1.
“นี่จะเป็นการปล้นครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์เลย”
หัวขโมยรายหนึ่งพูดกับเพื่อนร่วมทีม รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า แช่มชื่น ดีใจ ขณะที่อีกฝ่ายก็พูดออกมาว่า “ข้าน่าจะถ่ายเซลฟี่กับตู้เซฟเสียหน่อยนะ”
ช่วงต้นเดือนเมษายน ปี ค.ศ.2015 ที่บริษัทเก็บทรัพย์สินฮัตตัน การ์เดน ซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของลอนดอน เมืองหลวงประเทศอังกฤษ ย่านดังกล่าวรายล้อมไปด้วยการค้าขายอัญมณี ไบรอัน รีดเดอร์ (Brian Reader) อายุ 76 ปีเดินทางมาที่นี่ มันปราศจากผู้คน เขาใช้บัตรผู้สูงอายุ เพื่อนั่งรถเมล์มาลงจุดหมาย ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการปล้นครั้งสุดท้าย
รูปลักษณ์ภายนอก เขาเหมือนชายชราคนหนึ่ง ที่ชอบเดินทางไปดื่มกินกับเพื่อนฝูงวัยเดียวกันที่ผับ เดอะคาสเซิล ซึ่งตั้งอยู่ตอนเหนือของลอนดอน
สมาชิกร่วมดื่ม ก็เหมือนคนอังกฤษจำนวนมากที่เปลืองเวลากับการเข้าผับเข้าบาร์ คนหนุ่มสาวอาจเห็นก๊วนคนชราเหล่านี้และคิดว่าพวกเขาคงคุยเรื่องแผนการเกษียณ ความหลังเก่าๆ
แต่ไบรอันมีฉายาที่คนในวงการเรียกขานว่า จอมบงการ แม้ภายนอกจะดูชรา แต่ประวัติของเขานั้นโชกโชนอย่างมาก 3 ปีที่ผ่านมา ไบรอันวางแผนการก่อเหตุบรรลือโลกร่วมกับเพื่อนอีก 4 คน
พวกเขาคือตำนานเรียกพ่อ ด้วยอายุจะรุ่นปู่แล้ว แต่ก็ยังอาจหาญ ลงมือปล้นบริษัทเก็บทรัพย์สินมีค่า จนสร้างความสะเทือนไปทั่วเกาะอังกฤษ
นี่คือเรื่องราวของพวกเขา
2.
วันที่ 1 เมษายน ปี ค.ศ.2015 มันเป็นต้นเดือน ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลอีสเตอร์ ทุกห้างร้านปิดหมด แม้กระทั่งตอนกลางของลอนดอน ที่ปิดหยุดการซื้อขายอัญมณี ไม่มีใครกังวลใจอะไร เพราะระบบป้องกันที่นี่เป็นเลิศอย่างดี
วันนั้น เจ้าหน้าที่ของบริษัทฮัตตัน ออกจากตึกตอน สองทุ่ม ยี่สิบนาที ไม่ถึง 5 นาที กลุ่มโจรรุ่นเก๋าจำนวน 5 คนก็มาโผล่ที่ตึกดังกล่าว ก่อนจะลอบเข้าตึกไปอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ไม่มีสัญญาณกันขโมยดังขึ้นแต่อย่างใด
