แนวคิดรัฐในอุดมคติของเพลโต ไม่ได้เกิดขึ้นจากเมืองต้นแบบอันสมบูรณ์พร้อม แต่เกิดจากความวุ่นวายเอเธนส์ โดยมีการประหัตประหารโสเครตีสเป็นฟางเส้นสุดท้าย
The Republic ในชื่อไทย อุตมรัฐ งานชิ้นสำคัญของเพลโตที่กลายมาเป็นรากฐานปรัชญาการเมือง เนื้อหาด้านในแบ่งเป็นหลายส่วน แต่ละส่วนเหล่านั้นเป็นเหมือนสายธารที่แตกแขนงไปสู่ ความยุติธรรม ชีวิตที่ดี ความรู้ ความจริง รูปแบบสังคม การศึกษา และธรรมชาติ แต่ถ้าหากเดินย้อนกลับไปจะนำเราไปสู่ต้นน้ำเดียวกัน คือเราควรใช้ชีวิตอย่างไร และสังคมแบบไหนจะพาเราไปสู่ชีวิตที่ดี
แม้ในตอนนั้นเอเธนส์จะมีประชาธิปไตยในมือแล้วก็ตาม แต่ความระส่ำระสายจากสงครามภายนอกและสภาพสังคมภายใน ทำให้เอเธนส์ไม่เข้าใกล้ภาพฝันที่หวังไว้ (สามารถอ่านบทความ ทำไมโสเครตีสเกลียดประชาธิปไตย เพื่อเสริมความเข้าใจในส่วนนี้ได้) เพลโตจึงบันทึกบทสนทนาระหว่างโสเครตีสและผู้คนมากมาย เพื่อเสนอถึงรูปแบบการปกครองที่จะพาเราไปสู่สังคมในอุดมคติ เริ่มจากหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดในสังคมไปถึงภาพใหญ่
แล้วรัฐในอุดมคติ (ideal state) มันหน้าตาเป็นแบบไหนกันล่ะ?

เพลโตวางแบบแผนของอุดมคติไว้ตั้งแต่หน่วยย่อยรายบุคคล เริ่มจากความต้องการของคนหนึ่งคนนั้น ประกอบไปด้วย 3 อย่าง ได้แก่ ความต้องการทางกายภาพ ความต้องการทางใจ และเหตุผล ทั้งสามสิ่งนี้ไม่ควรมีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่ากัน ควรชั่งน้ำหนักให้สมดุล จึงจะถือว่าเราเป็นบุคคลที่มีอำนาจควบคุมตนเองได้
อย่างไรก็ดี แม้ทุกคนควบคุมตนเองได้ คนเหล่านั้นมาอยู่รวมกันในสังคม ก็ยังไปไม่ถึงปลายทางอยู่ดี เมื่อยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่เขาต้องการเอามาครอบทุกคนไว้ นั่นคือ ความยุติธรรม
สำหรับเพลโต ความยุติธรรมไม่ได้หมายถึงกฎหมายหรือการลงโทษเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึง หน้าที่ที่แต่ละคนทำในสิ่งที่เหมาะกับธรรมชาติของเขาที่สุด ใต้ความเชื่อที่ว่ามนุษย์แต่ละคนมีพรสวรรค์และธรรมชาติต่างกันที่ยึดโยงกับความต้องการ 3 ข้อในข้างต้น บางคนใช้เหตุผลควบคุมความต้องการอื่นๆ ได้ บางคนใช้ความต้องการทางกายภาพ อย่างความหิวโหย นำทางใจชีวิต จนหลงลืมข้ออื่น ทั้ง 3 ข้อนี้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้แต่ละคนต่างกัน พอมาอยู่รวมกันแล้ว จึงควรจัดหาหน้าที่ต่อสังคมให้เหมาะกับคนนั้น
เขาแบ่งสังคมออกเป็นสามกลุ่มตามคุณลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของมนุษย์
- ชนชั้นปกครองที่เปี่ยมปัญญา
- นักรบที่มีความกล้าหาญ
- แรงงานที่มีเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐ

การจัดแบ่งนี้ไม่ใช่การให้สิทธิมากน้อยต่างกันตามฐานะทางสังคม แต่เป็นการวางหน้าที่ ให้ตรงกับธรรมชาติของแต่ละคน ความยุติธรรมในมุมของเพลโต คือสังคมที่คนทุกกลุ่มทำตามหน้าที่ของต้นได้ดี ไม่ก้าวก้ายหน้าที่กัน และทั้งหมดอยู่ภายใต้การนำของผู้ปกครองที่มีความรู้ มีความกล้าหาญ รู้จักประมาณตน และมีความยุติธรรม อันเป็นลักษณะของผู้ปกครองที่ดี โดยเขาเรียกว่า นักปกครองปราชญ์ (Philosopher-King) เป็นบุคคลที่ผ่านการฝึกฝนจิตใจ ปัญญา และศีลธรรมอย่างยาวนาน เขาเชื่อว่าผู้ที่เห็นความดีอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะมีพลังใจที่จะปกครองโดยไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่เพราะเขาอยากได้อำนาจ แต่เพราะเขาตระหนักว่าการปกครองคือภาระเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
เพลโตจึงตั้งคำถามกลับสังคมของตัวเองว่า เหตุใดเราจึงยอมให้ผู้ที่อยากมีอำนาจที่สุดเป็นคนได้มันไป ทั้งที่บางทีผู้ที่ไม่ต้องการอำนาจอาจปกครองได้ดีกว่าเสียอีก รัฐจึงไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยความทะเยอทะยานส่วนตัว แต่ขับเคลื่อนด้วยการผสานกันของเหตุผล ความกล้า และความต้องการพื้นฐานที่ถูกจัดระเบียบอย่างเหมาะสม
แม้ภาพรัฐในอุดมคติของเพลโตจะฟังดูเป็นไปไม่ได้ในโลกจริง บางส่วนก็ถูกวิจารณ์ว่าเข้มงวดเกินไป หรืออาจนำไปสู่การปิดกั้นเสรีภาพ แต่มันก็ยังเป็นหนึ่งในจินตนาการสำคัญที่สุดที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อถามถึงแก่นของการอยู่ร่วมกัน และกลายมาเป็นชิ้นงานที่นักปรัชญารุ่นหลังนำมาต่อยอด ถกเถียง เห็นแย้ง จนเกิดเป็นแนวคิดปรัชญาการเมืองต่อมา
ในวันนี้คำถามของเพลโตก็ยังตามหลอกหลอนเราเสมอว่า ถ้ารัฐมีไว้เพื่อทำให้มนุษย์มีชีวิตที่ดี แล้ววันนี้รัฐของเราใกล้สิ่งนั้นสักแค่ไหน เรากำลังช่วยกันสร้างรัฐแบบไหนขึ้นมาในบทบาทเล็กๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม
บางทีบทสนทนาของเพลโตอาจไม่ได้ต้องการคำตอบตายตัว แต่อาจต้องการให้เรามองรัฐในฐานะงานที่ยังทำไม่เสร็จ งานที่ต้องอาศัยทั้งปัญญา ความกล้า และความซื่อสัตย์กับตัวเองว่าจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหนบนผืนดินเดียวกันนี้
อ้างอิงจาก