1.
ชาร์ลส์ คันเลน (Charles Cullen) เป็นบุรุษพยาบาล มีภูมิหลังทางครอบครัวที่แสนเศร้า ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เจ้าตัวพยายามจะฆ่าตัวตายมาแล้วครั้ง แต่มีคนมาเจอก่อน ขณะเป็นทหารเรือก็พยายามจะก่อเหตุดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อภรรยากับลูกทิ้งไป เขาพยายามจะฆ่าตัวตายเป็นครั้งที่ 3 แต่ก็ล้มเหลว
สุดท้ายเมื่อถูกจับกุม ชาร์ลส์มีโอกาสต้องโทษประหารชีวิต เป็นความตายที่หยิบยื่นให้ แต่เขากลับปฏิเสธโดยหันไปร่วมมือกับอัยการเปลี่ยนโทษประหารชีวิตเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตแทน
นี่คือเรื่องราวของเด็กที่โดนรังแกตั้งแต่เยาว์ยันโต สู่อาชีพบุรุษพยาบาลกับการดูแลคนไข้ ที่ซึ่งเขาได้ใช้เวลา 16 ปีในการสังหารผู้ป่วยโดยการฉีดยาเป็นจำนวนมาก กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ที่ได้รับฉายาจากสื่อว่า เทพบุตรแห่งความตาย (Angel of Death) ชายที่อาจจะฆ่าคนไปถึง 400 ราย โดยชาร์ลส์บอกว่า
“สิ่งที่ผมทำลงไปเพราะต้องการจะช่วยเหลือ
ไม่ให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป”
2.
ชาร์ลส์เกิดในปี ค.ศ.1960 เป็นลูกคนสุดท้องจากพี่น้อง 8 คน เกิดได้ไม่นานพ่อก็ตายจาก ชีวิตวัยเยาว์เขาโดนรังแกเสมอจากแฟนหนุ่มของพี่สาวและเพื่อนที่โรงเรียน ทำให้อายุเพียง 9 ขวบ ชาร์ลส์ก็ซดสารเคมีจากห้องแลบที่โรงเรียนเพื่อฆ่าตัวตายเสีย แต่มีคนช่วยเหลือไว้ได้ทัน
พออายุได้ 17 ปี แม่ก็มาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ ความตายของแม่นี่เองทำให้ชาร์ลส์เลิกเรียนมัธยมปลายสมัครแล้วเข้าสมัครเป็นทหารเรือ ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูเป็นคนติ๋มๆ แล้วถูกรังแกมาตั้งแต่เด็ก เพื่อนทหารเรือด้วยกันจึงดูชาร์ลส์ออก เขาโดนรังแกอย่างต่อเนื่องในชีวิตทหาร จนทำให้เขาตัดสินใจฆ่าตัวตายเป็นครั้งที่ 2 แต่ไม่สำเร็จ ก่อนถูกสั่งให้พบจิตแพทย์รักษาตัว
กองทัพเรือลงความเห็นว่า ชาร์ลส์มีปัญหาทางจิตใจ จึงปลดเขาออกอย่างไร้เกียรติเมื่อปี ค.ศ.1984 โดยอ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพ แต่ความจริงการที่เขาพยายามฆ่าตัวตายนั่นแหละ คือสาเหตุสำคัญให้กองทัพไม่เอาเขาไว้อีกต่อไป
เมื่อหลุดพ้นจากเส้นทางทหาร ชาร์ลส์เข้าเรียนโรงเรียนพยาบาลจนจบ ดูเหมือนช่วงนี้ชีวิตเขาจะพบเส้นทางที่ใช่ ได้แต่งงานและมีลูกสาว 2 คนใช้ชีวิตปกติสุข ทำงานเป็นบุรุษพยาบาลดูแลผู้ป่วย
อย่างไรก็ดีกลายเป็นว่า
เส้นทางที่เขาเลือกนี้ได้เปิดประตูให้ชาร์ลส์เล่นบทเทพบุตร
มอบความตายให้กับคนไข้เป็นจำนวนหลายราย
ชายหนุ่มรับสารภาพต่อตำรวจในหลายปีต่อมาว่า การฆ่าคนครั้งแรกของเขาเกิดเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.1988 โดยตอนนั้นชาร์ลส์เพิ่งเข้าทำงานในโรงพยาบาลหลังเรียนจบมาได้ 2 ปี เขาดูแลผู้ป่วยจำนวน 12 คน และได้ทำการให้ยาผู้ป่วยรายหนึ่งมากเกินกว่าที่ร่างกายคนไข้จะรับไว้ จนเกิดอาการน็อกยาเสียชีวิต
