ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การเมืองร้อนแรงมากจริงๆ นะครับ ทำเอาทั้งเลือดลมสูบฉีดด้วยความหวัง หดหู่ด้วยความรันทดท้อ หรือความดันขึ้นด้วยความกริ้วโกรธสลับไปมาอย่างรวดเร็ว จนแทบจะแบ่งร่างทางอารมณ์ไม่ทัน นี่ก็คิดอยู่ว่าเกือบจะโดนสภาวการณ์การเมืองบีบให้เป็นประสาทกันไปหมดแล้ว
อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าหากสนใจการเมืองบ้าง มีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลบ้างแม้แต่เพียงน้อยนิด และมีจุดยืนที่อยู่ในฝั่งประชาธิปไตยเสรีแค่เพียงสักหน่อยเดียว ก็จะพอเข้าใจได้ในทันทีว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมานั้น ฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐและองค์กรอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นั้น ทำตัวน่าเกลียด น่าสะอิดสะเอียน และผิดจากหลักการเหตุผลมากเพียงไร จนจะเรียกว่าเป็นกระบวนการพยายามจะรัฐประหารโดย กกต. เพื่อ คสช. ก็อาจจะไม่ผิดไปนัก
ข้อสังเกตนี้ไม่ใช่ของผมคนเดียวเป็นแน่แท้ กระแส #กกตโป๊ะแตก นั้นกระหึ่มไปทั่วอาณาจักรโซเชียลในพริบตา แคมเปญถอดถอน กกต. ขณะนี้ใน Change.org ก็มีผู้เข้าร่วมอย่างรวดเร็ว และจะแตะ 1 ล้านคนในเวลาเพียงไม่กี่ข้ามคืน จนนำมาสู่การลงชื่อถอดถอน กกต. จริงๆ ขึ้นมาด้วย ได้ข่าวมาว่ากระแสดีไม่น้อยทีเดียว น่าเสียดายที่กายหยาบผมอยู่ญี่ปุ่น ไม่อย่างนั้นก็อยากจะได้มีโอกาสร่วมแรงกับหมู่มิตรสหายผู้ร่วมชิงชัง กกต. ชุดนี้ด้วยสักหน
ไม่เพียงเท่านั้น ผมคิดว่าเราเองก็รู้ดีอยู่ด้วยซ้ำแบบลึกๆ ว่า สิ่งเหล่านี้ต่อให้ทำกันไปแล้ว ก็จะทำอะไรกับคนเหล่านี้ที่กระทำย่ำยีสิทธิทางการเมืองของพวกเราอย่างไร้ชิ้นดีไม่ได้อยู่ดี
สุดท้ายคนเหล่านี้อาจจะกระทั่งได้เสวยสุขด้วยทรัพย์สมบัติมากเกินกว่าที่เราจะเฝ้าฝันถึงได้ในชีวิตนี้ จากการเหยียบหน้าเราซ้ำๆ โดยทำเสมือนหนึ่งว่าเราจะไม่รู้ตัว กระนั้นผมก็อยากจะบอกว่าทำไปเถอะครับ ออกไปเรียกร้องและลงชื่อถอดถอนพวกเขาไปเถิด แม้อาจจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่พึงใจในทางปฏิบัติ แต่อย่างน้อยมันก็จะเป็นบันทึกชั่วลูกชั่วหลานไปว่า คนเหล่านี้ได้กระทำความจัญไรบัดสีอะไรไว้ และอย่างน้อยเมื่อต้องเล่าให้ลูกให้หลานฟังก็ยังพอบอกพวกเค้าได้โดยไม่อายเกินไปว่า “เราได้พยายามสู้แล้ว แต่พ่ายแพ้ต่อพวกมัน” ซึ่งก็คงจะดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย
อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นทั้งความน่ารันทด และเป็นบทเรียนหลักสูตรเร่งรัดให้กับเหล่าผู้มีสิทธิไปออกเสียงครั้งแรกด้วยนั้นก็คือ พวกเขาเหล่านี้ไม่เพียงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฟาดฟันทางการเมืองที่แบ่งฝั่งมาตลอดสิบกว่าปีแล้วเท่านั้น พวกเขายังถูกลิดรอนสิทธิในการเลือกตั้งมาโดยตลอด โดยคนแก่รุ่นราวคราวปู่ย่าตาทวดของเขาแล้วทั้งนั้น อายุที่เหลือของคนเหล่านี้รวมกันอาจจะไม่ถึงครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เหล่าผู้ใช้สิทธิครั้งแรกได้ใช้ๆ กันมาเสียด้วยซ้ำ แต่แม้จะโดนกระทำมาปานนี้โดยไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยด้วยแล้ว ในการได้ใช้สิทธิครั้งแรกของพวกเขา ยังดันจะมากระทืบซ้ำพวกเขาจนหนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้ ผมคิดว่าแม้แต่ปีศาจอสุรกายยังไม่เลือกที่จะทำ และก็คงรับไม่ได้ด้วย นั่นแหละคือความน่ารันทดที่พวกเขาต้องเผชิญ แต่พร้อมๆ กันไปมันก็เป็นหลักสูตรเร่งรัดให้พวกเขาได้ประสบกับตัวเองโดยตรงด้วยว่า ทำไมในบางครั้งการเมืองบนท้องถนนจึงจำเป็น?
