สิ้นเวลานับถอยหลังบนหน้าจอเพียงเสี้ยวนาที สถานะ บัตรคอนเสิร์ต ที่เหล่าแฟนคลับเฝ้ารอมานับปีก็ขึ้นข้อความว่า ‘Sold Out’ แต่หลังจากนั้นไม่นานบัตรที่หลายๆ คนพลาดไปกลับโผล่ขึ้นมาวางขายอีกครั้งบนโซเชียลมีเดียในราคามากกว่าเดิมเท่าตัว
แม้ว่าการ รีเซล จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นความเจ็บใจที่เกิดขึ้นแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า The MATTER ชวนแฟนคลับพูดคุยถึงประสบการณ์กดบัตรสู้กับรีเซลเลอร์ ตั้งคำถามถึงระบบขายบัตรในปัจจุบันว่าเอื้อให้แฟนคลับหรือกำลังเปิดช่องให้การเอาเปรียบกลายเป็นเรื่องปกติ รวมถึงชวนทุกคนหาทางออกไปพร้อมๆ กัน
“เสียใจ เสียใจมากจริงๆ ร้องไห้เลยก็มี เพราะทุกคอนฯ ที่เรารอกดบัตรคือคอนฯ ที่เราอยากไป คือศิลปินที่เรารัก รอกดวนอยู่แบบนั้นหลายชั่วโมง จนวินาทีที่ขึ้นว่า sold out แต่สุดท้ายเราไม่มีบัตรในมือ มันเสียดาย ผิดหวังไปหมด” พนักงานบริษัทเอกชน วัย 26 คนหนึ่ง เล่าถึงความรู้สึกแรกตอนพลาดบัตรคอนฯ ให้เราฟัง
เธอเล่าว่าตอนที่เห็นบัตรถูกนำไปขายอัพราคาทำให้เธอ โกรธมาก “มีแต่คำหยาบคายวิ่งวนรอบตัวเต็มไปหมด เพราะมันแย่มากๆ ที่คนอยากไปไม่ได้บัตร แต่พวกซื้อไปอัพราคาต่อกดได้เป็นพรวน เราที่ทำตามกติกาทุกอย่าง แต่ไม่ได้อะไรในมือเลย แล้วไปเห็นคนอัพราคาหลายๆ พัน แต่ส่วนต่างนั้นไม่ได้เข้าศิลปิน มันยิ่งเจ็บใจ”
เราถามเธอถึงระบบขายบัตรในปัจจุบัน เธอมองว่า ระบบกำลังเอื้อให้กับคนที่ฉวยโอกาสใช้ความรัก-ความสุขของแฟนคลับเปลี่ยนเป็นเม็ดเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง พร้อมกับตั้งคำถามถึงเหล่ารีเซลเลอร์ที่นำบัตรมาอัพราคาขาย ที่ดูเหมือนเป็นการทำลายความตั้งใจทั้งของศิลปินและแฟนคลับ
อีกคนที่เราพูดคุยด้วยคือ บี พนักงานบริษัทเอกชน ผู้ที่ชื่นชอบการดูคอนเสิร์ตมาก บีเล่าว่าแม้ส่วนใหญ่จะกดบัตรทันด้วยตัวเอง แต่ก็มีบางครั้งที่ยอมซื้อบัตรอัพราคาเพราะอยากดูศิลปินคนนั้นจริงๆ “ตอนที่กดไม่ได้เอาจริงๆ ก็รู้สึกเฟล เพราะเราไม่เคยทำใจมาก่อนเลยว่ามันจะไม่ได้ กับศิลปินบางคนเขาไม่ได้จะมาไทยบ่อยๆ ด้วย”
เมื่อพูดคุยถึงประสบการณ์ของการเจอบัตรอัพราคาเกินความเหมาะสม บีบอกว่า “อย่าทำอีกเลย ต่อให้คุณอัพราคาแพงไปตอนนี้ แล้วสุดท้ายมันขายไม่ออก คุณก็ต้องมาเทขายในราคาเท่าทุน-ขาดทุนอยู่ดี”

via Shutterstock
รีเซลเลอร์-บอต สะเทือนทั้งอุตสาหกรรม
ปัญหาเรื่องบัตรคอนเสิร์ตไม่ได้เริ่มขึ้นตอนที่พบว่ามีการอัพราคา แต่มันเริ่มตั้งแต่วินาทีที่เริ่มกดบัตร เพราะแม้ว่าเราจะอดหลับอดนอน เตรียมตัว วอร์มนิ้วมาแค่ไหน นอกจากสู้กับแฟนคลับด้วยกันเองแล้ว เรายังต้องช่วงชิงกับ ‘บอต’ ด้วย
