ใครๆ ก็รู้ใช่ไหมครับ ว่ากระทาชายนายทรัมป์ของเราเขาไม่ ‘ซื้อ’ เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศหรือ Climate Change ว่าเกิดจากมนุษย์ เพราะฉะนั้น ทรัมป์ก็เลยจะมีนโยบายไม่สนับสนุนเรื่องนี้ ทั้งที่มีหลายโครงการกำลังดำเนินอยู่ ทำให้หลายฝ่ายกังวลกันว่า ‘มูฟ’ นี้ของอเมริกา น่าจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศให้ไปสู่ The Point of No Return และภัยพิบัติต่างๆ มากขึ้นไปอีก
คำถามที่น่าถามก็คือ อะไรทำให้ทรัมป์ ‘ไม่เชื่อ’ เรื่องนี้?
ที่จริงไม่ใช่แค่ทรัมป์เท่านั้นหรอกนะครับที่ไม่เชื่อ แต่การสำรวจล่าสุดของ Pew Research Center ที่เพิ่งออกมาในเดือนตุลาคม 2016 บอกว่า แม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ ก็มีคนอเมริกันแค่ 48% เท่านั้น (คือไม่ถึงครึ่ง!) ที่ตระหนักว่าโลกกำลังร้อนขึ้นเนื่องจากน้ำมือมนุษย์
Pew ยังค้นพบอีกนะครับ ว่าเวลาตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้เรื่องโลกร้อน (หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ) ถ้าเป็นคนที่มีแนวคิดเสรีนิยมแบบเดโมแครต จะตอบคำถามถูก 79% แต่ถ้าเป็นคนอนุรักษ์นิยมแบบรีพับลิกัน จะตอบถูกราวแค่ 15% เท่านั้น
นี่เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ เรื่องการเมือง หรือเรื่องอะไรกันแน่?
เดี๋ยวเราจะกลับมาดูผลการสำรวจของ Pew กันอีกรอบนะครับ แต่ตอนนี้อยากชวนไปดูการทดลองอีกอันหนึ่ง ซึ่งทำขึ้นโดยคุณแดน คาฮาน (Dan Kahan) กันเสียก่อน
จริงๆ แล้วคุณแดน คาฮาน เป็นคนน่าสนใจมากนะครับ เดิมทีเขาเป็นอาจารย์ด้านกฎหมายสอนอยู่ที่เยล เชี่ยวชาญกฎหมายอาชญากรรม แต่ในระยะหลัง เขาหันมาทำงานวิจัยเกี่ยวกับ Cultural Cognition (ซึ่งก็ไม่รู้จะแปลว่าอะไรเหมือนกันนะครับ เอาเป็นว่าเป็นเรื่องการรับรู้เชิงวัฒนธรรมของผู้คนในเรื่องต่างๆ ก็น่าจะพอได้อยู่)
งานล่าสุดของคุณแดนที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสาร Advances in Political Psychology นั้นน่าสนใจมากนะครับ เป็นงานที่มาจากการทดลองสำรวจคนกลุ่มต่างๆ เพื่อวัดสิ่งที่เรียกว่า Ordinary Science Intelligence ซึ่งอาจจะแปลเป็นไทยได้ว่าคือ ‘ปัญญาทางวิทยาศาสตร์แบบธรรมดาสามัญ’ ประมาณว่าเป็นความรู้พื้นฐานในทางวิทยาศาสตร์อะไรทำนองนี้แหละครับ ซึ่งในที่นี้ขอเรียกว่า OSI ก็แล้วกันครับ
วิธีวัด OSI นั้นทำง่ายๆ (คุณแดนบรรยายเอาไว้โดยพิสดารใน paper นะครับ ไปหาอ่านเอาได้ที่นี่ เขาบอกว่า ถ้าเป็นคนที่มีค่า OSI ราวๆ 70% ก็จะตอบคำถามทางวิทยาศาสตร์ง่ายๆ ประมาณว่า ‘อิเล็กตรอนเล็กกว่าอะตอม : จริงหรือเท็จ’ ได้ถูกต้อง แต่ถ้าคนที่มี OSI ต่ำ ก็มีแนวโน้มจะตอบคำถามง่ายๆ พวกนี้ผิดมากกว่า
ทีนี้ที่มันสนุกก็คือ คุณแดนไปวัดค่า OSI ของคนที่เป็นเดโมแครต กับคนที่เป็นรีพับลิกัน น่ะสิครับ ผลที่ได้ออกมานั้นน่าสนใจแบบโคตรๆ เลยละครับ