ในวันที่การโดนกดขี่ถึงขีดสุด ความน่าเกลียดที่กระทำซ้ำๆ ต่อหน้าต่อตาแล้วก็ทำต่อไปโดยไม่ต้องแคร์ใคร เพราะรู้ดีว่าไม่มีใครจะไปทำอะไรตนได้ เมื่อตัวระบบมันโดนควบคุมจนไร้ซึ่งศักยภาพที่จะตอบโจทย์เรา บางครั้งการมันก็อาจนำไปสู่การต่อสู้เรียกร้องบนท้องถนน และเช่นกันผมไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนี้ ผมเห็นแฮชแท็กและสเตตัสจำนวนมากที่บอกว่า “#ร่างกายต้องการแก๊สน้ำตา” ซึ่งผมก็ตื้นตันใจ แต่พร้อมๆ กันไปก็คิดว่าควรจะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วยว่า มาตรการสุดท้ายของประเทศนี้ไม่ได้จบที่แก๊สน้ำตา แต่เป็นกระสุนจริงจากภาษีประชาชนที่บินว่อนเข้าอกเข้าหัวประชาชน
ผมไม่ได้จะพูดเพื่อให้หวาดกลัวอะไรกัน เพราะว่ากันตามตรงการต่อสู้บนท้องถนนนั้นมีหลายวิธีการ และไม่ได้นำไปสู่จุดนั้นโดยง่ายนัก แต่ในขณะเดียวกันไปผมก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องกว่าด้วยที่จะไปโดยเข้าใจถึง ‘ความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด’ อยู่ในใจเสมอ แต่หากรู้แล้วเช่นนั้นและยังเชื่อมั่นว่าควรออกเดินต่อ ก็ขอให้ท่านเดินต่อไปเลยครับ เพราะชีวิตย่อมเป็นของเราเอง มีสิทธิตัดสินใจจะใช้มันอย่างที่เราเห็นควร และผมก็นับถือผู้ที่ตัดสินใจเลือกแบบนั้นเหลือเกิน ผมคิดว่าความเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้จำเป็นต้องถูกพูดถึง ทั้งเพราะเราต้องตอกย้ำไม่ให้ความทรงจำต่อความเลวทรามของการกดขี่นี้เลือนหายไป และมันเกี่ยวข้องอย่างมากกับ ‘ราคาที่เปลี่ยนไป’ ของการเป็นงูเห่าที่ผมจั่วถึงแต่แรกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความมืดมิดที่ตกต่ำนิวโลว์ลงเรื่อยๆ ราวกลับอยู่ในเหวที่ไร้ก้นนี้ เราก็ยังพอได้เห็นความหวังที่แสนริบหรี่ให้ใจชื้นมาบ้าง
เราได้เห็นสปิริตในโลกการเมืองชนิดที่ยากจะได้เห็นมาก่อนในเวทีการเมืองครั้งใดๆ จากการที่สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หรือคุณหญิงหน่อย (แม่ยายในมโนของผม) ออกมาประกาศว่าแม้พรรคเพื่อไทยจะได้จำนวน ส.ส. มากที่สุด (ซึ่งควรได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล) จะยอมไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ได้ และยินดีมอบตำแหน่งนี้ให้กับพรรคอื่นที่ไม่เอา คสช. ไม่เอาเผด็จการเช่นเดียวกัน ขอเพียงแค่ให้สามารถหยุดยั้งเผด็จการตอนนี้ได้ก่อน