ว่ากันว่าเหล่าหัวขโมยรุ่นคุณปู่นี้ มีเทคนิคพิเศษในการงัดเข้าตัวอาคาร และด้วยความที่วางแผนมานาน พวกเขาก็ทะลุช่องเข้าสู่ตู้เซฟนิรภัยอย่างหนาในทันที ก่อนจะใช้อุปกรณ์เจาะทะลุกำแพงคอนกรีต แล้วลอดเข้าไปกวาดทรัพย์สินในตู้กว่า 73 กล่อง มีทั้งทอง อัญมณี ของมีค่าที่ลูกค้าฝากไว้ในนี้
แท้ที่จริงแล้ว ปฏิบัติการครั้งนี้ ไม่ได้ง่ายดังที่คิด เพราะระหว่างการพยายามเจาะตู้เซฟ ปรากฏว่าสัญญาณกันขโมยดังไปถึง ลูกชายผู้อำนวยการบริษัท แต่เขาไม่ได้เอะใจอะไร เพราะหลายครั้งที่สัญญาณมันดังมาถึงเขา จากการรบกวนของแมลง
แต่ตามขั้นตอน ทางทีมรักษาความปลอดภัยของบริษัทได้ไปตรวจดูหน้าตึก ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ ทั้งที่เวลานั้น มีหนึ่งในหัวขโมยแอบอู้หลับพักผ่อนด้วยความสบายใจด้วยซ้ำไป
ด้านตำรวจนครบาลลอนดอนก็รับแจ้งสัญญาณกันขโมยนี้ แต่ไม่ได้ออกไปตรวจสอบอะไร ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ต้องออกแถลงการณ์ขอโทษ
เหล่าหัวขโมยอยู่ในอาคาร 5 วัน ขนทรัพย์สินที่ปล้นมาผ่านถุงขยะสีดำ ยัดลงถังขยะ ขนถ่ายใส่รถกันอย่างสนุกสนาน ที่จริงการเจาะเซฟก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะแต่ละคนก็อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว โชคดีที่มันเป็นเทศกาลหยุดยาว ไม่มีใครสนใจอะไร พวกเขาจึงเข้าออกอาคารได้อย่างคึกคัก
7 วันหลังพวกเขาลงมือ บริษัทฮัตตันก็เปิดทำการอีกครั้ง และไม่นานตำรวจก็เดินทางมาทันที พวกเขาพบตู้เซฟถูกเจาะเป็นรูกว้าง พอให้คนลอด ข้าวของถูกรื้อค้น มีเศษซากฝุ่นเปรอะเปื้อนวุ่นวายไปหมด
แต่ที่เดือดสุดคือเหล่าลูกค้าที่ฝากของมีค่าไว้ในนั้น หลายคนไม่ได้ทำประกันด้วย
“ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ก็ไหนพวกเขาบอกว่าเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับทรัพย์สินไง”
เหตุการณ์นี้เป็นข่าวใหญ่ เจ้าหน้าที่พบว่าทรัพย์สินที่สูญหายมีมูลค่าถึง 14 ล้านปอนด์ นับเป็นการปล้นครั้งประวัติศาสตร์ ทางตำรวจต้องเร่งไขคดีเป็นการด่วน
ขณะที่ทางฮัตตันออกแถลงการณ์ ยืนยันย้ำว่า ยังคงเป็นบริษัทที่ไว้ใจได้ในการเก็บดูแลรักษาทรัพย์สินเหมือนเดิม
3.
