เป็นเรื่องยากไม่น้อยที่จะบอกว่าในบรรดาไททันทั้ง 9 ใน Attack on Titan ไททันตนไหนทรงพลังที่สุด เพราะสุดท้ายแล้วความทรงพลังของไททันก็ขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้ สถานการณ์เฉพาะหน้า ความสามารถในการคิด ทักษะการต่อสู้ และตัดสินใจของผู้ใช้ด้วย ซึ่งแน่นอนหลายคนโหวตให้ไททันบรรพบุรุษ (Founding Titan) เพราะความสามารถระดับบิ๊กบอสที่ op กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ทั้งสร้าง ระงับ ทำลาย และสามารถเปลี่ยนแปลงได้กระทั่งระดับโมเลกุลของร่างกายและความทรงจำผู้คน ใครล่ะจะไปชนะได้
ทว่าในเรื่องเราก็ได้เห็นว่าไททันบรรพบุรุษก็ถูกเคี้ยวกลืนได้ และหลังจากที่เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนล่าสุด ‘ความทรงจำแห่งอนาคต’ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ไททันตนไหนทรงพลังที่สุด แต่กลายเป็นไททันตนไหน ‘อันตรายที่สุด’ ต่างหาก และอย่างที่ได้ดูกันไป ไททันที่เป็นตัวอันตรายที่สุดก็คือ ไททันจู่โจม (Attack Titan) ไททันที่มีความสามารถเฉพาะตัว (unique ability) ที่ไม่เหมือนใครที่เพิ่งมีการเปิดเผยพร้อมกับทำให้คนดูช็อคไปตามๆ กัน และที่มาพร้อมกับความช็อคคือความมึนงงสับสนของคนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ถูกโฉลกกับหนังไซไฟ
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นการ twist ที่ยอดเยี่ยมจนไม่อยากให้ใครพลาดหรือเข้าใจผิดไป และที่หวังที่สุดคือทุกคนชื่นชมกับความชาญฉลาดและการวางแผนล่วงหน้าของ อ.ฮาจิเมะ อิซายามะ (Hajime Isayama) ฉะนั้นบทความนี้จะเป็นการช่วยอธิบายข้อสงสัยทั้งหมดเพื่อให้กระจ่างชัด เคลียร์ เกี่ยวกับการกระทำของเอเรน เยเกอร์, พลังไททันจูโจม, การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความทรงจำในอดีตของเอเรน และสิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้
(เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยข้อมูลสำคัญของอนิเมะ Attack on Titan ตอนล่าสุด)
ก่อนอื่นต้องกระทำการทบทวนก่อนว่าในตัว เอเรน เยเกอร์ พระเอกที่เพิ่งจะกลายเป็นวายร้ายแบบสัมบูรณ์ไปหมาดๆ คนนี้มีพลังอะไรอยู่ในตัว และไททันแต่ละตนสามารถทำอะไรได้บ้างตามลำดับที่ได้รับ
1. ไททันจู่โจม (Attack Titan) เอเรนได้รับมาจากพ่อที่กิน เอเรน ครูเกอร์ (Eren Kruger) มาอีกทอดหนึ่ง ในเบื้องต้นไททันจู่โจมถูกเข้าใจ (และทำให้เข้าใจ) ว่ามีพลังในการต่อสู้ ร่างกายที่แข็งแรง แต่จากที่สังเกตมาตลอดไททันประเภทนี้หากไม่มีสารแข็งตัวที่สามารถเพิ่มศักยภาพในการแข็งเฉพาะส่วนหรือสร้างร่างทิ้งไว้ในลักษณะของแข็ง
และหากผู้ใช้ไม่มีความสามารถในการต่อสู้หรือไหวพริบพอ ก็จะเป็นเพียงไททันที่มีซิกแพคและมีสติปัญญาที่ตัวใหญ่กว่าไททันทั่วไปเท่านั้นเอง เหมือนแอนนี่ที่เป็นไททันหญิง เอเรนก็คือไททันชายที่แข็งตัวเองไม่ได้เลยต้องใช้ตัวช่วย จนกระทั่งตอนล่าสุดที่เพิ่งเปิดเผยว่าไททันจู่โจมมีความสามารถเฉพาะตัวที่สมชื่อ ‘จู่โจม’
