ขอผมเริ่มต้นบทความประจำสัปดาห์นี้ด้วยคำสารภาพที่ออกจะส่วนตัวอยู่สักหน่อย
หนังสือเล่มท้ายสุดของคุณนิ้วกลมก่อนหน้า หิมาลัยไม่มีจริง ที่ผมอ่านจบคือ บุกคนสำคัญ เปล่าเลย ผมไม่ได้เพิ่งอ่านมันเมื่อไม่กี่เดือนก่อน หรือภายในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน ทว่าเป็นตั้งแต่สมัยที่หนังสือเล่มนี้เพิ่งวางแผงใหม่ๆ ปกยังคงเป็นรูปซองจดหมาย ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ก่อนจะห่างหายจากงานเขียนของคุณนิ้วกลมไป ไม่สิ พูดให้ถูกคือถอยห่างจากการอ่านงานเขียนในเชิงความเรียงถึงจะถูก
เพิ่งไม่นานมานี้ ที่ผมได้กลับมาติดตามผลงานของคุณนิ้วกลมอีกครั้ง ไม่ได้ผ่านหน้ากระดาษอย่างแต่ก่อน หากเป็นการจดจ้องหน้าจอซีดๆ ของโทรศัพท์มือถือ อ่านความคิดที่กลั่นกรองเป็นกลุ่มอักษร อ่านมุมมองคล้ายจะถูกสอดส่องด้วยแว่นขยายอยู่ตลอดเวลา บางครั้งเมื่อผมอ่านสเตตัสของคุณนิ้วกลมจบ ผมพบว่าตัวเองจะหยุดคิด พลางพยายามสาวย้อนกลับไปยังอดีตไม่กี่ปีก่อนเมื่อคราวที่ยังติดตามอ่านงานของนักเขียนหนุ่มคนนี้บนแผ่นกระดาษ ‘มีบางอย่างแปลกไป’ ผมคิด…คิด แต่ก็ได้แต่เพียงคิด ด้วยไม่แน่ใจว่าจะไปแสวงหาคำตอบต่อความคลางแคลงนี้เอาจากไหน ฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่า การที่ผมตัดสินใจหยิบ หิมาลัยไม่มีจริง มาอ่านอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้อะไรมากไปกว่าการเดินทางเข้าไปสู่อ้อมกอดของเทือกเขาหิมาลัย แค่เท่านั้น จึงคือการพยายามเสาะหาว่าความรู้สึก ‘มีบางอย่างเปลี่ยนไป’ นี้เป็นสิ่งที่ผมเพ้อเจ้อไปเอง หรือมีคำตอบอันชัดเจนแอบซ่อนอยู่จริงๆ
แต่ว่าก็ว่าเถอะครับ กับหนังสือที่ความหนาตั้งหกร้อยกว่าหน้า แค่หยิบขึ้นมาทีแรกก็เล่นเอาท้อแท้ ผมเปิด หิมาลัยไม่มีจริง เพียงผ่านๆ ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่อย่างน้อยๆ ตัวอักษรในเล่มก็ไม่ได้เบียดแทรกจนแน่นขนัดมาก แถมยังมีรูปภาพจากการเดินทางของคุณนิ้วกลมให้พอได้หย่อนใจ ผมยังคงประหวั่นต่อความหนาของมัน แต่เมื่อได้เริ่มอ่านจริงๆ จังๆ ผมกลับใช้เวลาแค่วันกว่าๆ เท่านั้น ก็พิชิตหนังสือเล่มนี้ลงได้ เปล่าเลย ไม่ใช่ว่าเพราะผมอ่านหนังสือเร็วเป็นผีเข้าแต่อย่างใด หากเพราะสำนวนการเขียนที่ประณีตเป็นระเบียบ กับเรื่องราวที่ถักทอขึ้นอย่างเป็นระบบและตั้งใจ ได้ผนวกเข้ากับความเพลิดเพลินหิว กระหาย และความอยากรู้อยากเห็นที่มีต่อเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ จึงส่งผลให้ผมตะกรุมตะกรามเนื้อหากว่าหกร้อยหน้าจนเกลี้ยงในระยะเวลาที่ตัวเองยังตกใจ
ว่ากันอย่างคร่าวๆ หิมาลัยไม่มีจริง คือบทบันทึกการเดินทางของคุณนิ้วกลมสู่ค่ายฐานเอเวอเรสต์ หรือ Everest Based Camp ในเทือกเขาหิมาลัยนั่นล่ะครับ เพียงแต่หนังสือที่มีโครงสร้างใหญ่ๆ ภายใต้กรอบเวลา 10 วันเล่มนี้ แท้ที่จริงกลับฝังซ่อนนัยที่กว้างไกล และยืดขยายเกินกว่าชั่วระยะแค่สั้นๆ นี้ นั่นเพราะ หิมาลัยไม่มีจริง ไม่ใช่บันทึกเหตุการณ์ประเภทที่เลือกจะซื่อสัตย์อยู่แค่กับปัจจุบัน เล่าแค่ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร หากมันคือการยุบรวมเอาช่วงเวลาทั้งชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งในวัยสามสิบกว่า ที่ผ่านการขัดถู กัดเซาะ และเจียระไน กลั่นมันออกมาเป็นบทบันทึกต่อความเปลี่ยนแปลงที่ไหลเวียนเรื่อยไปของชีวิตหนึ่ง
กล่าวได้ว่า ผ่านการย่ำเท้าสู่ที่เส้นทางที่ทอดสูงขึ้นเรื่อยๆ คุณนิ้วกลมไม่เพียงจะชี้ชวนให้เราสนใจรายละเอียดเล็กๆ รายทางที่หากวัดกันที่ผมเอง ก็คงจะมองข้ามอย่างไม่ใส่ใจ หากเขากลับหยิบยื่นแว่นขยายให้เราอย่างกระตือรือร้น กระซิบบอกกับเราว่า ‘ดูสิ ดูดีๆ สิ’ ขณะที่เราเพ่งจ้องไปยังก้อนหิน พงหญ้า หรือเกล็ดหิมะอย่างฉงนสงสัย ‘มีอะไรน่าสนใจนักเหรอ’ เราอาจคิดถาม และคุณนิ้วกลมก็จะเริ่มกระบวนการที่ผมของเรียกมันว่า การวิวัฒนาการและแตกกิ่งก้านอย่างไม่รู้จบ
