เมื่อการเมืองถูกเชิญเข้ามาในบทสนทนา คำถามหยั่งเชิงว่าฟากฝั่งไหนล่ะที่คุณยืนอยู่ เป็นเหมือนโต๊ะโป๊กเกอร์รอบ Preflop ก่อนจะได้เห็นไพ่ใดๆ บนโต๊ะ เราจะเลือกเผยไต๋ในตอนนี้เลยหรือเปล่า บอกว่าเรายืนอยู่ฝั่งซ้ายหรือขวาอย่างภาคภูมิ หรือจะกึ่งยิงกึ่งผ่านด้วยคำว่าเป็นกลางดีล่ะ?
ไม่ว่าเราจะยืนอยู่ฝั่งไหนของกระดาน เราต้องเผชิญกับคำครหาจากฝั่งตรงข้ามเสมอ (ก็อยู่ตรงข้ามกันนี่นะ) ต่อให้เรามั่นใจว่าความเห็น กระบวนการคิด อุดมการณ์ของเรานั้นแน่วแน่ ถูกต้องที่สุดแล้ว มันกลับตาลปัตรสำหรับผู้ที่เชื่อในฝั่งตรงข้าม ข้อถกเถียงมากมายเกิดขึ้นไม่รู้จบจากการปะทะกันของอุดมการณ์ ต่างคนต่างยืนอยู่บนฟากฝั่งของตนเอง
ในขณะที่สองฝั่งตรงข้าม ทำสงครามทางความคิดเพราะอุดมการณ์ต่างกัน แล้วคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง ไม่ก้าวขาเข้าไปในฝั่งใด อยู่ตรงไหนของสมการนี้?
การบอกว่าเป็นกลางทางการเมือง ฟังดูเหมือนว่าคนนั้นไม่เลือกข้างใดๆ ไม่สนับสนุนฝั่งไหนและไม่รังเกียจฝั่งไหนเช่นกัน (อย่างน้อยก็ไม่ออกนอกหน้านอกตา) แต่ในจริงๆ แล้วการเป็นกลางมันคือการไม่เลือกฝั่งใดจริงหรือเปล่า? เมื่อการไม่เลือกก็อาจถูกมองว่าเป็นการเลือกแบบหนึ่ง จนสุดท้ายก็หนีไม่พ้นคำครหาในฐานะของคนที่ไม่เลือกทำอะไรสักอย่างอยู่ดี
คำถามจึงอาจไม่ใช่ว่า เราเป็นกลางได้ไหม เมื่อเราเลือกจะทำหรือไม่ทำอะไรได้ The MATTER เลยอยากชวนมาพูดคุยกับผศ.ดร.อรรถสิทธิ์ สิทธิดำรง ว่าความเป็นกลางนั้นทำงานอย่างไร ในโลกที่ไม่เคยเป็นกลางจริงๆ

ธรรมชาติของเราเลือกข้างเสมอ
เรามักพูดถึงความเป็นกลางทางการเมือง ราวกับมันเป็นพื้นที่ที่สามารถยืนอยู่ได้โดยไม่ต้องเลือก ไม่ต้องตัดสิน และไม่ต้องรับผิดชอบกับความขัดแย้งใดๆ หากมองลึกลงไปกว่านั้น ธรรมชาติของมนุษย์อาจไม่เคยปล่อยให้เรายืนอยู่ในพื้นที่ว่างนั้นจริงๆ เราเริ่มต้นพูดคุยกับอาจารย์ด้วยคำถามง่ายๆ ที่ว่าทำไมคนเราถึงต้องเลือกข้าง? อาจารย์ให้คำตอบไว้ว่า
“เราเลือกข้างตัวตามธรรมชาติอยู่แล้วครับ มนุษย์เราเกิดมามันก็จะต้องเลือกบางอย่าง แล้วก็ไม่เลือกบางอย่างเสมอ คือดังนั้นเนี่ย เช่น เราเลือกที่จะทำงานที่นี่ ไม่เลือกทำงานที่อื่น โลกมันเต็มไปด้วยความเป็นไปได้เต็มไปหมด แล้วเราก็เลือกบางอย่างอยู่เสมอ นี่เป็นเพราะว่าเป็นเงื่อนไขในชีวิตมนุษย์”
อาจบอกได้ว่า เราไม่ได้เลือกข้างเพราะอยากกระโจนเข้าไปในความขัดแย้ง แต่เพราะสมองของเราทำงานด้วยการจัดหมวดหมู่ เราต้องแบ่งแยกและให้น้ำหนักกับข้อมูลบางอย่างมากกว่าอีกบางอย่าง เพื่อจะเข้าใจโลกที่ซับซ้อนเกินกว่าจะรับทั้งหมดพร้อมกัน การเลือกข้างจึงเป็นกลไกพื้นฐานในการเอาตัวรอดทางความคิด