2. ไททันบรรพบุรุษ (Founding Titan) ไททันที่ได้กล่าวไปถึงพลังไปก่อนหน้านี้แล้วว่าทำอะไรได้บ้าง ไททันบรรพบุรุษมีพลังในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดที่สามารถสั่งสารด้วยการสั่งบรรพบุรุษไททันตนแรกที่เป็นเด็กหญิงนาม ‘ยูมีร์ ฟริทซ์ Ymir Fritz’ ใน สถานที่เหนือมิติเวลาและอวกาศที่เชื่อมโยงลูกหลานชาวเอลเดียไว้ด้วยกันที่เรียกว่า ‘สายธาร (The Path)’
แต่ถึงกระนั้นกลับมีเงื่อนไขนั่นคือพลังจะใช้ได้เฉพาะสายเลือดรางวงศ์เท่านั้น และปฏิญาณไม่ก่อสงครามของกษัตริย์ฟริตซ์ทำให้เจตจำนงของเขาในฐานะโซ่ตรวนจำกัดพลังของผู้ได้รับและไม่ได้มีอิสระในการจะใช้พลังเปลี่ยนแปลงอะไรดั่งใจนึก ทำให้ราชวงศ์ที่ได้รับพลังได้ราวกับถูกครอบงำและไม่สามารถหลุดพ้นได้ เอเรนได้พลังนี้มาจากการกินพ่อของเขาที่กิน เฟรด้า รีส (Frieda Reiss) ในเหตุการณ์สังหารหมู่ครอบครัว
3. ไททันค้อนสงคราม (Warhammer Titan) ไททันที่มีความสามารถในการสร้างอาวุธรุปร่างต่างๆ ไม่ใช่แค่ค้อน แต่สามารถเป็นดาบ แส้ ธนู หรืออะไรก็ได้ แม้กระทั่งตัวของไททันเองก็ยังเป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างขึ้นมา หรือเป็น ‘ค้อน’ ที่แท้จริง เอเรนได้รับไททันค้อนสงครามมาจากการใช้ไททันกรามเป็นเครื่องบดคั้นผลไม้แยกกาก และดื่มเลือดปนไขสันเข้าไปทางปากทั้งอย่างงั้นเลย
แม้จะฟังดูไร้พลังหากไม่นับความสามารถเฉพาะ ไททันจู่โจมก็เหมือนผ้าใบสีขาวที่อนุญาตให้เจ้าของพลังวาดอะไรก็ได้ลงไป เอเรนใช้ร่างของไททันจู่โจมอย่างอิสระ ใช้มันสู้แล้วแพ้บ้าง ใช้มันผสมศิลปะการต่อสู้แล้วชนะบ้าง (แต่ก็แพ้อยู่ดี) และการถือครองพลังแห่งไททันจู่โจมก็ทำให้เขาได้รับพลังไททันค้อนสงครามมาใช้ในการแหกคุก ดำเนินแผนการ และเข้าถึงตัวซีคได้สำเร็จด้วยหัวที่ปลิดปลิวแบบไม่ได้ตั้งใจ
ทีนี้ถึงเวลาให้แอร์ไทม์กับพลังไททันจู่โจมที่เป็นไฮไลต์และเป็นที่พูดถึงที่สุดในช่วงเวลานี้ เราเข้าใจกันมาตลอดว่าไททันจู่โจมมีพลังคือโจมตีหรือต่อสู้ได้ แต่นั่นเป็นพลังที่ไททันตนไหนก็ทำได้ พลังที่แท้จริงของไททันจู่โจมคือความสามารถในการอยู่เหนือกาลเวลาและพื้นที่ (time & space) กล่าวคือผู้ถือครองไม่เพียงแต่จะได้รับความทรงจำจากผู้ถือครองคนก่อนหน้า แต่ยังได้รับความทรงจำจากผู้ถือครองในอนาคตด้วย
การอยู่เหนือกาลเวลาและพื้นที่หมายความว่ากาลเวลากับพื้นที่ไม่มีผล ทลายกฎข้อนี้ไป ลบความจริงของการมีอยู่ของสองอย่างนี้ออก นั่นทำให้พวกเขาสามารถสื่อสารกันได้ โดยผู้ที่อยู่ข้างหน้าหรือผู้ถือครองในอนาคตสามารถส่งความทรงจำมายังผู้ถือครองในอดีตได้ตั้งแต่ความทรงจำและสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงส่งให้เห็นแค่บางส่วนก็สามารถทำได้เช่นกัน เหมือนที่ เอเรน ครูเกอร์ พูดชื่อของอาร์มินกับมิคาสะตั้งแต่ตอนที่ทั้งสองยังไม่เกิด หรือตั้งแต่ก่อนที่กรีช่าจะไปยังเกาะสวรรค์ด้วยซ้ำ
แม้เรื่องราวจะไม่ได้เปิดเผยว่าเอเรน ครูเกอร์ ได้รับความทรงจำมาจากเอเรนมากกว่านั้นมั้ย แต่ก็น่าคิดสนุกๆ เช่นกันว่าการที่เขารู้ว่าจะต้องทำอะไรและมั่นใจขนาดนั้นได้ ความทรงจำจากอนาคตมีส่วนหรือไม่?