ในช่วงปี ค.ศ.1988-1992 ชาร์ลส์ทำงานบุรุษพยาบาลปกติ เขาฆ่าคนอย่างต่อเนื่อง โดยการให้ยาเกินขนาด แม้โรงพยาบาลจะรับรู้ว่ามีผู้ป่วยเสียชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลของชาร์ลส์แถมการชันสูตรศพก็พบว่า ผู้ป่วยที่ชาร์ลส์ดูแลต่างเสียชีวิตจากการมีระดับอินซูลินในเลือดสูงผิดปกติทุกราย แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรแม้แต่น้อย จนเขาถูกไล่ออกเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1992 เพราะทำถุงน้ำเกลือปนเปื้อนอินซูลิน ซึ่งเป็นความผิดที่เบามากหากเทียบกับสิ่งที่เขาฆ่าคน
ชาร์ลส์หางานในโรงพยาบาลที่ 2 ในเวลาไม่นาน ช่วงนี้ชีวิตเขาย่ำแย่ ภรรยาขอหย่าขาดและหอบเอาลูกไปด้วย โดยให้เหตุผลว่า ชาร์ลส์เมาและก่อปัญหามากมาย แถมเขายังโดนจับกุมหลังไปรังควานคุกคามเพื่อนร่วมงานหญิงที่เคยมีสัมพันธ์ด้วย จนเธอต้องแจ้งความและชาร์ลส์ต้องติดคุกไปเกือบปี พร้อมมีคำสั่งศาลห้ามเข้าใกล้เพื่อนคนนี้อีก นอกจากนี้ชาร์ลส์ยังพยายามจะฆ่าตัวตายเป็นครั้งที่ 3 แต่ก็ดังเคย ไม่ประสบความสำเร็จ
สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ แถมยังก่อปัญหามากขนาดนี้ แต่ชาร์ลส์ก็ยังได้เข้าทำงานดูแลผู้ป่วยตามปกติ ทั้งที่เขาถูกแพทย์ลงความเห็นว่ามีอาการซึมเศร้า ต้องพบจิตแพทย์อยู่เป็นประจำ ดังนั้นเมื่อได้ทำงานที่ใหม่บุรุษพยาบาลคนนี้ก็ได้ก่อเหตุฆ่าคนตายด้วยวิธีการเดิมๆ ตามปกติ
นักข่าวอาชญากรรมที่ทำคดีชาร์ลส์ต่างสันนิษฐานว่าที่เขาลอยนวลได้ขนาดนี้ แม้จะมีหลักฐานชัดเจนเรื่องฆ่าคนตายด้วยการให้ยาเกินขนาด แต่โรงพยาบาลกลับไม่กล้าแจ้งความหรือร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นั่นก็เพราะอาชีพพยาบาลนั้นขาดแคลนและมีไม่เพียงพอต่อการดูแลคนป่วย หากเรื่องราวของชาร์ลส์ออกไป นอกจากจะหาคนมาทำงานด้านนี้ได้ยากแล้ว ผู้ป่วยก็จะไม่กล้ามาเข้ารักษา แถมชื่อเสียงโรงพยาบาลก็จะย่อยยับเสียหาย
นั่นจึงทำให้เรื่องราวของชาร์ลส์ได้รับการปกปิด ต่อให้มีคนร้องเรียนหรือเพื่อนร่วมงานแจ้งเตือนพฤติกรรมน่าสงสัยของชาร์ลส์มากแค่ไหนก็ตาม ทุกอย่างก็ไม่เคยจัดการหรือเผยแพร่สู่วงกว้าง อย่างมากก็แค่เชิญหรือไล่เขาออก แต่ดังที่เรียนไปแล้วว่าอาชีพพยาบาลขาดแคลนอย่างมาก ชาร์ลส์จึงหางานทำได้เสมอ โดยที่ไม่มีใครสนปัญหาในตัวเขาเลย
จากข้อมูลของตำรวจ ชาร์ลส์เคยก่อเหตุฆ่าคนไข้ตาย 13 คนในช่วงเวลา 13 เดือน นั่นหมายความว่ามี 1 คนที่ต้องตายด้วยน้ำมือเขาทุกเดือน นี่เป็นเพียงข้อมูลที่ตำรวจมีหลักฐานหนักแน่นจะเอาผิด คาดกันว่ายังมีผู้ป่วยหลายคนตายด้วยฝีมือชาร์ลส์อีกเป็นจำนวนมาก
เอาเข้าจริง ชาร์ลส์เคยถูกจับกุมข้อหาฆ่าคนป่วยวัย 91 ปีซึ่งป่วยเป็นมะเร็งที่หน้าอก โดยเขาฉีดยาให้กับคนป่วย จากนั้นเธอก็อาการดีขึ้น ก่อนจะเสียชีวิตลงเพราะหัวใจล้มเหลว ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของลูกชายคนป่วยทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเป็นพยานอย่างดีที่ยืนยันว่าชาร์ลส์เป็นคนฉีดยาฆ่า อย่างไรก็ดีผลชันสูตรไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ป่วยตายเพราะยาที่ชาร์ลส์ฉีด แถมเมื่อตำรวจสอบปากคำเอาเขาเข้าเครื่องจับเท็จ ก็ไม่ปรากฏพิรุธ เขาสอบผ่านไม่มีวี่แววโกหก นั่นทำให้จึงต้องปล่อยตัวไป
แม้โรงพยาบาลจะไล่เขาออก แต่เขาก็หางานใหม่ได้ และเริ่มฆ่าคนอีกครั้ง
3.