ข้อมูลจาก Queue-it พบว่า รีเซลเลอร์ใช้บอตในหลายขั้นตอนของการซื้อบัตร ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยบอตจะสามารถค้นหาบัตรที่ยังว่าง และจองบัตรที่มีอยู่ทั้งหมดในคราวเดียวกัน รวมถึงกั๊กบัตรไว้ในตะกร้าเพื่อให้โชว์ว่าบัตรขายหมดแล้ว ซึ่งกรณีนี้อาจช่วยกระตุ้นให้บรรดาแฟนคลับหันไปซื้อในตลาดรอง หรือรีเซลนั่นเอง
และแม้ว่าบัตรจะขายหมดอย่างรวดเร็ว แต่ยอดขายเหล่านั้นกลับไม่ได้สะท้อนอุปสงค์-อุปทานอย่างแท้จริง เนื่องจากผู้ที่กดบัตรไม่ได้มีแค่แฟนคลับเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงผู้ที่ฉกฉวยโอกาสกว้านซื้อบัตรเพื่อเก็งกำไรด้วย
ขณะที่ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีการพูดถึงรีเซลเลอร์รายหนึ่งที่ออกมาเล่าว่าลงทุนซื้อบัตรคอนเสิร์ตไว้หลายใบด้วยเงินกว่า 9 แสนบาท แต่สุดท้ายขายบัตรไม่หมดทั้งๆ ที่หวังแค่กำไรเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งโพสต์ดังกล่าวนอกจากจะไม่ได้รับความสงสารแล้ว ยังเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากแทน หลายคนแสดงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ไม่รู้สึกเห็นใจกับพฤติกรรมนี้ ขณะที่บางคนตั้งข้อสังเกตถึงบัตรที่ถูกนำมาขายว่าเป็นบัตรห้ามซื้อขาย หรือบัตรอ่อน เหตุใดจึงสามารถนำมาขายได้

via Shutterstock
ซึ่งวงร็อคระดับตำนานอย่าง Retrospect พูดถึงบัตรประเภทนี้ไว้ว่าที่บัตรมีการระบุไว้ชัดเจนว่า ห้ามซื้อขาย ซึ่งการนำมาขายนั้นเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมและส่งผลกระทบในเชิงลบต่อภาพรวมของวงการดนตรีและวงการเทศกาลดนตรีโดยรวม
“ขอเรียกร้องให้สังคมไทยหยุดสนับสนุนการซื้อขายบัตรในลักษณะนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เพราะ ยิ่งมีผู้ซื้อ ก็ยิ่งเกิดการนำมาขายมากขึ้น และท้ายที่สุดจะกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่บั่นทอนความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนของวงการดนตรีในระยะยาว”
ด้าน เต็ด—ยุทธนา บุญอ้อม เคยสะท้อนถึงเรื่องนี้ ในฐานะผู้จัดงานคอนเสิร์ตว่า ในฐานะผู้จัดจะปรับปรุงระบบการซื้อ-ขายบัตรให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ชมได้ซื้อบัตรในราคาที่กำหนดไว้และไม่ต้องไปซื้อต่อในราคาสูง ขณะที่จะเพิ่มข้อจำกัดสำหรับบัตรห้ามซื้อขาย หรือบัตรอ่อน เพื่อไม่ให้ได้สิทธิเทียบเท่ากับผู้ที่ซื้อบัตรตามปกติ รวมถึงออกมาตรการเพื่อทำให้การนำบัตรไปขายต่อทำได้ยากมากขึ้นด้วย
“สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ที่สำคัญมากคือ เมื่อไม่มีผู้ซื้อ ก็ไม่มีผู้ขาย เมื่อมีผู้ตุนบัตรไว้มากแต่ไม่มีผู้ซื้อ คนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือผู้ตุนบัตร นี่คือวิธีที่ได้ผลทันทีแต่ต้องแลกด้วยความอดทน ถ้าเราซื้อบัตรไม่ทัน ก็อดทน ไว้ดูงานอื่น ปล่อยให้พ่อค้าเหล่านี้ขาดทุนไป ทุกวันนี้มีงานเกิดขึ้นใหม่มากมาย เลือกสนับสนุนได้ตามสะดวก หยุดสนับสนุนคนที่ไม่ควรได้รับการสนับสนุน”
