หากใครเป็นแฟนผลงานของ ฮิโรคาสุ โคริเอดะผู้กำกับชาวญี่ปุ่น ก็คงทราบดีว่าเขานั้นช่างขยันทำหนังเสียเหลือเกิน ชนิดที่ว่ามีหนังใหม่มาให้แฟนๆ ได้ดูกันแทบจะทุกปีโดยไม่ทันจะบ่นว่าคิดถึง
After the Storm คือหนังเรื่องล่าสุดของเขาที่กำลังเข้าฉายอยู่ในตอนนี้ ซึ่งด้วยมาตรฐานที่โคริเอดะรักษามาอย่างดีเสมอมาก็ทำให้มั่นใจตั้งแต่ก่อนจะดูได้ว่าหนังเรื่องนี้ก็คงจะไม่ทำให้ผิดหวัง ซึ่งก็เป็นดังคาด หนังของโคริเอดะก็ยังคงเอาเราอยู่ กระนั้นก็ด้วยความถี่ของผลงานของเขา ทั้งด้วยประเด็นหนังของเขาที่พักหลังๆ จะวนเวียนอยู่กับพล็อตเมโลดราม่าครอบครัวญี่ปุ่นก็เริ่มจะพาให้ผมอดรู้สึกเลี่ยนอยู่ลึกๆ ไม่ได้ แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันก็ยังเป็นหนังที่ดี มีปมของเรื่องที่น่าสนใจ แถมยังอุดมไปด้วยตัวละครที่มีชีวิตจิตใจและชวนให้ตกหลุมรักได้ง่ายๆ ก็ตาม
After the Storm บอกเล่าชีวิตของคุณพ่อสุดห่วยนามชิโนดะ เรียวตะ กับความผูกพันที่เขามีต่อลูกชายเพียงคนเดียวของเขากับภรรยาเก่า เรียวตะไม่ได้สิทธิเลี้ยงดูบุตร ทั้งเงินเก็บที่ไม่ค่อยจะมีก็ไม่พอจ่ายค่าเลี้ยงดูลูกได้อย่างเพียงพอ แต่เพราะความรักที่มีต่อลูกทำให้เรียวตะไม่เคยคิดจะยอมรับต่อความจริงนี้ ดื้อดึงจะพบลูกให้จงได้แม้ว่าในสายตาของอดีตคนรักจะรู้สึกเวทนาจากความไม่ได้เรื่องได้ราวของเขาอยู่ไม่น้อย
แม้จะเป็นคนไม่ค่อยได้ความ ทว่าตัวเรียวตะนั้นครั้งหนึ่งก็เคยเป็นนักเขียนที่เคยชนะรางวัลทางวรรณกรรมและมีผลงานตีพิมพ์เป็นของตัวเอง และถึงแม้ว่าความสำเร็จนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เรียวตะก็ยังคงยึดโยงตัวเองอยู่กับอดีตอันเรืองรองนั้น แถมบ่อยครั้งก็ใช้เป็นข้ออ้างว่าตัวเขาก็ไม่ได้ห่วยแตกเสียทีเดียว แต่ด้วยปัจจุบันที่อะไรต่างก็เปลี่ยนไป ทั้งวงการหนังสือก็รังแต่จะหดตัวลง เรียวตะจำต้องรับงานพิเศษเป็นนักสืบที่คอยสอดส่องพฤติกรรมชาวบ้าน เป็นสายลับจับชู้ให้กับครอบครัวแปลกหน้า โดยใช้คำกล่าวอ้างที่ว่าเขาเพียงทำงานนี้ก็เพื่อจะได้มีวัตถุดิบไปเขียนหนังสือเล่มใหม่เท่านั้น และตั้งใจว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะออกทันที โดยเนื้อแท้แล้วเรียวตะยังใฝ่ฝันถึงการเป็นนักเขียน แม้ว่าความเป็นไปได้ของความฝันที่เขามีจะไม่สว่างชัดสักเท่าไหร่