ในสภาวะที่มันมืดมิด จมดิ่งในถ้ำไร้ก้นบึ้งเหลือเกินนั้น ผมคิดว่าสปิริตของคุณหญิงหน่อยสำคัญมากทีเดียว เสมือนเราได้รับคอปเตอร์ไม้ไผ่สภาพใกล้พังยามร่วงหล่นฟรีฟอลล์อยู่ในหุบเหว แม้อาจจะไม่ถึงกับทำให้รู้สึกว่าจะรอดไปถึงปากถ้ำนัก แต่ก็เปี่ยมสุขไปมากกว่าการรอความตายอย่างไร้ซึ่งทางเลือก และที่คุณหญิงหน่อยเพิ่งทวีตตอบเกมเมอร์เอกเมื่อเร็วๆ นี้ว่า แค่เจอด่านแรก ยังไม่ทันเจอบอสเลือดก็แทบหมดหลอดแล้ว ที่แม้จะดูเป็นมุกตลกนั้น แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นความจริงมากๆ ด้วย เพราะสิ่งที่นำมาสู้คือ ‘ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี’—จะเหลืออะไรที่ให้ได้มากกว่านี้ในเกมการเมืองของประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภาอีกเล่า? ฉะนั้นที่ว่าเลือดแม่ยายแทบหมดหลอดนั้นไม่ใช่การกล่าวเกินจริงอะไรเลย
อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ แต่ผมคิดว่าในระดับหนึ่ง ข้อเสนอระดับหมดหน้าตักของคุณหญิงหน่อยถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองแบบหนึ่งของทางเพื่อไทยด้วย เป็นการแสดงความรับผิดชอบทั้งที่ไม่ได้ทำผิดอะไรนี่แหละครับ แค่ว่าในฐานะพรรคการเมืองที่ถูกมองเป็นหัวหอกหรือทัพหลวงของฝั่งประชาธิปไตยแล้ว พวกเขากลับได้คะแนนเสียงน้อยกว่าที่คาดไว้มาก และทำให้เกมการต่อสู้กับฝั่งอนุรักษ์นิยมเผด็จการในระบอบประชาธิปไตยนั้นยากขึ้นมาก ทั้งยังต้องเจอกับ ส.ว. 250 คนในด่านต่อไปด้วย ผมอาจจะเดาผิดก็ได้ในส่วนนี้ แต่ผมคิดว่าภายใต้ความบอบช้ำที่เกิดขึ้นนี้ ทางเพื่อไทยเองก็รู้สึกผิดและคิดว่าตัวเองต้องแสดงความรับผิดชอบในการหาทางลุยฝ่าฟันต่อไปให้ได้อยู่ด้วย
คอปเตอร์ไม้ไผ่ที่ดูกำลังร่อแร่ดูจะถูกซ่อมอย่างค่อนข้างทันท่วงทีโดยแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคอนาคตใหม่ อย่างธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือคุณเอก พ่อของด้อมฟ้าทั่วราชอาณาจักร ที่ออกมาประกาศทันทีว่า แม้ตนจะพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็คิดว่าคุณหญิงหน่อยสมควรเป็นนายกที่สุด เพราะได้รับคะแนนเสียงเลือก ส.ส. มามากที่สุด และตนนั้นพร้อมจะให้การสนับสนุนโดยไม่ใช้ตำแหน่งทางการเมืองมาเป็นข้อต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีอื่นๆ ขอเพียงแค่สามารถทำตามข้อตกลง 3 ข้อของพวกตน (หาดูได้เองนะครับ) ในการมุ่งเป้ากำจัดอำนาจของ คสช. ลงให้ได้ก็พอ จะเรียกว่าแม่ยายโชว์สปิริตมา พ่อก็โชว์สปิริตกลับไปในทันทีเลยก็ว่าได้ มาสวย มาหล่อ ฟาดหนักกันทั้งคู่