โดยทั่วไป หลายคนอาจคิดว่า ที่คนเราไม่เชื่อว่ามนุษย์ทำให้โลกร้อน (แต่มันเป็นวัฏจักรของมันเอง) ก็เพราะเราไม่ค่อยมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใช่ไหมครับ พอไม่มีความรู้ก็เลยอ่านข้อมูลอะไรพวกนี้ไม่ค่อยรู้เรื่อง พออ่านไม่รู้เรื่องก็เลยพานไม่เชื่อไปเลย
แต่การทดลองของคุณแดนให้ผลลัพธ์ที่น่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง เพราะมันค้านกับความคิดที่ว่าอย่างสิ้นเชิง!
ถ้าดู ‘ค่าเฉลี่ย’ โดยทั่วๆ ไป อาจไม่มีอะไรน่าประหลาดใจมาก เพราะคุณแดนพบว่า ที่ค่า OSI เฉลี่ยแล้ว เดโมแครตจะเข้าใจเรื่องโลกร้อนราว 80% ส่วนรีพับลิกันเข้าใจราว 20% (สอดคล้องกับผลสำรวจของ Pew) แต่พอเอาความเชื่อเรื่องโลกร้อนไปจับกับคนที่มี OSI ต่างๆ กันแล้วพล็อตออกมาเป็นกราฟนี่สิครับ มันประหลาดมากเลยทีเดียว
เพราะถ้าเป็นเดโมแครต ถ้ามี OSI ต่ำ (คือมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ต่ำ) ก็จะเชื่อเรื่องโลกร้อนเป็นฝีมือมนุษย์น้อยกว่าคนที่มีค่า OSI สูง พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้ามีความรู้มากขึ้น ก็จะเข้าใจเรื่องโลกร้อนมากขึ้น ซึ่งก็ปกติธรรมดาใช่ไหมครับ
แต่ในกรณีของรีพับลิกันนั้นกลับกัน,
เพราะยิ่งรีพับลิกันมีค่า OSI หรือมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเชื่อว่าโลกร้อนเกิดจากฝีมือมนุษย์น้อยลงเท่านั้น!
เฮ้ย! ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
คุณแดนก็น่าจะประหลาดใจเหมือนกันครับ เขาก็เลยลองทำการทดลองอีกแบบหนึ่ง นั่นคือเอาค่า OSI ไปลองวัดกับกลุ่มคนที่เคร่งกับไม่เคร่งศาสนาดูบ้าง โดยดูว่า ระหว่างคนที่เคร่งกับไม่เคร่งศาสนานั้น พวกเขาเชื่อในเรื่อง ‘ทฤษฎีวิวัฒนาการ’ (ของชาลส์ ดาร์วิน) มากน้อยอย่างไร
คุณแดนพบว่า ในกลุ่มคนที่ไม่เคร่งศาสนา ถ้า OSI น้อย จะไม่ค่อยเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการเท่าไหร่ แต่ถ้า OSI เยอะ คือมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากกว่า ก็จะเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการมากขึ้นเรื่อยๆ คือยิ่งรู้ก็ยิ่งเชื่อเรื่องนี้
แต่กลุ่มคนที่เคร่งศาสนานี่สิครับ ยิ่งมีค่า OSI สูงเท่าไหร่ (คือมี ‘ความรู้’ ในทางวิทยาศาสตร์มากเท่าไหร่) ก็จะยิ่งเชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการน้อยลงเท่านั้น พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีแนวโน้มจะเชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลกหรือเชื่อในทฤษฎี Creationism มากขึ้น หรือพูดให้สุดขั้วไปอีกนิดก็คือ ยิ่งมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่ง ‘ปฏิเสธ’ วิทยาศาสตร์ระดับสูงมากขึ้นเท่านั้น!
