน แต่ละคนต้องการให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางของความสนใจของอีกฝ่าย จนนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างบุคคลนั่นเอง
เมื่อได้เข้าใจในมุมนี้แล้วจึงไม่แปลกเลยที่เขาจะเลือกมีความสัมพันธ์แบบเปิด ไม่ยึดติดว่าจะต้องเป็นรักหนึ่งเดียว มีความสุขชั่วนิจนิรันดร์ตามขนบความสัมพันธ์ในสังคม
รักแสนสวยงามเพราะมีเหตุผลของตัวเอง รักที่ไม่น่าอภิรมย์ก็มาจากเหตุผลบางอย่างเช่นกัน จะรักแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงได้ลองมีรักด้วยใจของเราเองดูสักครั้ง เราอาจมีเฉดความรักที่ต่างออกไปเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเฉดในโลกนี้ก็เป็นได้
อ้างอิงจาก