เพื่อนร่วมก่อเหตุของไบรอันล้วนไม่ธรรมดา ทุกคนมีประวัติสมัยหนุ่มข้องเกี่ยวกับคดีปล้นมาตลอด ตัวไบรอันนั้นติดคุกอยู่หลายปี หลังถูกจับข้อหาปล้นโกดังเก็บทรัพย์สินใกล้สนามบินฮีทโทรวส์ เมื่อปี ค.ศ.1983 กวาดทรัยพ์สินไปถึง 26 ล้านปอนด์ (ถ้าเทียบค่าเงินกับปัจจุบัน มันจะพุ่งทะยานสูงถึง 78 ล้านปอนด์เลยทีเดียว)
ตำรวจทั้งสอดแนม จนจับกุมเขาได้พร้อมเพื่อน แต่เขาติดคุกอยู่ไม่นานก็ได้ออกมา และด้วยประสบการณ์เต็มเปี่ยม เขาจึงเป็นโต้โผหลักในการวางแผนนี้ด้วยวัย 76 ปี
แท้ที่จริงแล้ว ด้วยวัยขนาดนี้แล้ว ไบรอันควรจะวางมือได้แล้ว แต่เพราะกิเลสยุเย้า จากคนที่อยู่เงียบๆ กับทรัพย์สินที่เคยปล้นมาในอดีต เขาทนแรงยั่วไม่ไหว เมื่อเห็นโอกาสและช่องโหว่ จึงตัดสินใจวางแผนลงมือทันที
เพื่อนร่วมงานคนที่ 2 ชื่อ แดเนียล โจนส์ (Daniel Jones) หรือแดนนี่ อายุเพียง 60 ปี แต่เอี่ยวการปล้นหลายครั้ง เป็นคนเฮฮา ร่างกายแข็งแรง หมกหมุ่นเรื่องทหาร และเพราะดูจะแกร่งสุด แดนนี่จึงเป็นคนที่ปีนเข้าไปในรูที่เพื่อนๆ เจาะตู้เซฟเพื่อเข้าไปกวาดทรัพย์สิน
เพื่อนร่วมงานคนที่ 3 จอห์น เคนเน็ธ คอลินส์ (John Collins) หรือเคนนี่ อายุตอนก่อเหตุ 65 ปี เขาคือคนจัดหาอุปกรณ์ในการก่อเหตุ โดยเฉพาะอุปกรณ์หนักที่ใช้เจาะตู้เซฟ โดยเป็นคนขับรถเทียวไปเทียวมาเพื่อซื้อของ และเอาหลานมาช่วยงานด้วย ด้วยความที่อายุมากแล้ว เคนนี่นี่แหละ คือคนที่แอบไปอู้หลับ ระหว่างทุกคนลงมือก่อเหตุ
คนที่ 4 เทอร์เรนซ์ เพอร์กิ้น (Terry Perkins) หรือ เทอร์รี่ เขาเคยปล้นตู้เซฟมาก่อนสมัยหนุ่ม และติดคุกอย่างยาวนาน ถือเป็นคู่หูที่ทำงานกับไบรอันกว่า 12 ปี ในช่วงก่อเหตุเขาอยู่ภายในอาคาร และเป็นคนที่ขจัดร่องรอยพยานวัตถุรอยนิ้วมือในจุดเกิดเหตุได้อย่างชำนาญเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนคนที่ 5 เราจะมาพูดถึงทีหลัง
4.
ขุนโจรเหล่านี้ มีประวัติเข้าออกคุกเป็นว่าเล่น และเพราะมีประสบการณ์สูง จึงมีการวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ การบุกเข้าอาคารก็ละเมียดราวกับดูหนังฮอลลีวูดสักเรื่อง การก่อเหตุ การขนทรัพย์สิน ทุกอย่างลงตัวไปหมด
พวกเขาทำกระทั่งการปิดบังใบหน้า เพื่อไม่ให้วงจรปิดจับภาพได้ในจุดเกิดเหตุ
แต่แค่จุดเกิดเหตุเท่านั้น!