สภาพจิตใจของชาร์ลส์มีปัญหาอย่างมาก ใครเห็นก็ดูออก แม้กระทั่งเพื่อนบ้านก็ต่างกลัวชายคนนี้ สภาพภายนอกที่ดูน่ากลัว แต่เขาก็ยังหางานทำได้ต่อเนื่อง ครั้งหนึ่งเขาฉีดอินซูลินใส่ผู้ป่วยจนตาย แพทย์ที่รับผิดชอบคนไข้รายนี้ได้แจ้งเรื่องสงสัยว่า ชาร์ลส์อาจเจตนาให้ยาเกินขนาดแก่คนป่วย แต่ไม่มีการดำเนินการอะไร นอกจากไล่แพทย์คนนั้นออกจากงานเสีย
16 ปีแห่งการฆ่า ชาร์ลส์ทำงาน 9 โรงพยาบาล สถานดูแลผู้ป่วยอีกจำนวนหนึ่ง มีคนสงสัย แต่ไม่มีใครดำเนินการอะไรกับตัวเขาแม้แต่น้อย ทั้งนี้ตัวชาร์ลส์เองก็อยากจะออกจากอาชีพบุรุษพยาบาลแล้ว แต่ในปี ค.ศ.1993 ศาลมีคำสั่งว่าตัวเขาต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแก่ลูกๆ ทั้งสองจากภรรยาเก่า นั่นทำให้ชาร์ลส์วางมือจากอาชีพไม่ได้ ต้องทำงานหาเงินและฆ่าคนต่อไป
สิ่งที่เขาบอกกับตำรวจว่า เขาฆ่าผู้ป่วยเพราะไม่ต้องการให้เหยื่อทรมานจากความเจ็บป่วยอีกต่อไปนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะเหยื่อบางคนก็เป็นคนที่เข้ารับการรักษาตัวปกติ และมีโอกาสจะหายป่วยได้ อย่างเหยื่อรายหนึ่งของชาร์ลส์อายุเพียง 21 ปีป่วยเพราะโรคภูมิแพ้ตัวเอง ต้องผ่าตัดเอาม้ามออก แต่ชาร์ลส์ก็ฉีดยาทำให้เขาช็อกตายในเวลาต่อมา เรื่องนี้สร้างความเสียใจให้กับครอบครัวและผู้เป็นแม่อย่างมาก
ทุกคนสงสัยชาร์ลส์ เพื่อนร่วมอาชีพสงสัย
แต่ก็ดังเคย ทุกอย่างก็เงียบหายไป
จนกระทั่งในปี ค.ศ.2003 สาธุคุณฟลอเรียน กอลล์ (Florian Gall ) เข้ารับการรักษาตัวเพราะหัวใจเต้นไม่ปกติ แพทย์เข้ารักษาและยืนยันว่าสาธุคุณจะสามารถกลับบ้านได้ในเร็ววันอย่างแน่นนอน แต่อยู่ดีๆ ผู้ป่วยก็เกิดอาการหัวใจวายตายเสียเฉยๆ เมื่อชันสูตรพบยาบางตัวในระบบร่างกายที่สูงจนเป็นอันตราย และยาตัวนี้แพทย์ไม่ได้สั่งให้ฉีดในตัวผู้ป่วยเลย
การสอบสวนจึงเริ่มขึ้น ก่อนพบว่าชาร์ลส์เข้าไปพบผู้ตาย ทั้งที่เขาไม่มีหน้าที่ดูแล แถมยังพบหลักฐานว่า ชาร์ลส์ได้สั่งซื้อยาตัวนี้จากร้านขายยามาใช้เองโดยพลการ พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทุกคนก็สงสัยว่าชาร์ลส์อาจจะเป็นฆาตกรก่อเหตุดังกล่าว ทางโรงพยาบาลจึงตัดสินใจแจ้งตำรวจทันที
หลังจากปกปิดและสงสัยกันมานาน เมื่อชาร์ลส์โดนจับส่งตำรวจ เพื่อนร่วมงานได้แจ้งข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ถึงพฤติกรรมน่าสงสัยหลายอย่าง ตำรวจคุมตัวเขาไปสอบปากคำ ไม่นานชาร์ลส์ก็เปิดปากรับสารภาพว่าเป็นคนฆ่าสาธุคุณเอง ตอนแรกเขาสารภาพว่าอาจฆ่าคนไปมากกว่า 40 ศพ นี่ทำให้ตำรวจถึงกับตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าชาร์ลส์จะฆ่าคนได้เยอะขนาดนี้