เอเรน ครูเกอร์ ต้องตัดนิ้วกับทรมานชาวเอลเดียด้วยกัน ดูชาวเอลเดียจากไปอย่างเจ็บปวด รวมไปถึงปล่อยให้ไดน่า ฟริทซ์ (Dina Fritz) ตาย และให้คำแนะนำหรือข้อปฏิบัติที่เขาจะต้องทำต่อจากนี้หลังจากกินตัวเองเข้าไปอย่างละเอียดและเป๊ะ เป็นไปได้เช่นกันว่าเขาจะได้รับความทรงจำมาจากเอเรนอีกที เอเรนที่ได้รู้มาว่าพลังจะตกมาถึงมือเขาก็ต่อเมื่อ เอเรน ครูเกอร์ ทำแบบนี้ อาจส่งความทรงจำไปให้เอเรน ครูเกอร์ ดำเนินรอยตามก็เป็นได้
ในตอนล่าสุด สิ่งที่เกิดขึ้นคือซีคพาเอเรนไปเยี่ยมดูความทรงจำของพ่อเพื่อที่จะเปลี่ยนใจด้วยตัวเอง แม้ซีคจะสามารถสั่งการบรรพบุรุษ ยูมีร์ ได้ตลอด แต่ก็ทำสิ่งนี้เพราะต้องการให้เอเรนเข้าใจจริงๆ ว่าเขากำลังถูกความคิดของพ่อครอบงำ
แต่คนที่ช็อคเองกลับเป็นซีคที่ได้รับรู้ว่าพ่อรักน้องชายมากกว่าเขา พ่อมองน้องชายเป็นโอกาสที่ 2 และไม่ต้องการเข่นฆ่าหรือทวงคืนเอลเดียอะไรอีกแล้วในเมื่อเขามีภรรยาแสนดีกับลูกชายที่น่ารักและครอบครัวที่อบอุ่น การที่ทั้งคู่ไปยังพื้นที่ใต้โบสถ์ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีสืบทอดพลังและหลุมหลบภัยของตระกูลรีส ยิ่งทำให้เกิดความประหลาดใจยิ่งกว่าที่แท้จริงแล้วกรีช่า เยเกอร์ (Gresha Yeager) ไม่ได้ตั้งใจจะไปฆ่าอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่เขาตั้งใจไปขอร้องให้เฟรด้าปกป้องลูกและครอบครัวของเขา เขาทำไม่ลงเพราะไม่อยากให้เกิดความสูญเสียอีกแล้ว โดยเฉพาะคนที่ต้องได้รับหางเลขไปด้วยคือเด็ก
แต่เอเรนกลับกระซิบข้างหูพ่อและจากนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นที่เราได้รับรู้และได้ยินมาก็เกิดขึ้นตามที่มันควรจะเป็น นั่นหมายความว่าแท้จริงแล้วการกระทำนี้ไม่ได้เกิดจากกรีช่า แต่เกิดจากเอเรนที่บอกพ่อตัวเองให้ทำเช่นนี้ เป็นผลให้พ่อได้รับพลังไททันบรรพบุรุษมา จากนั้นก็ฉีดยาให้เอเรนกินตัวเอง แล้วเอเรนก็ได้รับพลัง เดินทางมาสู่จุดนี้ และกระซิบบอกพ่อเรื่อยๆ ไม่รู้จบจนเกิดเป็นปริทัศน์ หรือความขัดแย้งแบบหาต้นชนปลายไม่ได้ที่เรียกว่า paradox ทำให้นับตั้งแต่จุดนี้ Attack on Titan จะเป็นมังงะ/อนิเมะที่มีความเป็นไซไฟ mind-blow มากกว่าที่เคย