สิ่งที่เหล่าหัวขโมยรุ่นเก๋าไม่รู้เลยก็คือ ขณะนั้นกรุงลอนดอนคราคร่ำด้วยกล้องวงจรปิดจำนวนมาก หูตาเป็นสัปปะรด ทีแรกตำรวจคาดว่าจะเจองานยาก กลุ่มคนที่ลงมือแบบนี้ได้ ต้องเซียนเหนือเมฆของจริง
แต่พวกเขาก็ลงมือทำสิ่งที่นักสืบทั่วโลกทำยามเจอเหตุอาชญากรรม นั่นก็คือลองไล่กล้องวงจรปิดไปเรื่อยๆ ก่อนเพื่อหาตัวว่าคนร้ายจะไปไหน
แล้วพวกเขาก็พบ
เส้นทางของกลุ่มคนร้ายอย่างเห็นได้ชัด
แท้ที่จริงแล้วภาพวงจรปิดหลุดกระจายไปทั่วอังกฤษ โดยฝีมือสื่ออย่างเดลี่ มิเรอร์ด้วยซ้ำไป ยิ่งภาพกระจาย เบาะแสก็มีมากขึ้น และยิ่งนักสืบสามารถไล่วงจรปิดไปได้เรื่อยๆ ไม่จนมุม พวกเขาก็แกะรอยไปยันจุดที่เหล่าตำนานหัวขโมยไปนั่งพบกันที่ผับคาสเซิล เพื่อฉลอง เพื่อวางแผนแบ่งเงิน หรือการปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกับทรัพย์สินที่ได้มาดี
ถึงจุดนี้ ตำรวจขยับไปไกลอีกขั้น งัดเทคโนโลยีสมัยใหม่ในตอนนั้น ทั้งการดักฟังโทรศัพท์มือถือ การแอบติดกล้องไว้ในผับ เพื่อสอดแนมเหล่าขุนโจรพวกนี้
45 วัน หลังการปล้นสะท้านโลก ตำรวจ 200 นายบุกค้นบ้านหัวขโมยทั้ง 4 คน พวกเขาค้นพบอัญมณีมีค่าจำนวนมากที่ถูกลักไป พบทองที่ถูกหลอม ทรัพย์สินหลายอย่างกระจายไปอยู่บ้านของลูกๆ จอมโจรชราเหล่านี้
ทั้ง 4 คนถูกรวบตัวได้ทันที
โดยหนึ่งในคนร้ายได้รับสารภาพกับอัยการ แสดงทรัพย์สินที่ลักมาเพื่อหวังลดหย่อนโทษ
“ผมหวังว่าคนที่ผมรักจะให้อภัย ของที่เอามาคืนให้กับเจ้าหน้าที่นี้ ก็เพื่อจะแสดงว่า ผมพยายามจะกลับตัวกลับใจ แม้มันดูเหมือนจะสายไปแล้วในชีวิต แต่ผมก็จะพยายาม”
อย่างไรก็ดี สัจจะในหมู่โจรก็มีจริงๆ พวกเขาไม่ให้การซักทอดกัน ทำให้ผู้ต้องหาอีก 1 รายยังถูกจับไม่ได้ ชายที่ได้รับการยืนยันว่าคือผู้ที่พาเหล่าหัวขโมยบุกเข้าไปในตัวอาคาร ฉายาของเขาคือ คุณ Basil แปลไทยแบบเพราะๆ ได้ว่า ไอ้โหระพา
5.
และแล้วก็มาถึงสมาชิกรายที่ 5 ฉายาไอ้โหระพา เขาหนีรอดไปได้เกือบ 4 ปี จนในปี ค.ศ.2019 ตำรวจก็แกะรอยจับกุมตัวได้สำเร็จ ชื่อของเขาคือ ไมเคิล ซีด (Michael Seed) อายุตอนก่อเหตุคือ 55 ปี เป็นคนที่ร่วมปีนเข้าไปกวาดตู้เซฟ และหนีรอดไปได้อย่างยาวนาน สำหรับตัวซีดนั้น เขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านสัญญาณกันขโมยตัวจริง ไม่มีประวัติการจ่ายภาษี ไม่เคยเอาเงินเข้าธนาคาร เป็นบุคคลล่องหนของจริง