เฮ้ย!
ผลการทดลองนี้กำลังบอกเราว่า ต่อให้มี ‘ความรู้’ มากขึ้น ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้คนเราเปลี่ยนแปลง ‘ความเชื่อ’ ของตัวเองนะครับ แถมลึกๆ แล้วยังอาจใช้ ‘ความรู้’ นั้นเพื่อรองรับและ empower ความเชื่อดั้งเดิมของตัวเองได้ด้วย พูดภาษาดิบๆ หน่อยก็ต้องบอกว่า ความรู้อาจยิ่งทำให้ ‘ดื้อ’ มากขึ้นก็เป็นได้
คำถามถัดมาก็คือ-แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้
คุณแดนบอกว่า เอาเข้าจริงแล้ว ‘แก่น’ ของเรื่องนี้อาจอยู่ที่ ‘อัตลักษณ์’ (identity) ของคนก็ได้ มันทำให้คนเราผลิตอคติและมายาคติขึ้นมาสนับสนุน ‘ความเชื่อ’ ของตัวเอง ยิ่งรู้มากก็ยิ่ง ‘คอนเฟิร์ม’ ความเชื่อของตัวเองด้วยการหาเหตุผลต่างๆ มาสนับสนุนโต้แย้ง (ฟังแล้วคล้ายๆความเชื่อทางการเมืองของคนในบางประเทศเลยนะครับ)
ที่สำคัญ เรื่อง Climate Change นี่ มันไม่ใช่แค่เรื่อง Climate Change เท่านั้น แต่เกี่ยวพันไปถึงเรื่องทางการเมืองอื่นๆ อีกเพียบ เช่นเรื่องภาษีมลพิษที่อาจกระทบต่อเจ้าของอุตสาหกรรมใหญ่ๆ (ใครเป็นรีพับลิกันเจ้าของอุตสาหกรมย่อมไม่อยากเชื่อเรื่องมนุษย์ทำให้โลกร้อนเพราะอาจต้องจ่ายภาษีเพิ่ม ส่วนใครเป็นเดโมแครตหัวเสรีนิยมตัวเล็กๆ ที่อยากโค่นล้มจักรวรรดิทุนนิยมก็ย่อมต้องสนับสนุนโลกร้อน) รวมไปถึงเรื่องการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ การปล่อยก๊าซพิษ และการแทรกแซงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล
มีการสำรวจอีกอันหนึ่งที่ตลกดี คือมีคนลองถามพวกรีพับลิกันดูว่า ถ้าเราสามารถช่วยเหลือเรื่องโลกร้อนได้โดยไม่กระทบอะไรเลย เช่น ไม่ต้องจำกัดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ฯลฯ พบว่า ‘ความเชื่อ’ เรื่องมนุษย์ทำให้โลกร้อนของรีพับลิกันในกลุ่มที่สำรวจนั้น เพิ่มขึ้นจาก 22% ไปเป็น 55% (แต่ของเดโมแครตเท่าๆ เดิม)
แต่ถ้าฟังเสียงชาวรีพับลิกันเขาบ้าง เราจะพบว่าชาวรีพับลิกันส่วนใหญ่ออกมาบอกว่า อ้าว! ไหนสมัยก่อนบอกว่า-จะมีความคิดแบบวิทยาศาสตร์ได้ ก็ต้อง ‘สงสัย’ (หรือเป็นพวก Skeptical) เอาไว้ก่อนไม่ใช่เรอะ ทำไมพอมาตอนนี้ถึงมาบอกให้ทุกคน ‘เชื่อ’ เหมือนกันด้วยล่ะว่ามนุษย์ทำให้โลกร้อน ไม่ย้อนแย้งไปหน่อยหรือไง!
