1
ในตอนจบของสารคดี Amy อันเป็นเรื่องราวชีวิตของ เอมี่ ไวน์เฮาส์ มีเพลงไพเราะแสนเศร้าเพลงหนึ่งดังขึ้นทิ้งท้าย
เพลงนั้นชื่อว่า วาเลอรี—Valerie
เนื้อหาของเพลงพูดถึงใครคนหนึ่ง, ใครคนหนึ่ง…ซึ่งอาจเป็นหญิงสาว หญิงสาวผู้มีผมสีจินเจอร์—ผมสีขิง—ผมสีแดง
บางครั้งฉันก็ออกไปข้างนอกเพียงลำพัง
ฉันมองข้ามผืนน้ำนั้นไป
แล้วคิดว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่หนอ
ฉันวาดภาพหนึ่งขึ้นในความคิด
มันเป็นเพลงที่มีจังหวะกึ่งกลางระหว่างกระฉับกระเฉงและเกียจคร้าน เป็นเพลงที่พูดถึงเนื้อหาที่ผู้ฟังไม่มีทางเข้าใจได้ในแวบแรก ใครคือเธอ ใครคือวาเลอรี และเพราะเหตุใด เอมี่ ไวน์เฮาส์จึงร้องเพลงนี้คร่ำครวญถึงเธอ
คร่ำครวญถึงสิ่งที่ผู้ฟังไม่อาจเข้าใจ
2
ในวันที่เสียชีวิต บอดี้การ์ดของเอมี่ ไวน์เฮาส์ เล่าว่า เขาเห็นเธอหัวเราะ ฟังเพลง และดูโทรทัศน์อยู่จนถึงตีสอง
10 โมงเช้าของวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2011 เขาพยายามจะปลุกเธอ เธอนอนหลับอยู่บนเตียง หมดสติ และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจปลุกเธอขึ้นมาจากการหลับใหลนั้นได้
ก่อนหน้านั้น เอมี่ ไวน์เฮาส์เคยบอกกับด็อกเตอร์คริสตินา โรมีต (Christina Romete) ผู้เป็นแพทย์ประจำตัวของเธอว่า—ฉันไม่อยากตาย
แต่กระนั้น เอมี่ก็ทำทุกอย่างตรงข้ามกับคำพูดนั้น
การตายของเธอไม่ซับซ้อนนัก แพทย์พบขวดวอดก้าเปล่าสองขวดกลิ้งอยู่บนพื้นข้างเตียงของเอมี่ และผลการตรวจเลือดก็พบว่า เธอมีแอลกอฮอล์ในเลือด 416 มิลลกรัมต่อ 100 มิลลิตร ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานที่กฏหมายกำหนดว่าจะขับขี่รถได้ถึงห้าเท่า
เธอไม่ได้เพียงเมาเท่านั้น แต่เธอยังมีอาการแอลกอฮอล์เป็นพิษต่อร่างกายด้วย
เมื่อร่างกายมีแอลกอฮอล์มากเกินไป มันจะไปกดระบบประสาทที่ควบคุมปฏิกิริยาต่างๆ เป็นปฏิกิริยาที่เราควบคุมด้วยตัวเองไม่ได้ เช่น การหายใจ หรือปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ ซึ่งบางอย่างก็ป้องกันการสำลักให้เราได้ด้วย การมีแอลกอฮอล์อยู่ในเส้นเลือดมากเกินไป สุดท้ายแล้วจะไปหยุดยั้งการทำหน้าที่เหล่านั้น
ใครดื่มเหล้าเมาแล้วอาเจียน นั่นคือปฏิกิริยาแรกๆ ของร่างกาย ในการขับสารพิษออกมา แต่หากเมามากหรือมีแอลกอฮอล์ในเลือดมาก การอาเจียนอาจทำให้เกิดสำลักได้เพราะปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ที่ป้องกันการสำลักไม่ทำงาน สุดท้ายจึงอาจเสียชีวิตเพราะขาดอากาศ
แต่เอมี่ไม่ได้อาเจียน เธอเพียงแต่อยู่อย่างนั้น จมอยู่กับโอเวอร์โดสแห่งแอลกอฮอล์ และจากโลกนี้ไปเงียบๆ ไม่เป็นที่สังเกตของใครในคืนกลางฤดูร้อน
การตายของเธอ หากใช้ภาษาไทย แพทย์จะบอกว่าเป็นการตายโดยอุบัติเหตุ แต่ในภาษาอังกฤษ การตายแบบนี้เรียกว่า misadventure ซึ่งหากดูตามรากศัพท์แล้ว ก็คล้ายเธอได้ออกผจญภัยไปอย่างพลาดพลั้ง กระทั่งหลงทาง คว้างปลิว หลุดมือ และไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก
คล้ายเธอนั่งอยู่ริมสายน้ำผืนนั้น เฝ้ามองข้ามไป มองหาผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่จะไม่กลับมาอีกแล้ว
3
นับแต่ฉันกลับมาบ้าน
ฉันก็ปล่อยตัวเละเทะ
ฉันเฝ้าคิดถึงแต่ผมสีจินเจอร์ของเธอ
และวิธีที่เธอชอบแต่งตัว
ใครคือวาเลอรีในเพลงนั้น?