การโชว์สปิริตอย่างหล่อของธนาธรนั้น มีนัยที่สำคัญในทางการเมืองมากนะครับ เพราะอย่างที่บอกไป ข้อเสนอของคุณหญิงสุดารัตน์นั้นเรียกได้ว่าเป็นข้อเสนอชนิดหมดหน้าตัก เลือดหมดหลอดแล้วจริงๆ ในทางการเมือง และข้อเสนอลักษณะนี้ในสภาวะทั่วไปก่อนหน้านี้ “ใครจะรับไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือแปลกอะไรเลย” เพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือตำแหน่งที่ทุกพรรคใหญ่ต่างพยายามแข่งขันช่วงชิงกันมาตลอดการเลือกตั้ง แต่เมื่อธนาธรประกาศออกมาในทันทีว่า “ไม่ขอรับตำแหน่ง และจะไม่ขอใช้ตำแหน่งเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง ข้อต่อรองเดียวที่มีก็คือหลักการทางอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ตรงกัน” ทั้งที่พรรคอนาคตใหม่นั้นได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับที่สาม คือ อย่างน้อย 80 ที่นั่ง ซึ่งมีผลอย่างยิ่งในการจัดตั้งรัฐบาล
การประกาศเช่นนี้เอง นำมาซึ่ง 2 เงื่อนไขที่สำคัญ คือ “การจับขั้วทางการเมืองในทันทีอย่างรวดเร็ว โดยให้อุดมการณ์มีนัยเหนือข้อต่อรองเรื่องตำแหน่งเก้าอี้ในคณะรัฐมนตรี” และอีกประการก็คือ “การสร้างงูเห่าประเภทใหม่ขึ้นมา” นั่นคือ ไม่ได้มีแต่เพียงงูเห่า หรือ ส.ส. แปรพักตร์ ของพรรคการเมืองหนึ่งๆ ในสภาอีกแล้ว แต่กลับเพิ่ม ‘งูเห่าในทางอุดมการณ์’ ขึ้นมาอย่างชัดเจนด้วย ว่าจะแปรพักตร์ต่อคำมั่นที่ให้ไว้กับประชาชนหรือไม่ ซึ่งบอกตามตรง ผมคิดว่าสภาวะเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นมาได้เลย หากความดำมืดเน่าเฟะของเหตุการณ์ไม่ได้บีบจนกระทั่งฝั่งค่ายประชาธิปไตยเสรีนั้นไร้ทางเลือกในการต่อสู้ขนาดนี้
ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงได้เห็นทีม Avengers โดย ‘6+1’ พรรคการเมืองแถลงร่วมกันอย่างชัดเจนในฐานะแนวร่วมเชิงอุดมการณ์ว่าจะไม่เอา คสช. ไม่เอาเผด็จการขึ้นมา เกิดเป็นสัตยาบันแลงคาสเตอร์ (Lancaster declaration) ขึ้นมา เพราะจัดที่โรงแรมแลงคาสเตอร์ (ถ้าจัดที่ Hilton, Novotel, Sofitel แล้วกลายเป็นสัตยาบันฮิลตั้น, สัตยาบันโนโวเทล, ฯลฯ นี่คงจะยิ่งตลกนะครับ) จะตลกหรือไม่ตลกกับชื่อสัตยาบันแลงคาสเตอร์ก็ตามแต่ แต่มันได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ผลักภาระและต้นทุนทางการเมืองไปให้พรรคที่ยังคงเล่นเกมการเมืองในระบอบรัฐสภาแบบเดิมอยู่