เรียวตะคือภาพแทนของ loser สมบูรณ์แบบที่ความฝันไม่เคยกลายเป็นจริง ซึ่งต่างจากตัวเด่นชัยในหนังเรื่องแฟนเดย์ อย่างที่ว่าแม้ความสัมพันธ์ของเด่นชัยกับคุณนุ้ยนั้นจะเกิดขึ้นและสิ้นสุดภายใต้เงื่อนไขของเวลาแค่เพียงวันเดียว กระนั้นแล้วอย่างน้อยๆ สิ่งซึ่งเด่นชัยได้สัมผัสก็คือความฝันที่ถูกแปลงสภาพเป็นเรื่องจริงที่จับต้องได้(แม้จะด้วยปาฏิหาริย์ก็ตาม) ไม่เหมือนกับเรียวตะที่ได้แต่เพียงมองไปยังอนาคตที่เลือนพร่าและไม่เคยถูกสนองตอบ(ไม่ว่าจะด้วยปาฏิหาริย์หรือแรงอุตสาหะ) คาดหวังลมๆ แล้งๆ ต่อเป้าหมายที่เขาเองก็ยังไม่รู้และไม่มั่นใจ หากว่าคุณมิวคือเป้าหมายอันชัดเจนของเด่นชัย เรียวตะกลับไม่มีความมุ่งหมายที่ชัดเจนในแบบนั้น เขาอาจจะฝันว่าคงจะดีหากได้เลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองเข้าสักวัน อาจเป็นครอบครัวที่เขาอยากให้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง หรืออาจเป็นการเลี้ยงชีพได้ด้วยฐานะนักเขียน ความเป็นไปได้เหล่านี้ล้วนตั้งอยู่บนสมมติฐานของความน่าจะเป็น นั่นเพราะตัวเรียวตะไม่เคยพูดออกมาตรงๆ ว่าสิ่งที่เขาฝันไว้นั้นคืออะไร
เช่นเดียวกับลอตเตอรี่ที่เขาซื้อ ตู้ปาจิงโกะที่เขาชอบเล่น หรือสนามแข่งจักรยานที่เขาไปพนันเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้คือเงื่อนไขที่เรียวตะเห็นว่าจะช่วยนำเขาไปสู่ความหวังระยะสั้นที่เขาวาดหวัง นั่นคือถ้าชนะพนันขึ้นมาเขาก็จะมีเงินไปซื้อถุงมือเบสบอลให้ลูกได้ จะมีเงินจ่ายค่าเลี้ยงดูเดือนนี้ได้ พูดได้อีกอย่างว่าก็เพื่อจะมีเงินไปจัดการกับอนาคตที่เขาเลือกแล้วเท่านั้น ซึ่งเรื่องที่เขาไม่เลือกมาเป็นสาระสำคัญของชีวิตอย่างค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ หรือค่าน้ำค่าไฟ เขาก็พร้อมจะปล่อยผ่านไปและอาศัยหลบหนีเจ้าหนี้เอาแทน
จึงไม่แปลกว่าทำไมตัวริวตะถึงติดการพนัน เพราะการพนันกับตัวตนของเรียวตะนั้นโต้ตอบซึ่งกันและกัน นั่นคือหากเรามองว่าถ้าการพนันคืออนาคตอันไม่แน่ไม่นอนแล้ว ตัวเรียวตะเองก็เป็นเช่นนั้น และหากเรามองว่าผลตอบแทนของการพนันก็คือเงินแล้ว ความมุ่งหวังระยะสั้นของเรียวตะก็เป็นเช่นเดียวกัน นั่นคือเงินไม่ใช่สิ่งซึ่งจะสนองตอบต่อความฝันเขาได้ในทันที หากแต่มีมันไว้ก็ยังพอจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปได้ก่อน พอจะปะติดปะต่อชีวิตฟอนเฟะของเขาได้แม้จะแค่เพียงชั่วคราว
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือเรื่องของความเก่งและความโดดเด่นในวัยเด็ก นั่นคือตัวเรียวตะนั้นเป็นที่ชื่นชมด้วยความเก่งของเขาในวิชาภาษาญี่ปุ่นที่มักได้คะแนนสูงอยู่เสมอ รวมถึงร่างกายของเขาที่สูงชะลูดจนทำให้เขาเป็นที่จดจำเพราะความสูงที่พุ่งพรวดของเขา