แต่หากจะบอกว่า คนเราเลือกข้างโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แปลว่าเราไม่มีทางเป็นกลางได้เลยหรือเปล่า ? แล้วการแสดงออกว่าเป็นกลางที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี่ล่ะ มันหน้าตาแบบไหนกันแน่? อาจารย์ได้แบ่งคำตอบของเรื่องนี้เป็น 2 แบบ

ในขั้นแรก อาจารย์ให้คำตอบถึงความเป็นเหตุเป็นผลว่า ความเป็นกลางอาจไม่ใช่การไม่มีจุดยืนอยู่ฝั่งใดเลย แต่เป็นจุดยืนที่เลือกจะไม่แสดงออกในสิ่งที่ตัวเองเลือกออกไป เพราะชั่งน้ำหนักดูแล้ว การแสดงออกทางการเมืองไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในชีวิต เท่ากับสิ่งอื่นๆ ที่เราต้องสูญเสียไปหากแสดงออกทางการเมือง เช่น ความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว หน้าที่การงาน ชื่อเสียง เพื่อให้ปลอดภัยจากการโต้เถียงหรือถูกตั้งคำถาม
“การแบ่งข้างทางการเมือง ตามความหมายทั่วไปก็คือ ฉันจะเป็นแดง ฉันจะเป็นส้ม จะเป็นน้ำเงิน พอเราบอกว่าเราเป็นกลางในเรื่องนี้ ไม่ได้แปลว่าคุณไม่เลือกใครหรอก คุณเลือกนั่นแหละ เพียงแต่ว่ามันมีสิ่งที่คุณให้ความสำคัญมากกว่า คุณก็เลยเลือกที่จะไม่เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นในชีวิตของคุณ”
ส่วนในฟากฝั่งของเสรีนิยม อาจารย์เล่าว่า ในประวัติศาสตร์ วิธีคิดเรื่องความเป็นกลางทางการเมืองนั้นมันเกิดขึ้นมาพร้อมกับการเติบโตของเสรีนิยม และสิ่งที่ถูกยึดถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เสรีภาพส่วนบุคคล (individual freedom)
“สำหรับเสรีนิยม สิ่งที่ถูกเลือกไม่ได้สำคัญมากไปกว่าเสรีภาพที่จะเลือกเอง ทุกคนจึงมีสิทธิ์เลือกที่จะพูดหรือไม่พูดก็ได้ รวมไปถึงความเป็นกลางทางการเมือง ก็คือการเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายสามารถนำเสนอตัวเองได้ แม้แต่ความความเป็นกลางทางการเมืองมันมีการเมืองอยู่เสมอ ประเด็นคือผมไม่ได้คิดว่าความเป็นกลางทางการเมืองผิดนะ ผมรู้สึกว่ามันก็โอเค เพียงแต่ว่าเราต้องเป็นกลางแล้วรู้ด้วยว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร”

ทุกทางเลือกมีราคาที่ต้องจ่าย แม้เลือก ‘เป็นกลาง’ ก็ตาม
แม้จากการพูดคุย อาจารย์พยายามชี้ให้เห็นว่าการเป็นกลางทางการเมืองเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เราทำได้ แต่จากเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย การเป็นกลางก็ถูกตั้งคำถามไม่ต่างจากการเลือกข้างเช่นกัน จนเกิดเป็นการตั้งคำถามถึงคนที่เป็นกลางว่า พวกเขากำลังสนับสนุนฝั่งใดฝั่งหนึ่งในทางอ้อมหรือเปล่า?