อย่างไรก็ตาม ยุทธนากล่าวว่า การขายบัตรต่อไม่ใช่เรื่องผิด หากเราไม่สามารถไปร่วมงานได้จริงๆ การที่จะบวกราคาบัตรเพิ่มขึ้นในแบบที่เหมาะสมก็ไม่ใช่เรื่องผิด เป็นสิทธิ์ที่ทำได้ตามความพึงพอใจของทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ต่อไปจะพยายามพัฒนาระบบให้ซื้อขายบัตรต่อกันได้อย่างปลอดภัย ไม่มีการโก่งราคาเกินไป ไม่มีการโกงกัน
“แต่สิ่งที่เราไม่เห็นด้วยคือ การกว้านซื้อบัตรเพื่อไปขายต่อในราคาสูง การนำบัตรฟรี บัตรห้ามซื้อขายไปขายต่อ ที่ถือเป็นการฉวยโอกาส และเอาเปรียบผู้ที่ต้องการซื้อบัตรไปชมจริงๆ” ยุทธนากล่าวพร้อมบอกว่า หวังว่าเหตุการณ์นี้จะปลุกให้เราทั้งคนในวงการ และผู้บริโภคได้คุยเรื่องนี้กันอย่างสร้างสรรค์ และนำไปสู่การพัฒนาวงการอีเวนต์ของบ้านเราให้ดีขึ้น

via Shutterstock
เมื่อพูดถึงการไม่สนับสนุนการซื้อบัตรรีเซล
อีกหนึ่งศิลปินที่เคยออกมา เพิ่มรอบการแสดง เพื่อสู้กับรีเซลเลอร์ จนเกิดเป็นประเด็นบนโซเชียลมีเดียเมื่อไม่นานมานี้ คือ นนท์—ธนนท์ จำเริญ ที่เคยออกมาแสดงความเห็นว่าไม่ชอบใจหลังจากที่ได้เห็นบัตรคอนเสิร์ตของตัวเองถูกอัพราคาจาก 333 บาท เป็น 10,333 บาท จึงจะเปิดการแสดงรอบ 4 เพื่อขายตัดราคา
“ทำคอนเสิร์ตอ่ะ ผมไหว แต่บัตรราคาอัพเยอะขนาดนี้ผมทนไม่ไหว หวังว่าต่อไปนี้ ทุกคนจะไม่ซื้อจากร้านและหันมากดด้วยตัวเองนะครับ อย่าเอาสะดวกเอาง่าย เสียจนมีคนอื่นมาสร้างอาชีพได้ขนาดนี้ จุดเริ่มต้นเลยคือมีคนซื้อก็มีคนขายเป็นธรรมดา.. และผมคิดว่าผมบอกรักพวกคุณในทุกวิถีทางแล้ว”
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศไทย แต่ศิลปินระดับโลกมากมายก็ประสบกับปัญหานี้ด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่าง Eras Tour ของเทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ที่เดิมทีราคาบัตรอยู่ที่ 150 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4,700 บาท) แต่บัตรใบเดียวกันนี้กลับถูกนำมาขายต่อในราคา 5,000 ดอลลาร์ (1.5 แสนบาท) เช่นเดียวกับศิลปินชื่อดังคนอื่นๆ ที่ราคาบัตรคอนเสิร์ตถูกนำมารีเซลในราคาที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า
ทั้งหมดนี้กลายเป็นปัญหาที่คิดแก้หลายวิธี จนนำมาสู่การเรียกร้องให้มีมาตรการป้องกัน เมื่อปีที่แล้ว ศิลปินชื่อดังกว่า 250 คนลงนามในจดหมายฉบับหนึ่งที่มีเนื้อหาว่า วิธีการขายบัตรคอนฯ นั้นมีปัญหา
“รีเซลเลอร์และแพลตฟอร์มขายบัตรที่ใช้กลโกงในการขายเพื่อปั่นราคา ทำให้แฟนเพลงเสียโอกาสที่จะชมศิลปินที่ชอบในราคาที่เป็นธรรม รีเซลเลอร์ที่เอาเปรียบไม่ควรมีกำไรมากกว่าคนที่อุทิศชีวิตให้กับงานศิลปะของพวกเขา”

via Shutterstock
ถ้าการอัพราคากลายเป็นเรื่อง ผิดกฎหมาย ?
