(บทความนี้เปิดเผยรายละเอียดสำคัญของอนิเมะ Attack on Titan ตอนล่าสุด)
“ฉันคือคนที่เหมาะสมจะเป็นไททันเกราะที่สุด สิ่งที่ฉันมีที่แตกต่างจากพวกนายคือการเตรียมใจในการแบกรับชะตากรรมของชาวเอลเดียไว้บนบ่า และฆ่าล้างพวกปีศาจบนเกาะนั่นที่ทำให้พวกเราต้องทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้ บนโลกจะได้เหลือเพียงชาวเอลเดียที่ดีเท่านั้น”
นี่คือสิ่งที่ ‘กาบิ บราวน์’ ตัวละครที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลานี้ ได้พูดไว้กับเพื่อนๆ ก่อนที่เธอจะเอาตัวเองไปเป็นเป้าสไนเปอร์ และยืนอยู่ท่ามกลางห่ากระสุนและระเบิด เสี่ยงชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่าเธอนั้นเหมาะสมที่จะเป็นผู้สืบทอดพลังนักรบไททัน รวมถึงพร้อมยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อที่ว่าหากทำสำเร็จ จะไม่ต้องเสียกำลังนักรบเอลเดียกว่า 800 คนไปในสงครามนี้ และหากทำไม่สำเร็จ ก็แค่ชีวิต ‘เด็กหนึ่งคน’
เหตุใดเด็กคนหนึ่งถึงต้องทำขนาดนี้และดูจะไม่มีความกลัวตายเลยซักนิด?
เหตุใดนักรบแนวหน้าถึงมีทหารเอลเดีย?
เหตุในเราถึงได้เห็นเด็กอยู่ในสนามเพลาะ?
เหตุใดเด็กคนหนึ่งจึงจับปืนกับระเบิด แทนที่จะเป็นตุ๊กตาหรือของเล่น?
และเหตุใดบทสนทนาบนโต๊ะอาหารเกี่ยวกับสงครามถึงมีเด็กผู้หญิงเป็นผู้ถ่ายทอดอย่างน่าตื่นเต้นสนุกสนาน?
หลังจากจบตอนล่าสุดซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของการบุกโจมตีอันอุกอาจของ ‘เอเรน เยเกอร์’ เนื้อเรื่องตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้สะท้อนถึงโลกแห่งความโหดร้ายที่อยู่ท่ามกลางกระแสสงครามราวกับเป็นการใช้ชีวิตปกติได้อย่างชัดเจน
ในบทความก่อนหน้านี้ ได้มีการพูดถึงการ Propaganda (โฆษณาชวนเชื่อ) ไปแล้ว และตัวละคร กาบิ คือผลผลิตอันสมบูรณ์แบบของสิ่งนั้น ผลผลิตที่รัฐบาลแห่งมาเลย์ต้องการและภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก เด็กที่ถูกโปรแกรมจนเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารผิดๆ เชื่อข้อมูลด้านเดียวอย่างสุดใจ ไม่ตั้งคำถาม ไม่ต่อต้าน และพร้อมยอมทำทุกอย่างเพื่อได้รับการยอมรับ ทั้งที่การยอมรับควรเป็นสิ่งทุกคนควรได้รับอยู่แล้วบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์
หลายๆ อย่างที่ปรากฏในซีซั่นสุดท้ายนี้ แสดงให้เห็นว่า กาบิยิ่งต้องเชื่อในสิ่งที่เธอเชื่อ และต้องทำในสิ่งที่เธอตั้งใจจะทำ ไม่ว่าจะเป็น
- การที่ทหารฝั่งตรงข้ามที่เธอได้ช่วยไว้ เรียกเธอกับเพื่อนว่า ‘ปีศาจ’
- ความโหดร้ายที่มาเยือนมาเลย์ที่เรียกว่า ‘เอเรน เยเกอร์’ ผู้เป็นวายร้ายตามเรื่องเล่าที่เธอได้ยินมาตลอด และในที่สุดก็ได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้า พร้อมกับพรากชีวิตผู้คนนับร้อยนับพัน
