เมื่อพูดถึงมังงะญี่ปุ่นหรืออนิเมะซักเรื่องที่โด่งดังและห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง แน่นอนว่ารายชื่อที่ผุดขึ้นมาในหัวมีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว แต่หนึ่งในเรื่องที่เรียกได้ว่า ‘ควรดูควรอ่านซักครั้งในชีวิต’ ไม่ว่ายังไงจะต้องมีชื่อของ โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ หรือ JoJo’s Bizarre Adventure อยู่เสมอ
หลังจากการรอคอยอันยาวนาน ในที่สุด โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ภาค 6 ‘ศิลาสมุทร (Stone Ocean)’ พาร์ทแรกที่มีความยาว 12 ตอนลงก็ Netflix แล้ว อีกหนึ่งผลงานดัดแปลงจากมังงะชื่อดังของ อ. ฮิโรฮิโกะ อารากิ (Hirohiko Araki) ที่ถูกนำมาทำเป็นอนิเมะโดยสตูดิโอ David เช่นเดียวกับอนิเมะภาคก่อนๆ ตั้งแต่ภาค 1 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นตัวจุดประกายให้คนทั่วโลกได้รู้จักโจโจ้มากขึ้นในฐานะการดัดแปลงที่ซื่อตรงและถ่ายทอดออกมาได้ตรงกับต้นฉบับมากที่สุด
ในภาคนี้ เป็นอีกบทที่ตราตรึงและน่าจดจำของแฟรนไชส์โจโจ้ไม่แพ้ภาคอื่นๆ ด้วยตัวเอกหญิงหนึ่งเดียวอย่าง ‘คูโจ โจลีน (Cujoh Jolyne)’ ลูกสาวของตัวละครสุด iconic ที่โผล่มาแทบทุกภาคอย่างโจทาโร่ (Jotaro) ที่กล้าหาญและเฉิดฉายในแบบที่แตกต่าง แต่ถึงกระนั้น ไม่ทิ้งลายโจสตาร์
(เนื้อหาต่อไปนี้เปิดเผยข้อมูลของ JoJo’s Bizarre Adventure ภาค Stone Ocean)
หากให้นึกถึง DNA ของโจโจ้ เราจะนึกถึงแนวแอ็กชั่น, แฟนตาซี-ไซไฟเหนือธรรมชาติ และผจญภัย โดยมีตัวเอกชายสุด musculine ที่มักจะยืนท่าแอ่นๆ (จริงๆ แล้วแอ่นทุกคน) มีนิสัยเอกลักษณ์เฉพาะตัว กับสกิลการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าระดับ S ของตัวเอก
อีกทั้งยังมีเดอะแก๊ง, การแต่งตัวที่แฟชั่นสุดๆ, สแตนด์กับการตั้งชื่อสแตนด์ตามนักร้อง เพลง หรือวงดนตรี, ตัวร้ายที่โดดเด่นไม่แพ้ตัวเอกและไม่เคยชนะง่ายๆ, บอสใหญ่โหดๆ และการที่มักจะได้รับความรู้ระหว่างอ่าน/ดูแต่ละภาคอย่างไม่คาดคิดผ่านบทสนทนาและการต่อสู้ของตัวละคร
JoJo ภาค 6 ‘Stone Ocean’ มีทุกองค์ประกอบที่ได้กล่าวไป แต่สิ่งที่แตกต่างคือการมีตัวเอกหญิงอย่างโจลีนสุดก๋ากั่น ห้าวหาญ ไม่เกรงกลัว ที่โชว์พลังแกร่งในทางของตัวเองอย่างน่าสนใจไม่แพ้ตัวเอกภาคก่อนๆ กับความเป็นการ์ตูนวิทยาศาสตร์มากกว่าที่เคย