เราได้เห็นการบีบของฝั่งประชาชนต่อ ‘พรรคที่ยังลีลาจัด’ ไม่ให้คำตอบชัดๆ ออกมาสักที บอกว่ารอข้อมูลที่ชัดเจนก่อน อย่างพรรคภูมิใจไทย, ชาติไทยพัฒนา, ประชาธิปัตย์ และอื่นๆ (กระทั่งพรรคเศรษฐกิจใหม่ด้วย) ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วเป็นเรื่องปกติมากที่เกิดขึ้นในการเดินเกมการเจรจาต่อรองในระบอบรัฐสภาแบบที่ผ่านมา แต่มาวันนี้ เกมดูจะไม่ได้เล่นแบบเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะการแสดงสปิริตของพ่อและแม่ยายทำให้เกิดการกำหนดขั้วทางอุดมการณ์ที่ชัดเจนขึ้นมา การเลือกจึงไม่จำเป็นจะต้องมา “รอดูที่นั่งให้ชัดเจน” เพราะการรอดูจำนวนที่นั่งมันหมายถึง การมุ่งมั่นตั้งเป้าไปที่การเป็นรัฐบาลหรือได้ตำแหน่งดีๆ ในสภาจากเกมการเจรจาต่อรองอย่างเดียว แต่หากมีความเชื่อมั่นในทางอุดมการณ์อย่างที่รับปากไว้จริงๆ แล้ว จำนวนที่นั่ง ไม่ว่าจะหนึ่งที่นั่งหรือร้อยที่นั่งนั้นไม่ได้สำคัญเลย และจะต้องสามารถให้คำตอบได้ในทันที
นี่เองครับคือความสำคัญที่แท้จริงของสัตยาบันแลงคาสเตอร์ ที่เพิ่มมูลค่าต้นทุนให้กับพรรคการเมืองอย่างมหาศาล เพราะการเป็นงูเห่าไม่ใช่แค่การแหกมติของพรรคอีกต่อไปแล้ว แต่มันยังมีการจับจ้องไปถึงงูเห่าในทางอุดมการณ์ด้วย
หากคิดจะเป็นงูเห่าในลักษณะนี้ก็อาจจะต้องเผชิญกับการที่คนไม่ให้ความไว้วางใจกับพรรคนั้นๆ ‘ทั้งพรรค’ เลยก็ได้ในอนาคต และหากเป็นพรรคการเมืองที่คิดจะอยู่ในโลกการเมืองต่อไปยาวๆ แล้ว ผมคิดว่านี่เป็นราคาที่สูงลิบลิ่วกันเลยทีเดียว เพราะงูเห่าในรัฐสภายังถูกมองในฐานะตัวบุคคลหรือเป็นมุ้งๆ ยิบย่อยแยกไปได้ แต่กับการเป็นงูเห่าชนิดใหม่นี้ มันเป็นงูเห่าแบบภาพลักษณ์องค์รวม ที่หากจะแก้ภาพลักษณ์นี้ก็อาจจะต้องถึงขั้นเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งชุด หรือไม่ก็ยุบพรรคตั้งใหม่กันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี งูเห่าแบบดั้งเดิมก็ไม่ได้ลดอิทธิฤทธิ์ลง แม้ราคาหรือต้นทุนทางการเมืองในการเป็นงูเห่าแบบเดิมนี้จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก แต่พร้อมๆ กันไป ก็ดูจะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นด้วย เพราะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ด้วยระบบการคิดคะแนนของรัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้มีว่าที่ ส.ส. หน้าใหม่จำนวนเยอะมาก และหลายคนไม่ได้กระทั่งคาดคิดแต่แรกว่าตนจะได้รับเลือก ทั้งห้อยติดกระแสพรรคขึ้นมา หรือได้เป็น ส.ส. จากการปัดเศษไปๆ มาๆ แบบน่าฉงนจิตของ กกต. คนกลุ่มนี้เองครับที่น่ากลัว เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ได้หวาดกลัวต่อต้นทุนทางการเมืองที่จะต้องเสียไปหากจะกลายเป็นงูเห่า เพราะพวกเขาไม่ได้คิดแต่ต้นด้วยซ้ำว่าจะได้รับเลือก ฉะนั้นภาพทางความคิดว่าจะได้อยู่ในโลกการเมืองแบบยาวๆ นั้นอาจจะไม่ได้มีพลังมากเท่ากับผลประโยชน์เป็นชิ้นเป็นอันที่ได้รับการเสนอจะหยิบยื่นให้เป็นข้อแลกเปลี่ยนได้