ทีนี้จุดที่อยากให้ทุกคนเกิดความเข้าใจตรงคือ ‘เอเรนไม่ได้ย้อนอดีตได้’ และ ‘พลังไททันจู่โจมไม่ได้มีความสามารถเช่นนั้น’ ถ้าจะนับเป็นการย้อนและแก้ไขอดีตแบบอ้อมๆ ก็อาจจะมองอย่างนั้นได้ แต่จะพูดให้ถูกต้อง ก็ต้องบอกว่าทั้งหมดที่เราได้ดูไปในตอนนี้เกี่ยวข้องกับ ‘ความทรงจำ’ และความสามารถในการใช้ความทรงจำของเอเรนที่เกิดขึ้นได้เพราะเอเรนมารวมกับซีค และยืนอยู่ด้วยกันกับซีค และเอเรนต้องสัมผัสกับซีคเท่านั้น จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาในตอนนี้จะเป็นการไปเยี่ยมเยียนความทรงจำพ่อ โดยมีพ่อเป็นศูนย์กลาง แต่เอเรน ไททันบรรพบุรุษ สองไททันรวมกัน หรือใครก็ตามไม่สามารถท่องกาลเวลาดูอดีตอย่างอิสระได้
อ.อิซายามะให้สัมภาษณ์ว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจเรื่องพลังของไททันจู่โจมและฉากต่างๆ ในตอนนี้ที่เราได้ดูกันไปหลังจากดูซีรีส์ Game of Thrones ซีซั่น 6 ที่มีตัวละคร Brandon Stark ย้อนอดีตไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นในฐานะผู้เฝ้ามองแต่ดันซนไปแตะต้องอะไรเข้าทำให้เกิดผลพวงคือชีวิตของคนคนหนึ่งอย่างโฮดอร์ (Hodor) พูดได้แค่คำว่า “โฮดอร์ โฮดอร์” แล้วต้องมารับใช้เขาแบบวนลูปและตายไปอย่างน่าสงสาย ซึ่งนั่นคือการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอดีตโดยตรงในฐานะของความจำของจักรวาล หน้าประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว
แต่สำหรับ Attack on Titan นั้นไม่เหมือนกันและ mind-blow คนละแบบ ตามคำบอกเล่าของกรีช่า “ไม่รู้ทำไมไม่ว่ากี่คนต่อกี่คนผู้ถือครองไททันจู่โจมถึงไม่เคยฟังคำสั่งใครเลย ไททันจู่โจมเป็นไททันที่เป็นอิสระ แสวงหาอิสรภาพด้านหน้า และไม่มองไปข้างหลัง” วรรคสุดท้ายพอเป็นเครื่องการันตีได้แล้วว่านี่ไม่ใช่การย้อนเวลา และไม่ใช่การสื่อสารกับอดีตโดยตรง แต่ด้วยความที่ความทรงจำและการรับรู้ร่วมกันของผู้ถือครองพลังไททันสามารถเป็นไปได้ในทุกๆ ช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับคนในอนาคตจะอนุญาตหรือไม่และอนุญาตให้รู้ได้แค่ไหน
สิ่งที่เราเห็นในตอนนี้จึงเป็นการส่งภาพและเสียงจากอนาคต ‘จากเอเรน’ ไปยังอดีต ของ ‘กรีช่า’ ที่ต่างก็เป็นผู้ถือครองพลังไททันจู่โจมทั้งคู่ ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงต่างจากที่ตาเราเห็น คือ