ภาค 6 ยังคงเป็นโจโจ้ที่ดีที่สุดอีกภาค หรือจริงๆ ต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในภาคของโจโจ้ มังงะหรืออนิเมะที่ควรได้รับคำนิยามว่าดีทุกภาคในแบบที่แตกต่างและรสชาติที่ไม่เคยซ้ำกัน เพียงแต่ความน่าเสียดายอยู่ตรงที่ภาคแมสน้อยที่สุด
อาจจะด้วยเพราะความที่ทุกตัวละครตั้งแต่มนุษย์ เด็ก ยันสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ เป็นตัวกลางถ่ายทอดการใส่เต็มเนื้อหาทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ด้วยตัวสแตนด์และบทสนทนา ซึ่งนั่นถือเป็นความสนุกในอีกแบบ เพราะเงื่อนไขของสแตนด์ซับซ้อนมากขึ้น และเดายากมากขึ้นหรือแทบไม่รู้เลยว่าเมื่อตัวละครสู้กันได้แล้วผลเป็นยังไง
Stone Ocean เป็นอีกภาคที่สานต่อเนื้อหาของ JoJo ประเภท ‘ใช้กล้ามเนื้อสมองและไหวพริบ แทนพละกำลังและมัดกล้ามเนื้อ’
ด้วยความที่ตัวเอกเป็นผู้หญิงแล้ว 1 ความวิทย์ฯ อีก 1 และอีก 1 เหตุผลคือการที่เราจะสังเกตได้ว่า กล้ามเนื้อตัวละครลีบลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ภาค 3 จนมาถึงภาคนี้ที่มีความคงที่มาตั้งแต่ภาค 5 และจะลีบได้อีกนิดในภาค 7-8 สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าโจโจ้ไม่เคยเป็นการ์ตูนโชเน็น หรือการ์ตูนขายฉากต่อสู้ที่จับเอาตัวละครมาซัดกันเป็นหลัก แม้จะตีพิมพ์ลงนิตยสารโชเน็นจัมป์ก็ตามที
ความสนใจของอ.อาริกินอกจากด้านแฟชั่นแล้ว ยังมีเรื่องรอบตัวอย่างความรู้รอบตัว ประวัติศาสตร์ หนัง ศิลปะ และอีกมากมาย จึงสามารถเรียกได้ว่าโจโจ้ และตัวละคร เนื้อเรื่อง กับสแตนด์ในเรื่องเป็นช่องทางการถ่ายทอดสิ่งที่อารากิสนใจ และภาค 6 เป็นภาคที่ชัดเจนในตัวเองว่า “นี่คือโจโจ้ และมันเป็นโจโจ้แบบนี้มาตลอดตั้งแต่ภาคแรกหากสังเกตดีๆ” เรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ชิงไหวชิงพริบ เน้นสติปัญญานำ กำลังเป็นรอง
สำหรับภาค 6 เป็นเรื่องราวที่สรุปสั้นเนื้อหาได้ว่า “เอาตัวรอด เรือนจำ เพื่อนพ้อง (เช่นเคย) คนบาปในคราบนักบุญ คนฉวยโอกาส และความเน่าเฟะของระบบ”
เนื้อหาภาคนี้เริ่มต้นด้วยการที่ คูโจ โจลีน ถูกจับเข้าซังเตเนื่องจากขับรถชนคนตาย ระหว่างการพิจารณาคดี ทนายของเธอได้แนะนำให้เธอยอมรับสารภาพเพื่อลดหย่อนโทษ แต่เมื่อสารภาพแล้วกลายเป็นว่า ทนายความทำงานให้แฟนเก่าที่เธอรับผิดให้แทน จึงทำให้เธอต้องอยู่ที่นี่เป็นเวลา 15 ปี แล้วเกมล่าในที่ปิดตายหมายเอาชีวิตก็เริ่มต้นขึ้น ในเรือนจำความปลอดภัยสูงสุดอย่าง กรีน ดอลฟิน สตรีท (Green Dolphin St.) ที่เต็มไปด้วยระบบเน่าเฟะ ที่กฎสามารถหักงอได้ด้วยเงิน ผู้คุมหรือพัศดีฉ้อฉล กับผู้ใช้สแตนด์ที่หมายหัวเอาชีวิต