- เพื่อนของเธอ โซเฟียกับอูโดะ ที่คนหนึ่งถูกหินทับต่อหน้าต่อตา กับคนหนึ่งจะไปช่วยแต่กลับถูกเหยียบตายต่อหน้าต่อตาเช่นกัน
- ไททันค้อนสงครามถูกกิน ไททันลิงถูกฆ่า
- ลุงยามที่เธอสนิท ถูกยิงเสียชีวิตต่อหน้า โดย ‘ซาช่า เบราส์’
สิ่งหล่านี้ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่ทันได้ตั้งตัว หลังจากที่ผู้แต่งได้ใช้เวลาหลายตอนเล่าเรื่องในฝั่งมาเลย์ ตั้งแต่รุ่นของไรเนอร์จนถึงกาบิกับพวกพ้อง เพื่อให้คนดูได้ลองมองในอีกด้านที่ไม่เคยทราบมาก่อน ว่าเด็กๆ และผู้คนที่นี่โตมายังไง ถูกปลูกฝังมายังไง และตอบคำถามตั้งมากตั้งมายที่ได้ถามไปด้านบน พร้อมบอกคนดูว่า นี่แหละคือสงคราม ซึ่งสงครามก็มักมาพร้อมกับความสูญเสีย, propaganda กับการมองฝั่งตรงข้ามเป็นผู้ร้าย และมองฝั่งตนเองเป็นเหยื่อ/คนดีเสมอ
สำหรับไรเนอร์ อาจมีวอกแวกไปบ้าง ต่างจากแบล์โทลท์และแอนนี่ที่ยังยึดมั่นในภารกิจและอุดมการณ์เดิม แต่แม้ว่าตัวละครกลุ่มนี้ได้พบความจริงว่า คนที่เกาะสวรรค์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด ในท้ายที่สุด มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเปลี่ยนความคิด ฉะนั้นในกรณีของ กาบิ ที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ที่มาเลย์และไม่เคยไปที่นั่น แถมยังถูกให้ข้อมูลผิดๆ กับข้อมูลที่ผ่านการคัดกรองแล้วมาโดยตลอด ดูจะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำความเข้าใจเรื่องนี้หรือเลือกที่จะเปลี่ยนมุมมอง
แล้วใครคือผู้ร้ายตัวจริง ในศึกและความสูญเสียครั้งนี้?
สิ่งที่น่าสนใจคือ กาบิ บราวน์ เป็นตัวละครที่ อ.ฮาจิเมะ อิซายามะ (Hajime Isayama) สร้างขึ้นโดยมีส่วนนึงมาจากภาพสเก็ตช์ที่เขาเคยวาดไว้ ตอนที่ลองการจินตนาการว่า ‘จะเป็นอย่างไรหากเอเรนเป็นผู้หญิง?’
คงไม่ผิดนักถ้าหากจะมองว่า กาบิกับความโกรธแค้นและเกลียดชังของเธอ เป็นภาพสะท้อนของตัวละคร เอเรน ตอนเด็กในอีกเวอร์ชั่น ในอีกฟากฝั่ง ที่ทั้งคู่ต่างก็เสียคนที่รักไปต่อหน้าต่อตา และต่างต้องการหยุดยั้งความโหดร้ายนี้ด้วยการทำลายฝั่งตรงข้าม ที่เป็นเบื้องหลังความสูญเสียที่ตัวเองได้เผชิญ ซึ่งกาบิเปรียบได้กับเอเรนในช่วงวัยเด็ก ในขณะที่เอเรนในปัจจุบัน ได้เติบโตขึ้นจากเดิม เข้าใจโลกกับสิ่งที่เรียกว่า ‘สงคราม’ มากขึ้น
ในตอนนั้นที่เอเรนเสียใจเป็นอย่างมากที่ได้ค้นพบความจริงว่า เพื่อนในหน่วยฝึกเดียวกันที่เขาเชื่อใจและร่วมเป็นร่วมตาย ผ่านการฝึกด้วยกันมาอย่าง แอนนี่, แบร์โทลท์ และไรเนอร์ เป็นไททัน ได้แต่ตั้งคำถามซ้ำๆ ว่า “ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้?” และ “ไม่ว่าจะเพราะอะไร การอยู่ร่วมกินร่วมนอนมาอย่างยาวนานไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรเลยงั้นหรอ?”