อาจารย์ยืนยันในคำตอบที่ว่า เราสามารถเลือกเป็นกลางได้ แต่มันก็มีราคาที่ต้องจ่ายเช่นกัน อาจเป็นสายตาคนรอบข้างที่มองเข้ามา เสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้น ฝั่งเป็นกลางก็ต้องเผชิญสิ่งนี้ไม่ต่างจากคนที่เลือกข้างเหมือนกัน
“เราอยู่ในสังคมที่มีคุณค่าหลากหลาย และคุณค่าเหล่านี้มันก็ถูกใช้ตัดสินอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะเลือกหรือไม่เลือก เราจะถูกตีความหรือถูกบอกว่ามันมีปัญหาทุกครั้งไป ถึงที่สุดแล้ว เราจะเลือกหรือไม่เลือก มันกลับมาสู่ตัวเองว่ามันตอบสนองความหมายในชีวิตของเราแค่ไหน”
การเลือกว่ายืนอยู่ฝั่งไหนก็นับเป็นเสรีภาพที่ทุกคนพึงมี ในทางเดียวกันการเลือกไม่แสดงออกก็นับเป็นอีกตัวเลือกเช่นกัน แต่เราเป็นกลางกับทุกอย่างไปทั้งหมดได้จริงไหม เส้นไหนที่เราไม่สามารถเพิกเฉยหรือเป็นกลางได้? อาจารย์ให้คำตอบไว้น่าสนใจว่า
“ถ้าเราเชื่อในเสรีนิยมก่อน ทุกชีวิตมีความสำคัญ เพราะฉะนั้นการปกป้องชีวิตมันก็คือการปกป้องกฎหมายบางอย่าง ผมคิดว่าเส้นที่อาจจะต้องตั้งคำถามก็คือ การละเมิดกฎหมาย
สมมุติ ฝ่าไฟแดง หนีภาษี ถ้าเรายอมให้มันเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ มันก็จะทำลายสังคมการเมือง นั่นทำให้คุณก็อาจจะไม่ได้เลือกในสิ่งที่คุณอยากจะเลือก ผมรู้สึกว่ามันต้องกลับมาสู่ตรงนี้ คือเงื่อนไขสำคัญ ก็คือ เราต้องปกป้องเงื่อนไขที่ทำให้เราได้เลือกตัวเลือกใดๆ ด้วยตัวเองให้ได้”

ขมวดจบให้กระจ่างอีกครั้ง มนุษย์อาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเลือกข้างได้
แม้แต่การพยายามทำตัวให้เป็นกลางก็ต้องอาศัยการตัดสินใจ ว่าอะไรควรให้น้ำหนักมากกว่ากัน ระหว่างผลลัพธ์ของการเลือกข้าง กับผลลัพธ์ของการไม่เลือกเลย หากเราเลือกข้าง เราอาจถูกตั้งคำถามจากฝั่งตรงข้าม สูญเสียความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ส่งผลกับหน้าที่การงาน หากเราให้น้ำหนักกับเรื่องการเมืองมากกว่า เราก็ยินดีที่จะสละเรื่องอื่นๆ แล้วแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน แต่หากเราไม่พร้อมจะแลก ยังมองว่าสิ่งอื่นๆ สำคัญกับเรามากกว่าการแสดงจุดยืนทางการเมือง การเป็นกลางจึงเป็นตัวเลือกของคนที่เลือกจะไม่แสดงจุดยืน แม้จะมีคำตอบลึกๆ ในใจก็ตาม หากมองอย่างเสรีนิยมตัวเลือกนี้เป็นไปได้ ไม่ได้ถูกหรือผิด ใจความหลักไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเลือกอะไร เพราะการได้เลือกสำคัญกับตัวเรามากกว่า
ทั้งนี้ เรากำลังพูดถึงการเป็นกลางทางการเมือง บางเส้นที่หมิ่นเหม่ต่อความถูกต้อง อย่างกฎหมาย ชีวิตผู้คน ก็อาจเป็นเส้นที่เราไม่ควรเป็นกลางได้ แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องยอมรับผลที่จะตามมา อย่างการตั้งคำถาม ตัดสิน วิพากย์วิจารณ์ในฐานะฝั่งเป็นกลางด้วยเช่นกัน
ตลอดการพูดคุยเราวนเวียนอยู่กับคีย์เวิร์ดซ้ำๆ เลือก ไม่เลือก ได้หรือไม่ได้ แน่ล่ะ เราอยู่ในสังคมที่มีการเลือกข้างเสมอ แต่หนึ่งคำถามที่มันแทรกเข้ามาในหัวว่า สังคมที่ทุกคนเป็นกลางไปเสียทุกอย่างล่ะ มันจะหน้าตาเป็นอย่างไร อาจารย์ทิ้งท้ายอย่างติดตลกว่า
“ผมคิดว่าสังคมอย่างนั้นก็น่าจะเป็นสังคมที่ทุกคนนอนกันหมดอะครับ”