งานมหรสพที่คนในเมืองนอกเมืองนิยมไปดูไปชมกันคงหนีไม่พ้น งานละคร ร้อง เล่น หรือพวกดนตรี
หนึ่งในเคล็ดลับความมีสไตล์ให้ดูเก๋ เท่ ชิค พร้อมๆไปกับการรักษาจิตวิญญาณของตัวเองให้ดูหนุ่มสาวอยู่ตลอดจากหนังสือขายดีที่ถูกแปลไปแล้วกว่า 30 ภาษา How to be Parisian: Wherever you are ก็คือ การไปดูมหรสพบ่อยๆ หรือทุกครั้งที่มีโอกาส!
เพราะการได้เอาตัวเองออกไปกระโดดร้องเพลงออกมาดังๆ หรือได้โยกตามเสียงเพลงซึ้งๆ มันเป็นเสมือนยาทำละลายความเครียดที่ช่วยชะสิ่งวุ่นวายใจทั้งหลายให้ออกไปจากใจเราได้ (อย่างน้อยๆ ก็สักชั่วขณะหนึ่งที่เราอยู่ในงานนั่นแหละ)
จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ตลอดทั้งปี เราจะได้เห็นงานคอนเสิร์ต งานทเศกาลดนตรีจากศิลปินไทย ศิลปินนอกจัดกันอย่างคึกคักมากมาย
แต่วันนี้เราอยากชวนทุกคนมาคุยเรื่องงานเทศกาลดนตรีงานหนึ่งที่ชื่อ Farm Fest ที่จัดที่ไร่ สิงห์ปาร์ค เชียงราย จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี (และเราก็ไปมาแล้วติดกันเป็นปีที่สอง) ว่ากันว่าเป็นงานเทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือเลยเชียว
นอกจากความดีงามของอากาศที่อนุญาตให้เราได้สูดหายใจได้เต็มปอดแบบไม่ต้องกลัวเรื่องฝุ่นควัน เพราะงานจัดในไร่ท่ามกลางหุบเขา อากาศที่ดีแบบสุดๆ เพราะจัดช่วงปลายปีในหน้าหนาว พื้นที่กว้างขวางอิสระที่มีร้านค้า ร้านอาหารมาเปิดบูธมากมาย พร้อมศิลปินที่ไลน์อัพแต่ละวันมันถึงใจทุกวัน
แค่ทั้งหมดที่ว่ามา เราเชื่อว่าก็ช่วยฆ่า pain point ของคนที่โหยหาความบันเทิงเริงใจแถมได้อากาศดีให้สมกับที่เหนื่อยมาทั้งปีแล้วล่ะ
แต่สิ่งที่สังเกตได้อีกอย่างหนึ่งจากงานเทศกาลดนตรีนี้ คือพนักงานนับร้อย หรืออาจจะนับรวมไปถึงพ่อค้าแม่ค้า ซึ่งกะเอาด้วยสายตาคร่าวๆ ชีวิตทุกชีวิตที่ร่วมกันทำให้งานงานนี้ หรือไร่ๆ นี้ดำเนินงานไปได้อย่างเป็นระบบ ระเบียบดีขนาดนี้น่าจะมีคนทำงานเบื้องหลังให้ทั้งงานนี้และไร่นี้ร่วมพันชีวิต ซึ่งคนจำนวนนี้เท่าที่เราได้พูดคุยด้วย คนส่วนใหญ่เป็นคนในท้องที่ที่เชียงราย
เด็กวัยแรกรุ่น ผู้ใหญ่วัยทำงาน คนรุ่นคุณพ่อคุณแม่ พวกเขาเหล่านี้บ้างมีอาชีพปลูกเมลอน ทำไร่ชาให้ไร่สิงห์ปาร์ค บางคนเป็นพนักงานดูแลสวน บางคนทำงานกับร้านอาหารและคาเฟ่ในไร่ น้องวัยรุ่นบางคนหารายได้พิเศษระหว่างเรียนช่วงสั้นๆ ด้วยการเป็นสตาฟในงาน Farm Fest
เพราะฉะนั้นการได้ไปอุดหนุนเทศกาลดนตรีนี้ การได้ไปกระโดดโลดเต้น กอดคอส่งเสียงร้องเพลงออกมาอย่างสุดคอในงานดนตรีนี้ไม่เพียงแค่ชุบชูจิตวิญญาณของเราให้หนุ่มสาว แต่นัยยะอีกด้านมันยังเหมือนกับว่าเราช่วยสนับสนุนให้คนในพื้นที่ตรงนั้นเขาได้มีงานทำต่อไป ไม่ต้องออกไปหางานทำที่ไกลแสนไกลบ้าน มองกันแบบยาวๆ ก็หมายความว่าเราได้ช่วยให้ชุมชนและชีวิตของคนบริเวณนั้นแข็งแรงขึ้นด้วยการไปดูคอนเสิร์ต!
ใครมันจะไปเชื่อ ว่าเพียงแค่การไปงานดนตรีก็สามารถช่วยเหลือคนอื่นๆ รอบๆตัวได้ แบบที่ว่าคนไปกระโดดเต้นๆในงานยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ (แต่วันนี้น่าจะรู้แล้วนะ เพราะเรามากระซิบบอกอยู่นี่ไง)
การไปงานมหรสพเพื่อแก้ pain point ของเราที่อยากคลายเครียดก็เรื่องหนึ่ง แต่การได้ทำให้ชุมชนคนตรงนั้นได้มีงานทำก็เป็นการแก้ pain point ของคนที่อยากทำงานใกล้บ้านอีกทางด้วยนะ
สรุปแล้วการกดบัตรไปงานดนตรีมีแต่คนได้ประโยชน์กับทั้งนั้นนี่นา อย่างนี้แล้วเรามารอกดบัตรไปงานเทศกาลดนตรีงานต่อไปกันเลยเถอะ!