ผู้คนคาดเดากันไปต่างๆ นานา หรือวาเลอรีจะเป็นชื่อของผู้ชายในอังกฤษ มีผู้ชายชื่อวาเลอรีจริงไหม หรือเอมี่ ไวน์เฮาส์ เป็นไบเซ็กชวล เธอเคยมีสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเพื่อนสาวไหม เพื่อนผู้หญิงในอดีตบางคน ที่ยังฝังร่องรอยความทรงจำเอาไว้ จนทำให้เธอแต่งเพลงนี้ออกมา—เพลงชื่อ…วาเลอรี
ความรางเลือน พร่ามัว คล้ายหมอกที่เคลือบคลุมผืนน้ำ ทำให้จินตนาการของผู้ฟังโลดแล่นไปไกลเหลือเกิน มีควาามเป็นไปได้ร้อยแปด ความเป็นไปได้, ที่ เอมี่ ไวน์เฮาส์ จะไม่มีวันลุกขึ้นมายืนยันหรือบอกเล่าได้อีกแล้ว ว่าอะไรจริงหรือไม่จริง
เธอจะไม่แวะมาค้างหรอกหรือ
หยุดล้อฉันเล่นเถิด
ทำไมเธอไม่แวะมาค้างเล่า
วาเลอรี?
4
คนมากมายคิดว่า เอมี่ ไวน์เฮาส์เป็นผู้เขียนเพลงวาเลอรี มีน้อยคนนักที่รู้ว่า นี่เป็นเพลงที่เอมี่ ไวน์เฮาส์ ร้องคัฟเวอร์
วาเลอรีในเพลงที่สร้างอารมณ์ความรู้สึกประหลาดให้ผู้ฟัง จึงไม่ใช่วาเลอรีของเอมี่มากเท่ากับเป็นวาเลอรีของผู้แต่งเพลงตัวจริง
เพลงนี้เขียนขึ้นและแสดงเป็นครั้งแรกโดยวงจากอังกฤษชื่อ ซูตันส์ (Zutons) และคนเขียนเพลงนี้ขึ้นมาก็คือ เดฟ แม็คเคบ (Dave McCabe) เขาเขียนถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเดตด้วย
นักข่าวเคยถามเขาว่า วาเลอรีคือใคร เขาตอบอย่างไม่ค่อยยี่หระเท่าไหร่นักว่า “ใช่ๆ คือเธอนั่นแหละ” เขามีสำเนียงลิเวอร์พูล “เธอก็น่ารักดีนะ”
พังครืน!