โอเคครับ ถ้ากลับมาดูผลการสำรวจล่าสุดของ Pew เราก็จะพบว่า แหม! ที่รีพับลิกันเขาว่ามานี่ มันก็จริงอยู่นะ เพราะเอาเข้าจริง มีเดโมแครตตั้ง 70% ทีเดียว ที่ ‘ไว้ใจ’ และ ‘เชื่อ’ นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ ว่าได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ตรงไปตรงมา และให้ข้อมูลอย่างเต็มที่แก่ประชาชนทั่วไปแล้ว ในขณะที่รีพับลิกันเชื่อเรื่องนี้แค่ 15%
ซึ่ง ‘ความเชื่อ’ เหล่านี้แหละครับ จะมีผลต่อเนื่องไปยังการออกนโยบายต่างๆ เช่น เดโมแครตเชื่อว่า ควรจะมีนโยบายจำกัดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานขนาดใหญ่ หรือมีการลดการปล่อยคาร์บอนในระดับโลก ฯลฯ ซึ่งก็ทำให้รีพับลิกันไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ เนื่องจากเห็นว่าทั้งหมดนี้วางอยู่บน ‘ความเชื่อ’ เท่านั้น
ต่อให้เป็นความเชื่อที่นักวิทยาศาสตร์ 97% ในโลกยืนยันว่าจริงก็เถอะ!
เอาเข้าจริง คำถามที่ว่า ‘ทำไม’ พวกอนุรักษ์นิยมหรือรีพับลิกัน (โดยเฉพาะ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้เป็นประธานาธิบดีผู้กุมอำนาจระดับโลก) ถึงได้ปฏิเสธว่ามนุษย์ทำให้โลกร้อน เป็นคำถามที่มีหลากหลายคำตอบมากๆ ทั้งในเชิงสังคม วัฒนธรรม ความรู้ ฯลฯ แต่ก็ยังไม่มีใครฟันธงตอบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะครับ ว่าเหตุผลของเรื่องนี้คืออะไร
แต่ที่ผมคิดว่าน่าสนใจ ก็คือข้อเรียกร้องของ คริส มูนีย์ (Chris C. Mooney) ซึ่งเป็นนักเขียนที่เขียนหนังสือชื่อ ‘แรง’ หลายเล่ม เช่น The Republican War on Science, Unscientific America : How Scientific Illiteracy Threatens Our Future หรือ The Republican Brain : The Science of Why They Deny Science – and Reality เขาออกมาบอกว่า การพยายาม ‘ผลัก’ คนให้ต้องยอมรับวิทยาศาสตร์-หรือยอมรับศาสนา, อย่างใดอย่างหนึ่ง (เหมือนที่ริชาร์ด ดอว์กินส์ ทำ) จะส่งผลร้ายทำให้ผู้คนแบ่งแยกกันลึกขึ้น และจะไม่ได้เปลี่ยนอะไรคนที่เชื่อในทางศาสนาอย่างสุดโต่ง
อย่างไรก็ตาม ที่สุดข้อเสนอของมูนีย์ก็ถูกโต้กลับจากหลายฝ่าย เขาได้รับฉายาว่าเป็น The Accommodationist หรือเป็น ‘ผู้รองรับ’ ทุกอุดมการณ์ที่พยายามประสานศาสนากับวิทยาศาสตร์หรือรีพับลิกันกับเดโมแครต ทั้งที่ก็ ‘เห็น’ อยู่ชัดๆ แล้วว่าข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างไร
สรุปก็คือ ดูเหมือนการเมืองร้อนโลกว่าด้วยโลกร้อนไม่อาจยุติลงง่ายๆ เพราะไม่ว่าจะมีข้อมูลหรือความรู้มากมายแค่ไหนจากฝั่งใดก็ตาม ‘ความเชื่อ’ ก็ยังคงเป็นฐานที่มั่นสำคัญในการ ‘ดำรงอยู่’ ของมวลมนุษยชาติเสมอมา