พูดง่ายๆ คือ คุณนิ้วกลมได้หยิบฉวยเอาสรรพสิ่งรอบตัว ผูกโยงมันเข้ากับคติความเชื่อในตำนาน ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือคำสอนทางศาสนา โยงใยเข้าด้วยกัน เกี่ยวร้อยเป็นพลวัตที่หมุนวนไม่รู้จบ และผ่านวิธีเล่าที่คอยชักจูงเราสู่เส้นทางที่ยาวไกลขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะผลักเรากลับสู่ปัจจุบันขณะที่ชาวไทยกลุ่มหนึ่งได้ค่อยๆ สืบเท้าขึ้นสู่ค่ายฐานเอเวอเรสต์
‘ทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงถึงกัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์ หรือธรรมชาติ’ คือประเด็นหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ผ่านการอ่านหนังสือเล่มนี้
หิมาลัยไม่มีจริง ละลายเส้นแบ่งที่คั่นกลางระหว่างการจำแนก ตัดแยก และแบ่งพวก ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดในชีวิตมนุษย์ เช่นเดียวกับการทลายสำนึกที่มีต่ออดีต อนาคต และปัจจุบัน ครั้งหนึ่งเราอาจเคยย่ำเท้าสู่ที่หมายหนึ่งในหุบเขาอย่างมุ่งมั่น และหวังจะไปให้ไกลที่สุดจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ในตอนนั้น ก่อนที่ไม่กี่วันให้หลัง เราจะพบตัวเองกำลังลากเท้ากลับสู่สถานที่ซึ่งเราเคยหวังจะทอดทิ้งมัน วาดหวังว่าจะได้หยุดพักเสียที
เป็นเช่นนี้ที่ความหมายของสถานที่หนึ่งไหลเลื่อนอยู่ระหว่างอดีต อนาคต และปัจจุบัน ตัดสลับกันเรื่อยไปเช่นนั้น ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่เคยคงที่ และไม่เคยไม่เปลี่ยนแปลง
มีหลายครั้งที่ผมนึกสงสัย คำถามว่า ‘เราพบอะไรในการออกเดินทาง’ กับ ‘เราจำเป็นต้องพบอะไรเสมอไปหรือเปล่าในการออกเดินทาง’ ให้ความหมายเดียวกันหรือเปล่า เป็นไปได้ไหมที่เราจะนิยามการเดินทางหนึ่งๆ ว่า ‘ไม่พบอะไรเลย’ ในแง่ที่เราไม่ได้เรียนรู้ หรือค้นพบบทเรียนชีวิตที่สามารถสังเคราะห์เป็นรูปธรรมและส่งผลต่อชีวิตต่อแต่นั้นของเราอย่างมีนัยสำคัญ หรือต่อให้เราดึงดันว่าการเดินทางไม่เห็นจะให้อะไรกับเราเลย นั่นแปลว่า ‘การไม่ได้อะไรกลับมาเลย’ นี้ ก็ถือว่าเราได้พบอะไรแล้วหรือเปล่า
ไม่เพียงความเคลือบแคลงนี้จะยังคงอยู่หลังจากที่ผมอ่าน หิมาลัยไม่มีจริง จบ กลับกลายเป็นว่า ผมจะยิ่งตั้งคำถามต่อคุณค่าของการเดินทางที่แล้วมาของตัวเองมากขึ้นด้วยซ้ำว่า ครั้งหนึ่งนั้นเราออกเดินทางไปยังสถานที่แห่งนั้นเพราะอะไร แต่ว่ากันแล้ว หิมาลัยไม่มีจริง ได้ช่วยกระตุ้นให้ไฟในการเดินทางครั้งใหม่ให้โชติช่วงขึ้นหรือเปล่า หากถามผม ก็คงตอบว่า ไม่
ด้วยคบเพลิงที่หนังสือเล่มนี้หยิบยื่นให้หาได้มีไว้จุดไฟอันกระตือรือร้นให้รีบสะพายเป้แต่อย่างใด ทว่ามันคือการชี้ชวนให้เรากลับมานั่งจับจ้องสายธารแห่งเวลาที่พัดผ่านไป เราไม่จำเป็นต้องผูกโยงแต่กับเหตุการณ์ที่เลยผ่านเพื่อจะเข้าใจชีวิตที่แล้วมา และเช่นกันที่ก็ไม่จำเป็นต้องคอยจับตาไปยังวันข้างหน้าเพื่อจะเฝ้ารอต่อตัวตนของเราที่จะผันแปรไป
เส้นแบ่งของเวลาไม่ได้ยึดโยงอยู่แต่กับอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เฉกเช่นเดียวกับสรรพสิ่ง ที่ก็ล้วนแล้วแต่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะในชั่วขณะที่สนิทนิ่ง คลอนเคลื่อนสั่นไหว หรือสูดลมหายใจ
เปลี่ยนแปลงเรื่อยไปไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นก้อนหินเล็กๆ หุบเขาหิมาลัย หรือกระทั่งชีวิตอันกระจ้อยร่อยของผมเอง