วาเลอรีที่อยู่ในจินตนาการของใครต่อใครหลายล้านคน วาเลอรีที่ล่องลอยแสนหวาน ยั่วล้อ แสนเศร้า สร้างร่องรอยเจ็บปวดหยั่งลึกอยู่ในน้ำเสียงของเอมี่ ไวน์เฮาส์ ได้พังครืนลงมา
ที่จริงแล้ว วาเลอรีในเพลงนี้ ก็คือ วาเลอรี สตาร์ (Valerie Star) ซึ่งเป็นเมกอัพอาร์ติสต์ผู้เคยออกเดตกับเดฟ แม็คเคบ และทำให้เขาต้องเขียนเพลงนี้ขึ้นในปี 2006 เมื่อเธอ—ผู้เป็นสาวอเมริกัน, ไม่สามารถเดินทางมาใช้ชีวิตร่วมกับเขาได้ที่อังกฤษ
เพราะเธอถูกตำรวจจับ
5
เธอต้องติดคุกหรือเปล่า
ต้องขายบ้านทิ้งเลยไหม
เธอได้ทนายความดีๆ หรือเปล่า
ฉันหวังว่าเธอคงไม่คล้ำไปนะ
ฉันหวังว่าเธอคงได้พบคนที่ดี
คนที่จะช่วยแก้ไขทุกอย่างให้เธอ
ผู้คนงวยงงกับท่อนนี้ของเพลงวาเลอรีมาเป็นเวลานาน
ทำไมวาเลอรีถึงต้องติดคุก ทำไมเธอต้องหาทนายความ ทำไมเธอต้องขายบ้าน
คำตอบก็คือ—เพราะนั่นคือเรื่องจริงของวาเลอรี สตาร์
เธอพบกับแม็คเคบที่บาร์แห่งหนึ่งในฟลอริดา เธอไปฟังเขาเล่นดนตรีที่นั่น แล้วความสัมพันธ์ก็เริ่มขึ้น แม้เขาจะต้องตระเวนเล่นดนตรีไปตามเมืองต่างๆ เธอก็ตามเขาไป
แต่แม็คเคบไม่อาจอยู่ที่อเมริกาได้ตลอดกาล สุดท้ายเขาก็ต้องกลับบ้านที่ลิเวอร์พูล วาเลอรีวางแผนจะย้ายไปอยู่ลิเวอร์พูลกับเขา แต่ปรากฏว่าเธอทำไม่ได้ เนื่องจากเธอถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่เสียก่อน เธอจึงเข้าอังกฤษไม่ได้
ก่อนหน้าการเดินทางเพียงหนึ่งสัปดาห์ เธอก่อความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับการขับรถเป็นหนที่เจ็ด นั่นทำให้เธอโดนข้อหาอาชญากรรม และถูกสั่งพักใช้ใบขับขี่ เมื่อมีข้อหาร้ายแรง เธอจึงไม่สามารถเข้าประเทศอังกฤษได้ และนั่นทำให้เดฟ แม็คเคบ ต้องคร่ำครวญถึงเธอ
เธอไปช็อปปิ้งที่ไหนบ้างไหม
เปลี่ยนสีผมหรือเปล่า เธอยุ่งไหม
เธอต้องจ่ายค่าปรับหรือเปล่า
เธอต้องหนีตำรวจตลอดเวลา
เธอยังวิงเวียนอยู่ไหม
ทันใดนั้น วาเลอรีที่พร่าเลือนก็ชัดเจนขึ้นฉับพลัน วาเลอรี สตาร์ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา แต่เธอคือเซเลบริตี้เมกอัพอาร์ติสต์ของอเมริกาที่ใครๆ ก็รู้จัก เราเห็นใบหน้าของเธอ เห็นคิ้วที่โก่งเป็นคันศร เห็นการแต่งงานอันงดงามประณีต
และที่สำคัญที่สุด—เราได้เห็นแล้วว่า ผมสีจินเจอร์ของเธอนั้นเป็นอย่างไร
ในจินตนาการของแต่ละคน ผมสีจินเจอร์มีหลากเฉด แดงเข้ม แดงอมเหลือง แดงเจิดจ้า สารพัดที่สมองของเราจะสั่งการให้เรา ‘เห็น’ ไปตามต้นทุนของเรา
แต่ภาพของวาเลอรี สตาร์ คือการบงการให้เราต้องมองเห็น ‘ความจริง’ ที่อยู่ตรงหน้า—ว่านี่แหละคือเธอ
นี่แหละคือวาเลอรี
นี่แหละคือสีผมของเธอ
6
เอมี่ ไวน์เฮาส์จากไปในการผจญภัยของเธอ ทิ้งจินตนาการแห่งเสียงนั้นเอาไว้ให้เราเฝ้าฝันถึงตลอดไป
ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนั้น เราจะไม่นึกถึงวาเลอรี สตาร์ กับสีผมและเมกอัพแสนงามของเธอ แต่เรานึกถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ผู้หญิงที่ได้ออกเดินทางผจญภัยไปในโลก เธอถูกจับ เธอสูญเสียอิสรภาพ เธอต้องต่อสู้ดิ้นรน และใครอีกหลายคนก็ยังเฝ้ารอให้เธอมาหา มาค้างคืนด้วย มานั่งเล่าเรื่องทุกข์เศร้า แบ่งปันเสียงหัวเราะ โอบกอดกันด้วยเสียงเพลง และเช็ดน้ำตาให้แก่กัน
เราต่างมีการผจญภัยของตัวเอง มีความพลาดพลั้งของตัวเอง และมีความพร่าเลือนแห่งจินตนาการนั้นของตัวเอง
ช่างหัวความจริงมันเถิด—ใครบางคนอาจรำพึงเช่นนั้นเมื่ออยู่ตามลำพัง

โตมร ศุขปรีชา