เมื่อข่าวการจับกุมนี้ออกไป สื่อมวลชนตั้งฉายาเทพบุตรแห่งความตายให้เขาทันที ยิ่งมีข้อมูลหลุดออกมาว่าเขาอาจฆ่าคนตายไปถึง 400 ราย ยิ่งทำให้ชาร์ลส์แทบจะกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนเยอะสุดในประวัติศาสตร์ ว่ากันว่าที่เขารับสารภาพกับเจ้าหน้าที่หมดเปลือกขนาดนี้ก็เพื่อแสดงถึงความร่วมมือกับทางการ และเลี่ยงโทษประหารชีวิต ซึ่งได้ตกลงกันกับอัยการไว้แล้ว ชาร์ลส์จึงเล่าเรื่องราวการฆ่าเขาอย่างละเอียดยิบ อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่มีหลักฐานพอดำเนินคดีเพียง 29 ราย และศาลตัดสินให้เขามีความผิดจากการฆ่าคนไป 11 รายเท่านั้นมีโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยคัลเลนจะขอลดหย่อนผ่อนโทษได้อีกครั้งคือ 400 ปีข้างหน้า นั่นก็คือปี ค.ศ.2403
นักสืบที่จับกุมชาร์ลส์และสอบปากคำชายคนนี้พูดกับสื่อมวลชนว่า
“เขาเลือกได้ว่าจะช่วยชีวิตคนหรือพรากชีวิตใคร
แต่ในหลายกรณี เขากลับเลือกที่จะพรากชีวิตไปมากว่า”
4.
ในชั้นศาล ญาติผู้เสียชีวิตต่างประณามเขาเรียกว่า ไอ้ขยะ สัตว์นรก คนน่ารังเกียจ ชาร์ลส์พูดเพียงแค่ว่าต้องการช่วยเหลือคนป่วยให้พ้นจากความทรมาน จากระบบที่รักษาซึ่งทำให้พวกเขาเป็นเพียงร่างร่างหนึ่ง หาใช่ชีวิตมนุษย์ไม่
คดีชาร์ลส์ คัลเลนนี่เอง ทำให้ทางการต้องปรับปรุงกฎหมายบุคลากรการแพทย์ครั้งใหญ่ ให้มีการยื่นเรื่องร้องเรียนเพิกถอนใบวิชาชีพ หากพบบุคลากรการแพทย์ทำอันตรายต่อคนป่วย และเปิดให้คนในโรงพยาบาลร้องเรียนหากพบเห็นเหตุการณ์แบบนี้โดยได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย ซึ่งกฎหมายนี้ถูกเรียกในเวลาต่อมาว่า ‘กฎหมายคัลเลน’
ในปี ค.ศ.2006 เทพบุตรแห่งความตายได้อุทิศไตข้างหนึ่งแก่ชายซึ่งคบหากับอดีตแฟนสาวของเขา โดยการผ่าตัดไตนี้ทำให้เรื่องราวของชาร์ลส์เป็นข่าวอีกครั้ง เพราะเขาขู่ว่าจะไม่ร่วมการพิจารณาคดีและเผชิญหน้ากับญาติผู้เสียชีวิต หากไม่ได้บริจาคไต ทางการจึงยอมให้ชาร์ลส์ทำเช่นนั้น โดยไม่มีการระบุชื่อผู้รับบริจาคและโรงพยาบาลที่ผ่าไตเขา
การบริจาคไตของชาร์ลส์ สร้างความแปลกใจให้กับสังคมอย่างมาก เพราะเขาฆ่าคนเป็นจำนวนมากแต่ก็กลับแสดงความกรุณาให้กับคนอื่นอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของฆาตกรต่อเนื่องที่เราไม่อาจเข้าใจเหตุผลลึกๆ ในการก่อเหตุ การใช้ชีวิต ความทุกข์ยาก ความสุขสม หรือตัวตนของคนเหล่านี้ได้