โจโจ้ภาคนี้พูดง่ายๆ คือเป็นแนวดำเนินเรื่องในคุก แนวนี้น่าสนใจเสมอเพราะเราจะได้เห็น การเขม่นหรือข่มกันของนักโทษ นักโทษขาใหญ่ ความสำคัญของเงิน และการใช้เส้นสายภายในคุก โดยโจลีนจะเป็นเหมือนตัวแทนคนดูที่จะพาเราไปสำรวจความอันตรายภายใต้เรือนจำแห่งนี้
ก่อนถูกนำไปขังที่เรือนจำ เธอได้เครื่องรางที่พ่อบอกแม่ให้ฝากมาให้ในยามฉุกเฉิน ในเครื่องรางนอกจากจะมีรูปของพ่อกับแม่เธอแล้ว ยังมีเศษของลูกศรที่เราได้เห็นกันในภาคก่อนๆ แล้วว่าเมื่อนำไปจิ้มคน หากคนคนนั้นมีคุณสมบัติพอเขาหรือเธอจะได้รับพลังสแตนด์ที่สะท้อนถึงบุคลิกภาพกับความต้องการของแต่ละคน จิตใจดีสแตนด์จะออกมาดี จิตใจไม่ดีสแตนด์จะค่อนข้างชั่วร้าย และพิษสงเยอะ
แน่นอนว่าโจลีนที่มีสายเลือดโจสตาร์ แม้เธอจะไม่ได้มีสแตนด์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดเหมือนโจทาโร่พ่อของเธอ แต่เธอมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้ใช้สแตนด์
ระหว่างการขนส่งนักโทษโจลีนได้ค้นพบว่าเธอสามารถได้ยินเสียงจากระยะไกลได้ และยังสามารถควบคุม ‘เส้นด้ายสีฟ้าเรืองแสง’ ที่ออกมาจากตัวเธอราวกับเธอเป็นต้นขั้วของมัน ตอนนั้นโจลีนยังมาได้เข้าใจพลังของเธอเท่าไหร่นัก
หลังจากตัดสิน โจลีนถูกนำไปขังในเรือนจำ พลังของเธอก็ตื่นขึ้นอย่างเต็มรูปแบบจากสถานการณ์บีบคั้นหลังจากโดนรับน้องโดยสแตนด์ กู กู ดอลส์ ของเพื่อนร่วมห้องที่ชื่อ เกวส ที่ทำให้คนตัวเล็กได้ในรัศมี โจลีนเอาชนะเธอได้ด้วยการนำเส้นด้ายนั้นมาถักทอย่างถี่และหนาแน่นจนอัดตัวเกิดเป็นรูปร่างที่แน่นอน เธอตั้งชื่อให้กับมันว่า ‘สโตน ฟรี (Stone Free)’ เพื่อย้ำเตือนว่า สิ่งที่เธอต้องทำคือหนีออกไปจากที่นี่และมี ‘อิสระ’
สโตน ฟรี เป็นสแตนด์ที่สะท้อนภาพลักษณ์ของโจลีนออกมาได้ดี สแตนด์ที่เป็นเส้นด้ายและใช้ระยะไกลได้มีความหมายถึงความอ่อนไหวอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้หญิงที่เอาเรื่องและไม่ยอมคน ตรงไปตรงมา ซึ่งร่างสแตนด์ที่ถักทอรวมกันเป็นสแตนด์ระยะใกล้ก็มีความสามารถรัวหมัดโอร่าโอร่าได้อยางทรงพลัง ส่วนแว่นตากันแดด แสดงถึงความแสบซ่า เก๋ไก๋ ของโจลีน