ฉากที่กรีช่าบอกจะให้กุญแจเอเรนเมื่อกลับมา – กรีช่าพูดกับเอเรนตอนเด็ก แต่จะเห็นได้ชัดว่าเขามองหน้าเอเรนตอนโตอยู่เพราะเอเรนส่งความทรงจำว่า เขากำลังยืนอยู่กับพ่อตรงประตูและจ้องตากันไปยังความทรงจำของกรีช่าในอดีตที่กำลังจ้องหน้าเขาอีกที (ในอนิเมะทำฉากนี้ในตอนแรกไม่ชัด แต่ในมังงชัดเจนว่า อ.อิซายามะวางโครงนี้ไว้แต่แรก จากภาพที่เห็นชัดว่ากรีช่าพูดแล้วมองไปในทิศทางอื่น)
กรีช่าเห็นซีคมีหนวดแวบหนึ่งตอนสลึมสลือหนังฟุบโต๊ะหลับ – เพราะเอเรนเห็น และภาพของซีคเป็นภาพความทรงจำผ่านสายเอเรนที่กำลังอยู่ที่ห้องชั้นใต้ดิน ห้องเดียวกับพ่อของเขา
การที่เอเรนกระซิบข้างหูพ่อ คือการบอกพ่อเช่นนั้นจริงว่าต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ แถมยังบิ้วท์ให้เข้าใจเหตุผล บวกกับเกิดอารมณ์ให้เข้าใจว่าสิ่งนี่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยการขุดอดีตไม่ว่าจะเป็น การตายของไดน่า ฟริทซ์กับเพื่อนพ้องนักปฏิวัติ, เอเรน ครูเกอร์ กับน้องสาวกรีช่าที่ตายเพราะเขาและการที่เขาเริ่มเรื่องทั้งหมดนี้ ก็ต้องสานต่อให้จบ แต่ไม่ได้ไปกระซิบตรงนั้นจริงๆ เหมือนที่พูดไปด้านว่า เอเรนส่งภาพและเสียงที่ตัวเองยืนอยู่ในความทรงจำพ่อ กลับไปยังความทรงจำพ่อในเวลาเดียวกัน เมื่อกรีช่าได้ยินดังนั้นทุกอย่างจึงเกิดขึ้น เป็นการเติมเต็มโชคชะตา สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว และสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ส่วนการที่กรีช่ากอดซีค หลังจากสังหารครอบครัวรีสและได้รับพลังไททันบรรพบุรุษ กรีช่าเห็นซีคเพราะเอเรนอยู่ที่นี่และเห็นซีค ซีคเป็นภาพที่เอเรนที่ถือครองพลังไททันจู่โจมเห็น กรีช่าจึงเห็นเช่นกัน เข้าจึงเข้าไปกอดและขอโทษกับแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่ทำลงไป การกอดนี้จึงเป็นไปได้สองอย่าง คือ 1. อาจดูเหมือนการกอดกันแต่ต้องพูดว่าทั้งคู่กอดลมถึงจะถูก 2. กอดกันได้จริงๆในเมื่อความทรงจำเอเรนกับกรีช่าแชร์ร่วมกัน สัมผัสทั้งห้าอาจแชร์กันด้วย
กล่าวคือ ความสามารถในการอยู่เหนือกาลเวลานี้เป็นข้อยืนยันว่าใน Attack on Titan เวลาไม่ได้เดินเป็นเส้นตรงแต่เกิดขึ้นพร้อมกันและส่งผลกันและกันได้เมื่อเกี่ยวข้องกับผู้ใช้พลังไททันจู่โจม มันจึงไม่ใช่การย้อนอดีตในเมื่ออดีตปัจจุบันอนาคตนั้นไม่อาจบอกได้ด้วยซ้ำว่าอยู่ข้างๆ กันหรือขดเป็นวงกลมไม่สิ้นสุด สิ่งที่เอเรนทำ คำอธิบายที่ดีที่สุดจึงเป็นการสร้างผลกระทบแบบเรียลไทม์ด้วยความทรงจำที่เชื่อมโยงร่วมกันของผู้ถือครองไททันจู่โจม
นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆน่าสนใจที่บ่งบอกล่วงหน้าถึงพลังการเชื่อมโยงระหว่างผู้ถือครองไททันจู่โจม คือ ฉากที่เอเรนถูกนำไปล่ามโซ่ให้ฮิสทอเรียกินในที่แห่งเดียวกัน เขาเคยพูดขึ้นมาว่า “รู้สึกเหมือนเคยมาที่นี่เลย” นั่นก็เพราะเอเรนได้รับความทรงจำมาจากพ่อหลังกินพ่อ และพ่อเคยมาที่นี่โดยตอนนั้นก็ได้รับภาพและเสียงจากเอเรนตอนโตที่ย้อนมาดูความทรงจำเช่นกัน
หลังจากที่เอเรนจูบมือฮิสทอเรีย รีส (Historia Reiss) ซึ่งเป็นการสัมผัสระหว่างผู้ถือครองพลังไททันจู่โจ่มและไททันบรรพบุรุษกับสายเลือดราชวงศ์พร้อมๆ กัน ทำให้เขาเห็นภาพอนาคตมาตลอดและรู้ว่าต่อจากนั้นตัวเองต้องทำยังไงต่อ
เอเรนจึงกลายมาเป็นตัวร้าย ดูถอยห่างจากเพื่อนๆ เหมือนไม่รู้จักกันอีกต่อไป ดำเนินการคนเดียว และในตอนจบอนิเมะซีซั่น 3 เขาจึงไม่ได้รู้สึกอินกับอะไรอีกเลย เอเรนได้แต่มองออกไปแล้วชี้ไปยังขอบทะเล พร้อมกับพูดว่า “ถ้าหากเราฆ่าศัตรูที่อยู่อีกฟากหนึ่งทั้งหมด พวกเราจะเป็นอิสระกันได้อย่างนั้นหรือ?” เขาไม่ได้อินกับอะไรอีกแล้ว ทุกอย่าง ทั้งทะเล ทั้งชีวิต ทั้งความเจ็บปวด รวมถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเอเรนได้รับรู้มันผ่านความทรงจำพ่อที่ได้รับอิทธิพลจากตัวเองในอนาคต รวมถึงความทรงจำเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตผ่านสายตาตนเอง เอเรนถึงได้ยิ้มไม่ออกตั้งแต่ตอนนั้นเรื่อยมา
ไททันจู่โจมจึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นไททันที่ทรงพลังที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะผู้ที่กุมพลังนี้สามารถรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และป้องกันหรือทำตามเพื่อผลลัพธ์ที่แน่นอนได้ แต่ยังเป็นไททันเพียงตนเดียว ‘ที่มีอิสรภาพ’ และไร้พันธนาการทั้งด้านสายเลือด ข้อจำกัด และกาลเวลากับพื้นที่อย่างแท้จริง
เพราะเมื่อลองมองดูและพิจารณาดีๆ จะเห็นได้ว่าไททันอีก 7 ตนสามารถถูกเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพ อ่อนแอ หรือถูกปลดพลัง ได้โดยไททันบรรพบุรุษ ในขณะที่ไททันบรรพบุรุษเองก็เป็นทาสของคำปฏิญาณไม่ก่อสงครามและเจตจำนงของกษัตริย์ฟริทซ์จนไม่ได้เป็นตัวเองเช่นกัน แล้วจะมีประโยชน์อะไรหากมีพลังแต่ปราศจากอิสรภาพที่จะใช้มัน?