ในส่วนนี้เอง บอกตามตรงผมค่อนข้างจะเป็นห่วงพรรคอนาคตใหม่มากที่สุดครับ โดยเฉพาะหลังจากที่คุณเอกได้ออกมาให้สัมภาษณ์ล่าสุดว่ามีคนในพรรคอนาคตใหม่ได้รับการทาบทามจริงๆ แม้พร้อมๆ กันไปคุณเอกจะเชื่อว่าพรรคตั้งขึ้นมาและคนมารวมกันด้วยอุดมการณ์ สมาชิกพรรคจึงไม่ได้ซื้อได้ด้วยเงินง่ายๆ ก็ตาม ซึ่งแง่หนึ่งก็คงจะจริง แต่มันไม่ได้จริงกับทุกคนแน่ๆ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่เราต้องยอมรับกันคือ กระแสของพรรคอนาคตใหม่มาแรงกว่าที่คิด และแกนกลางของกระแสก็อยู่ที่ตัวคุณเอกกับแกนนำอีกไม่กี่คน ว่ากันอย่างถึงที่สุดก็คือ ในสายตานักรัฐศาสตร์แล้ว พรรคอนาคตใหม่ตอนนี้ยังเป็นเพียงกระแส ไม่ใช่สถาบันทางการเมือง ยังไม่ได้มีระบบพรรคการเมืองที่แข็งแกร่ง และโครงสร้างที่ชัดเจนรัดกุม และไม่ได้เป็นอนาคตสำหรับทุกคนในพรรคของคุณเอกในระยะยาวด้วย
ความไม่ได้เป็นอนาคตระยะยาวของเหล่า ส.ส. อนาคตใหม่เองนี่แหละครับ ที่อาจจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำลายต้นทุนของการเป็นงูเห่าแบบดั้งเดิม แหกมติพรรคไปร่วมกับขั้วตรงข้ามทางอุดมการณ์ แล้วก็ไม่ต้องยี่หระอะไร เพราะไม่ได้คิดจะอยู่ในเกมการเมืองแบบยาวๆ อยู่แล้วนั่นเอง
จริงอยู่ว่าอุดมการณ์อาจจะสู้กับเงินได้ แต่ก็ไม่ควรลืมเช่นกันว่านอกจากทุนนิยมจะเป็นระบบทางเศรษฐกิจแล้ว มันยังเป็นอุดมการณ์แบบหนึ่งเช่นกัน และแม้แต่ตัวเงินเอง คอนเซ็ปต์ของเงินนั้นจะตีความว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของอุดมการณ์ร่วมก็ไม่ผิดนัก และเป็นอุดมการณ์ที่ ‘กินได้’ ที่สุดด้วย ผมจึงคิดว่าควรต้องระวังให้มาก และข้อเสนอส่วนตัวของผมก็คือ ส.ส. คนไหนของพรรคที่มีแนวโน้มชัดเจนว่าจะเป็นงูเห่า ก็ควรประกาศออกมาให้ชัดแต่เนิ่นๆ ว่าคือใคร และฟ้องร้องเอาผิดอย่างจริงจังด้วย เพื่อสร้าง ‘ต้นทุนราคาแพง’ ให้กับการเป็นงูเห่าอีกครั้ง
และก็อย่างที่แม่ยายว่าไว้ นี่แค่ด่านแรกก็ต้องไฝ้ว์กันจนเลือดจะหมดหลอดแล้ว ตอนนี้แม้คอปเตอร์ไม้ไผ่จะซ่อมแล้ว บินขึ้นไปได้แล้ว แต่เขาก็ยังปิดปากเหวเราได้อยู่ดีนะครับ ด้วยใบเหลือง ใบส้ม และใบแดงที่จะต้องเจอกันต่อไป ซึ่งคงจะโดนไม่น้อยแน่ๆ ใบแดงสำหรับพรรคเพื่อไทย และใบส้มไว้ให้อนาคตใหม่ หลังจากนั้นก็ยังต้องเจอด่าน ส.ว. อีกทีนั่นแหละครับ