แม้ว่าการรีเซล หรือการอัพราคาจะยังเป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดกฎหมายในไทย แต่ในต่างประเทศอย่าง สหรัฐฯ หรืออังกฤษได้มีการออกกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคที่ถูกบังคับใช้แล้ว ซึ่งบทลงโทษก็หนักพอที่จะปราบเหล่ารีเซลเลอร์ที่จ้องจะเอาเปรียบแฟนๆ ได้ด้วย
เริ่มที่กฎหมายห้ามขายบัตรคอนเสิร์ตเก็งกำไร ของสหรัฐฯ ที่ในบางรัฐตั้งชื่อเล่นให้กฎหมายนี้ด้วยว่า กฎหมายเทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift Act —กฎหมายนี้ถูกผลักดันในช่วงที่สวิฟต์ออกทัวร์พอดี) ถูกประกาศใช้ไปเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมปีที่แล้ว (ไม่ครบทุกรัฐฯ) และยังผ่านร่างกฎหมายที่กำหนดให้มีการเปิดเผยราคาอย่างโปร่งใสมากขึ้น และแบนเว็บไซต์เลียนแบบที่ออกมาหลอกลวงผู้บริโภค
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มความโปร่งใสสำหรับการซื้อบัตรผ่านบริษัทต่างๆ โดยจะต้องกำหนดราคาที่ ‘รวมทุกอย่าง’ สำหรับค่าบัตรและค่าธรรมเนียม เช่นเดียวกับบริษัทจำหน่ายตั๋วรถ เรือ หรือเครื่องบิน ฯลฯ และเสริมการบังคับใช้บทลงโทษกับบอตที่กว้านซื้อบัตรด้วย
นอกจากความเคลื่อนไหวของรัฐบาลแล้ว ยังมีการรวมตัวกันของกลุ่มผู้จัดและศิลปิน ภายใต้ชื่อกลุ่ม Fix the Tix ดันร่างกฎหมาย Fans First Act เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งพวกเขาบอกว่าเป็นกฎหมายที่ให้การคุ้มครองผู้ซื้อตั๋วอย่างเข้มแข็งที่สุด
ขณะที่ กระทรวงวัฒนธรรม สื่อ และกีฬา ของอังกฤษ ได้ประกาศใช้กฎหมายที่คล้ายๆ กันนี้ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยหลักๆ คือการกำหนดห้ามขายบัตรต่อในราคาที่สูงกว่าราคาหน้าบัตร โดยราคาที่ขายได้คือราคาหน้าบัตรที่บวกค่าธรรมเนียม หากขายเกินกว่านี้จะถือว่าผิดกฎหมาย
อีกทั้งบุคคลทั่วไปจะถูกห้ามไม่ให้ขายบัตรต่อมากกว่าจำนวนที่มีสิทธิ์ซื้อ เช่น มีการจำกัดให้ซื้อบัตร 4 ใบ/คน คนขายต่อก็จะสามารถขายต่อได้แค่ 4 ใบเท่านั้น

via Shutterstock
ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือการบังคับใช้กฎหมาย ที่จะมีผลกับแพลตฟอร์มใดๆ ก็ตามที่มีคนลงขายบัตร ไม่ใช่เพียงเว็บไซต์สำหรับรีเซลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น X หรือ Facebook ด้วย และหากฝ่าฝืนจะต้องเสียค่าปรับสูงถึง 10% ของรายได้ทั่วโลกจากหน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันและตลาด (CMA) ของสหราชอาณาจักร
แน่นอนว่าหากเราสามารถจัดการกับรีเซลเลอร์ที่อัพราคาบัตรได้แล้ว ผลคือแฟนคลับจะได้ชมศิลปินที่รักในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้นไม่มากก็น้อย
BBC เผยการวิเคราะห์ของรัฐบาลสหราชอาณาจักรซึ่งประมาณการว่าบัตรรีเซลจะมีราคาถูกกว่าเดิมโดยเฉลี่ย 37 ปอนด์ หรือประมาณ 1,500 บาท (รวมค่าธรรมเนียม) ซึ่งจะช่วยให้แฟนๆ ประหยัดเงินได้ประมาณ 112 ล้านปอนด์ (ราว 5.1 พันล้านบาท) ต่อปี
การวิเคราะห์ยังชี้ให้เห็นด้วยว่าจะมีบัตรประมาณ 900,000 ใบถูกซื้อโดยตรงจากผู้ขายหลักในแต่ละปี ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการนี้ ตามข้อมูลของ CMA ระบุว่า โดยทั่วไปบัตรในตลาดรีเซลจะถูกบวกราคาไปเกิน 50% ขณะที่การตรวจสอบโดยหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคได้เปิดเผยหลักฐานว่า มีการขายตั๋วต่อในราคาที่สูงกว่าราคาเดิมถึงหกเท่า
สุดท้ายนี้ เราอยากชวนทุกคนตั้งคำถามไปพร้อมๆ กันว่า ทุกวันนี้การไปคอนเสิร์ตไม่ใช่เพียงแค่การเสพเสียงดนตรีและบรรยากาศ แต่หลายอย่างกำลังบีบคั้น ทั้งความเร็ว เทคโนโลยี และกำลังซื้อ คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่าใครได้บัตรหรือไม่ได้บัตร แต่เป็นระบบและกลไกตลาดที่ยอมให้ความอยากของเรา แปรเป็นกำไรของคนบางกลุ่ม
เราจะยอมให้ บัตรคอนเสิร์ต กลายเป็นสินค้าที่ทำกำไร สร้างรายได้ให้ใครที่ไม่ใช่ศิลปินที่เรารักจริงๆ ต่อไปหรือ?