ในที่สุดหลังจาก 4 ปี เอเรนก็ได้มาเยือนมาเลย์ด้วยการปลอมตัวภายใต้ชื่อ ครูเกอร์ และได้เผชิญหน้ากับ ไรเนอร์ สหายเก่า อีกครั้ง
“ฉันไม่เข้าใจเลย ในวันนั้นที่กำแพงแตก บ้านเกิดของฉันถูกไททันรุกราน แม่ของฉันถูกจับกินต่อหน้าต่อตา ทำไมกันล่ะไรเนอร์ ทำไมแม่ของฉันถึงต้องถูกกินไนวันนั้น?” เอเรนถาม หลังจากนั้นไรเนอร์ตอบตามความเป็นจริง พร้อมกับถูกเอเรนไล่ต้อนตลอดด้วยคำถามที่ว่า “ทำไมต้องพังกำแพงล่ะ?” กับ “เพื่อภารกิจอะไร?”
จนในที่สุดก็ได้คำถามจากไรเนอร์ว่า เขาไปที่นั่นเพื่อ ‘ชิงพลังไททันบรรพบุรุษและช่วยโลกใบนี้ไว้’
แต่ทั้งหมดนั่นไม่ใช่การถามเพื่อความอยากรู้อยากเห็นเหมือนเดิม เพราะไม่ว่าคำตอบจะคืออะไร เอเรนได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงเวลาที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้แล้ว สิ่งที่เขาต้องการนอกจากจะได้รู้สาเหตุแบบรู้ๆ ไปอย่างงั้น คือถามเพื่อกระตุ้นให้ไรเนอร์คิดว่าที่ผ่านมาเขาทำอะไรลงไป ก่อนที่จะทำให้ไรเนอร์เข้าใจว่า เขามาที่นี่ทำไม และเข้าใจว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไปนี้ มันก็ไม่ต่างจากที่ไรเนอร์เคยทำเท่าไหร่นัก
“จริงอยู่ที่ว่าฉันมองทุกสิ่งที่อยู่อีกฟากของท้องทะเลเป็นศัตรูทั้งหมด และตอนนี้ฉันก็ข้ามน้ำข้ามทะเลนั้นมา อยู่ใต้ชายคาเดียวกับศัตรู กินข้าวมื้อเดียวกันกับศัตรู ไรเนอร์ ฉันก็เหมือนกับนายนั่นแหละ แน่นอนว่าพวกน่าโมโหก็มี แต่ก็มีคนที่เป็นคนดีอยู่ด้วย จะนอกฝั่งทะเล หรือในกำแพง ก็เหมือนกันทั้งนั้น และจริงๆ แล้ว ฉันเองก็เหมือนกับนายนั่นแหละ… ฉันจะก้าวต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะกำจัดศัตรูให้สิ้นซาก”
หลังจากสิ้นเสียง พร้อมๆ กับการใช้ความจริงเพื่อปลุกปั่นให้โลกเกลียดเอเรนและเกาะสวรรค์มากไปกว่าเดิมของ ‘วิลลี่ ไทเบอร์’ เอเรนก็ได้แปลงเป็นไททัน บุกถล่มทุกอย่างที่ขวางหน้าโดยไม่สนว่าจะมีผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตไปมากเท่าไหร่ สำหรับเอเรน ต่อจากนี้จะมีแต่การทำลาย การกระทำของเขาอาจดูโหดร้าย แต่เมื่อมองในแง่ของสงครามแล้ว เขามีเหตุผลมากพอที่จะทำแบบนั้น เพราะเขาเคยเผชิญกับเหตุการณ์นี้มาก่อน และหากไม่บุกก่อน ก็มีแต่จะถูกบุก ถ้าไม่โจมตี ก็มีแต่จะถูกโจมตี