ปัจจัยของร่างกายที่สูงเกิน และผลคะแนนที่ดีในวิชาเรียนหนึ่งๆ นี่เองที่โดยไม่ได้ตั้งใจเรียวตะก็ได้ถูกสังคมรอบตัวตั้งความคาดหวัง หรือบ้างก็จดจำตัวเขาได้ว่าเป็นเด็กตัวสูงๆ เขียนหนังสือเก่งๆ และก็น่าเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตไปโดยปริยาย แม้ว่าในความเป็นจริงจะกลับพลิกตาลปัตร หาได้เป็นไปตามความคาดหวังของคนรู้จักในอดีต ตัวเรียวตะนั้นเติบโตขึ้นมาอย่างขัดแย้งกับภาพจำของตัวเขาเอง ตัวเขาในปัจจุบันนั้นถูกตัวตนแห่งอดีตอำพรางไว้อย่างมิดชิดเสียจนเมื่อเขาต้องดำเนินชีวิตอยู่กับความจริงที่ว่าตัวเองไม่ได้เติบโตขึ้นอย่างประสบความสำเร็จตามภาพจำนั้นๆ ไม่ได้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่อย่างที่เขาใฝ่ฝัน จนถึงขนาดที่บางส่วนของเขากลายเป็นสิ่งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเกลียดชัง
เราอาจพูดได้ว่า ‘พรสวรรค์’ คือใจความสำคัญที่ตัวโคริเอดะต้องการจะสื่อออกมาในหนังเรื่องนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนจากเรียวตะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพ่อไม่เอาไหนของเขาที่แม้จะไม่เคยปรากฏตัวในหนัง หากเราก็รู้ว่าตัวเขานั้นมีลายมือที่สวยจนหลายคนอิจฉา ความสามารถนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเขา แต่เมื่อวันหนึ่งที่สังคมรอบตัวได้หันมานิยมใช้การพิมพ์แทนการเขียนด้วยลายมือ พรสวรรค์ประจำตัวนี้ก็ค่อยๆ เลือนหายจากความจำเป็นไป จนในที่สุดก็เหลือเพียงแค่พ่อของเรียวตะเท่านั้นที่ยังดึงดันเขียนด้วยลายมือต่อไปแม้ว่ารอบๆ ตัวจะละเลยวิถีปฏิบัตินี้ไปแล้ว
มันจึงเป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อคิดถึงว่าการผลัดผ่านอันรวดเร็วของโลกในแต่ละวัน อย่างที่ว่าถ้าใครสักคนเกิดมาพร้อมพรสวรรค์สักอย่างหนึ่ง แต่สุดท้ายก็พบว่าพรสวรรค์ที่เขามีนั้นไม่จำเป็นต่อโลกใบนี้อีกแล้ว กลายเป็นความสามารถซึ่งฝังจมอยู่ในอดีต ความสามารถซึ่งถูกเทคโนโลยีหรือกระแสใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ อย่างเช่นที่ตัวเรียวตะเคยกล่าวไว้ว่าพื้นที่ทางวรรณกรรมเองก็กำลังหดตัวลง และจนแล้วจนรอดฝีไม้ลายมือทางการเขียนของเขาก็ไม่อาจสำแดงศักยภาพได้เต็มที่อย่างในอดีตอีกแล้ว
เรียวตะรู้ดีว่าเขาเองก็จำต้องปรับเปลี่ยนความสามารถของเขาตามความต้องการของสังคมที่เรียกร้องหางานเขียนที่เคี้ยวง่ายขึ้น กลืนสะดวก ขึ้นไม่ได้ต้องการอะไรที่ซับซ้อนและเข้าใจยากอย่างเช่นงานวรรณกรรมที่เขาชำนาญ จำยอมต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตามโลกและกาลเวลาที่ไม่แม้จะมองย้อนกลับมายังความสุกรองของความสุขสมของวันวาน

คาลิล พิศสุวรรณ