เรื่องสำคัญที่อยากพูดที่สุดคือเรื่องความสำคัญของไททันจู่โจมที่มีความเกี่ยวข้องกับชื่อเรื่อง Attack on Titan กับในฐานะไททันที่สำคัญที่สุด
ชื่อ Attack on Titan จริงๆ เป็นคำที่ผิดหลักไวยกรณ์ อีกทั้งยังมีความกำกวมพอสมควร เพราะชื่อเรื่องแปลได้สองความหมายหรือสองแบบ Attack on Titan มีชื่อภาษาญี่ปุ่นคือ ‘Shingeki No Kyojin’ ที่มีความหมายทั้ง ‘Attack on Titan’ ที่อาจหมายความว่า ‘การจู่โจม/ปะทะกับเหล่าไททัน’ เหมือนๆ กัน War on Drugs หรือ Love on The Brain หรือ และอีกความหมายคือ ‘The Advancing Titan/Giant’หรือคำว่า Advancing เป็นคำเดียวกับ Attack-on (แบบมีขีด) ที่รวมกันแล้วทำหน้าที่เหมือนคำคุณศัพท์ (adjective) ไปขยาย Titan จึงสามารถแปลได้ว่า ‘ไททันที่เดินหน้าต่อสู้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง’
นั่นตรงกับคำบรรยายของไททันของเอเรนพอดิบพอดี เมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาเราเข้าใจมาตลอดว่าชื่อเรื่อง Attack on Titan มีความหมายเดียวคือการต่อสู้กับไททัน แต่มีอีกความหมาย (หรือจริงๆ แล้วมีความหมายเดียวคือความหมายที่กำลังจะพูดนี้) คือเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็น ‘เรื่องราวของเอเรน’
ผู้เขียนยังจำความรู้สึกขนลุกได้ดีเมื่อครั้งที่อ่านหนังมังงะเรื่องนี้ในฉบับภาษาอังกฤษถึงตอนที่ 88 และเมื่อมาถึงช่องสุดท้ายที่เป็นการเฉลยชื่อไททันที่เอเรน ครูเกอร์ กำลังจะมอบให้กรีช่า เขาได้พูดไว้ว่า “ไททันทุกตนต่างก็มีชื่อของมันเอง ไททันตนนี้เป็นไททันที่มักจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาอิสรภาพเสมอ มันต่อสู้เพื่ออิสรภาพ และชื่อของมันคือ (It’s name is..) ไททันจู่โจม (Attack on Titan)”
การเฉลยด้วยคำว่า ‘Attack on Titan’ ในภาษาอังกฤษ ทำให้เข้าใจกระจ่างทันทีว่านี่สินะความหมายของชื่อเรื่องที่ไม่เคยนึกถึง เราถูกทำให้เข้าใจผิดมาตลอด และจริงๆ แล้วนี่คือเรื่องราวของไททันและเอเรน เยเกอร์ มาตั้งแต่แรก ไม่ใช่ในฐานะตัวเอกของเรื่องราวที่เราได้รับชมผ่านเขา แต่ในฐานะคนที่มีผลกับเรื่องราวและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกของ Attack on Titan มากที่สุด
สิ่งที่เอเรนกำลังจะทำ เป็นการแสวงหาอิสรภาพในแบบของเขา เอเรนเชื่อว่าวิธีการและแผนทำลายโลกของตัวเองนี้จะนำมาซึ่งสันติในแบบของตัวเอง เพราะสันติที่ไร้ซึ่งผู้ต่อต้านคือความสงบของผู้มีอำนาจ
แผนการเขาจึงตรงกันข้ามกับซีคโดยสิ้นเชิง ซีคต้องการให้ชาวเอลเดียเสียสละความสามารถในการมีลูกเพื่อบอกโลกว่า “อย่ามายุ่งกับเราอีกเลย ให้เราอยู่อย่างสันติและสูญพันธุ์ไปอย่างเงียบๆ เถอะ” ในขณะที่สำหรับเอเรน โลกจะต้องหวาดกลัวพลังไททันจนไม่กล้ามายุ่งอีก และในเมื่อบอกโลกดีๆ ไม่ได้ การทำให้โลกหายไปซะเป็นเรื่องง่ายสุด เหลือแค่โลกใบที่เขาใช้ชีวิตอยู่มาตลอดและเขาเติบโตมานั่นก็คือเกาะสวรรค์ การที่เอเรนรับไม่ทันและลูกเบสบอลตกในตอนที่ผ่านมานั่นก็เป็นการบอกใบ้ล่วงหน้าแล้วว่าเอเรนไม่เอาด้วยกับแผนการซีค และตอนล่าสุดก็ยิ่งตอกย้ำว่าไม่ใช่แค่ไม่เอา แต่เอเรนหลอกใช้ซีคด้วยซ้ำเพื่อช่วยให้เขาเติมเต็มสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ นั่นคือสร้างลูปขึ้นมา