นั่นคือสาเหตุที่เอเรนทำในสิ่งที่เขาทำ
สำหรับ กาบิ จริงอยู่ที่ยังมีความเป็นจริงอีกด้าน แต่ ณ ช่วงเวลานั้น นอกจากมันทำให้เธอตั้งคำถามกับไตร่ตรองสิ่งที่เพิ่งจะรับรู้มาจากวิลลี่ ไทเบอร์ ไม่ได้แล้ว มันยังเป็นการตอกย้ำด้วยว่า ‘เรื่องเหล่านั้น ที่ว่าคนบนเกาะคือปีศาจ และเอเรน เยเกอร์ คือคนชั่วร้ายที่จะทำลายสันติภาพ เป็นเรื่องจริง’
“โซเฟียน่ะ โดนเศษหินที่กระเด็นมาทับท่อนบน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังนั่งอยู่ข้างๆ กันแท้ๆ อูโดะที่จะเข้าไปช่วยโซเฟียก็โดนคนที่กำลังวิ่งแตกตื่นเหยียบซ้ำไปซ้ำมาจนหัวแตก ส่วนลุงทหารยามสองคน ก็โดนผู้หญิงที่อยู่บนหลังคายิงตาย” กาบิพูดกับฟัลโก้ด้วยความเจ็บแค้น ฟัลโก้ที่ดูจะเข้าใจอะไรๆ มากกว่าตอบกลับไปว่า “ศัตรูเองก็ถูกเหล่านักรบมาเลย์โจมตี คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายเหมือนกัน ก็เลยมาแก้แค้น”
กาบิดูอึ้งไปพักนึง ก่อนที่จะสวนกลับไปว่า “แล้วนายเคยเห็นมันกับตาด้วยหรือไง?” “ฉันไม่เคยเห็น และจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ พวกนั้นก็ยังเป็นปีศาจร้ายอยู่วันยังค่ำ “ฉันจะขึ้นไปฆ่าพวกปีศาจให้หมด!”
ณ ตอนนั้น เรารู้ได้ทันทีว่าทุกอย่างสายไปแล้ว เหมือนที่สำหรับเอเรน ต่อจากนี้เขาไม่มีทางหันหลังกลับแล้วเช่นกัน กาบิเลือกที่จะไม่ฟัง ไม่แม้แต่จะทำความเข้าใจว่านี่เป็นการโต้กลับเพราะพวกมาเลย์ไปทำเค้าก่อน แต่ตั้งใจจะแก้แค้นเท่านั้น เพราะภาพการสูญเสียมากมายเหล่านั้นที่เธอได้เห็นมันกับตา โดยไม่ได้สนใจเหตุผลอะไรอีกต่อไป จนนำทั้งเธอและฟัลโก้ไปสู่อันตราย และการเสียชีวิตสุดช็อคของตัวละครซาช่า
ดังเช่นในบทกวี Romeo and Juliet ของ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) ที่มีการกล่าวไว้ว่า “These violent delights have violent ends (ความรุนแรงมักจบด้วยความรุนแรง)” เชื่อว่าหลังจากตอนล่าสุดคนดูไม่น้อยทั้งเสียใจและโกรธเคืองตัวละครนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจได้เช่นกันว่าทำไมตัวละครนี้ถึงต้องทำในสิ่งที่เธอได้ทำไป