ชีวิตของไมเคิล เหมือนกับโจรสุดหรูที่พบได้ในภาพยนตร์ เขาเป็นลูกชายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ได้เกรดเอ ทางฟิสิกส์ เคมี เลขและการไฟฟ้า แต่ชีวิตหันเหไปติดยาเสียก่อน ก่อนจะเริ่มแหกข้อกฎหมาย ไปขายยา จึงต้องเข้าสู่เรือนจำ เมื่ออกมาดูเหมือนเขาจะทำตัวอยู่เงียบๆ ในแฟลตห้องนอนเดียวไปถึงวันที่โดนรวบ
ไมเคิลเองยืนกรานความบริสุทธิ์เขาถึงทุกวันนี้ เขายืนยันว่าตัวเองเป็นเพียงแค่ช่างซ่อมโทรทัศน์ ก่อนจะย้ายมาค้าขายอัญมณีในช่วงกลางยุค 90 โดยสาเหตุที่ทำก็เพราะต้องการเงินเลี้ยงชีพเท่านั้น และเขาโชคดีที่ได้เพชรดีๆ มาค้าขายเสมอ ทั้งที่ไม่ได้สนใจในตัวอัญมณีเหล่านี้เลย
ในช่วงที่เข้าวงการนี้แหละ เขาได้พบกับไบรอัน และนำไปสู่แผนการอันยิ่งใหญ่
ไมเคิลเป็นผู้ต้องหารายสุดท้ายที่ถูกจับกุม แท้จริงแล้วยังมีผู้ต้องหาอีก 3 คนที่ร่วมก่อเหตุด้วย แต่ในประวัติศาสต์การปล้น พวกเขาถือว่าชายทั้ง 5 คนคือแกนนำหลักในคดีนี้
ตัวไมเคิลเอง ไม่เคยบอกใครว่า ตัวเขาพาเพื่อนเข้าไปในอาคารได้อย่างไร บางคนบอกเขามีกุญแจ บางคนบอกเขาใช้เทคนิคพิเศษ แต่เพราะซีดยืนกรานว่าไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าล้วงความลับนี้ไปได้ ที่สำคัญเขาวิงวอนสื่อมวลชนว่าขอให้จดจำเขามากไปกว่าไอ้ชื่อโหระพานี้ได้ไหม ซึ่งไม่สำเร็จ
ผ่านไปหลายปีในที่สุดคดีก็ปิดลงอย่างสมบูรณ์ ทิ้งไว้เพียงทรัพย์สินจำนวนมหาศาลที่คงไม่ได้คืนอีกแล้ว สำหรับความโด่งดังของการปล้นครั้งนี้ มันถูกเล่าขาน ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ถูกแปลงเป็นหนังสือ และถึงขนาดเจ้าของฮัตตันได้บริจาคตู้เซฟที่ถูกเจาะให้กับพิพิธภัณฑ์เพื่อเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้เหตุการณ์นี้
แต่โจรก็คือโจร นี่คือการทำผิดกฎหมาย ศาลตัดสินจำคุกทั้งหมด พวกเขาถูกบังคับสั่งให้หาทรัพย์สินมาชดใช้ ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกเพิ่มโทษ ซึ่งสุขภาพของแต่ละคนก็ไม่ได้ดีอยู่แล้ว แต่งานนี้ดูเหมือนจะตามของคืนยาก เจ้าหน้าที่ได้ทรัพย์สินมีค่าคืนแค่ 4 ล้านกว่าปอนด์เท่านั้น
นี่คือแผนสุดอัจฉริยะมากๆ แห่งยุคสมัย ที่กระทำโดยผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาทำทุกอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด แต่เสียอย่างเดียวคือ ขุนโจรรุ่นเก๋าไม่รู้ว่าโลกเปลี่ยนไปมากแล้ว มีวิทยาการสมัยใหม่ในการไล่ล่าอาชญากรทั้งหลายดีกว่าเดิม
ตำรวจชุดจับกุมขุนโจรรุ่นเก๋าเหล่านี้ สรุปความผิดพลาดของอาชญากรรุ่นคุณปู่ไว้ว่า
“พวกเขาเป็นโจรยุคเก่า ที่ดันมาลงมือก่อเหตุ ในโลกยุคใหม่เท่านั้นเอง”
ข้อมูลอ้างอิง
The Crime Book สำนักพิมพ์ DK หน้า 58-59