นับว่าเป็นสแตนด์ที่แสดงถึงความบู๊ก็ได้ บุ๋นก็ดี อยู่ที่การพลิกแพลงและการนำไปใช้ ตลอดพาร์ทแรกของภาคนี้เราจะเห็นทั้งเธอนำมันไปใช้แอบฟังเสียง ส่งข้อความเสียง ขึงตึงเป็นลวด รัดอวัยวะ ทดแบบเรียลไทม์เป็นเชือกสำหรับวิ่ง ยันตาข่ายขึง
ต่อมาโจทาโร่ ผู้ใช้สแตนด์สุดแกร่งระดับไร้เทียมทานอย่าง สตาร์แพล็ตทิลนั่ม (Star Platinum) ที่ดูไม่สนใจและไม่สนิทกันเท่าไหร่นักในฐานะพ่อลูก ได้มาเยี่ยมโจลีน และตั้งใจจะพาโจลีนออกไปจากคุกให้เร็วที่สุด แต่ทั้งสองโดนเล่นงานโดยสแตนด์ แมนฮัตตัน ทรานสเฟอร์ (Manhattan Transfer) ของนักโทษชายชื่อ จอห์นกัลลี่ เอ. ที่อยู่เบื้องหลังการจัดฉากใส่ร้ายและการถูกจับขังของโจลีนครั้งนี้
ด้วยสติปัญญาอันหลักแหลม โจลีนเอาชนะจอห์นกัลลี่ เอ. มาได้ จากการไขปริศนาได้ว่าที่กำลังเผชิญอยู่เป็นความฝัน และความฝันที่ซ้อนความฝันด้วยการกำกระดูกที่ได้มาจากเด็กชายปริศนาใส่ชุดเบสบอลที่ชื่อ ‘เอ็มโพริโอ้ (Emporio)’
แต่กลับกลายเป็นว่าเป้าหมายการโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่โจลีน แต่การใส่ร้ายให้โจลีนติดคุก ก็เพื่อล่อโจทาโร่มา และศัตรูมีสองคน อีกคนคือคนที่ทำให้เกิดความฝันและเกือบทำทั้งคู่หลอมละลายไปกับห้อง
และอีกคนนี้เองที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวนี้ สแตนด์ที่ชื่อ ‘ไวท์สเน็ค (White Snake)’ ของใครบางคนที่นอกจากจะมีความสามารถทำให้ฝันและถูกละลายเหมือนกำลังถูกเป็นเหยื่อที่ถูกย่อยอยู่ในกระเพาะงูจนค่อยๆ ตายอย่างช้าๆ แล้ว ยังมีความสามารถในการถอดและใส่ดิสก์จากทุกคนได้ด้วย เหมือนการจู่โจมด้วยการฉกฉวยและช่วงชิงของงู (ผู้แต่งตีความออกมาดี ถึงความสามารถแรกเราจะไม่ได้เห็นมันอีกเลยก็เถอะ)
ไวท์สเน็คถอดดิสก์ออกมาสองดิสก์ และโจลีนเหลือบไปเห็นก่อนศัตรูหลบหนีไป ว่าดิสก์มี 2ประเภทคือดิสก์ที่เป็นรูปสแตนด์สตาร์แพล็ตทินั่ม กับดิสก์ความทรงจำของโจทาโร่ ที่หลังจากถอด พ่อของเธอเริ่มสติเลือนลางจนกลายเป็นผักในที่สุด ทำให้โจลีนที่เกือบจะรอดและหนีไปกับเขาได้แล้วด้วยเรือดำน้ำจากมูลนิธิสปีดวากอนที่มารอรับ ตัดสินใจกลับเข้าไปเพื่อชิงดิสก์คืนมาจากไวท์สเน็คเพราะเชื่อว่าหากได้ดิสก์คืน พ่อจะกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง
เพราะความทรงจำ = ตัวตน และสแตนด์ = ความสามารถในการเคลื่อนไหว,เอกลักษณ์เฉพาะตัว สองอย่างนี้ประกอบสร้างในคนคนนั้นให้เป็นคนคนนั้น ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้โดยเฉพาะดิสก์ความทรงจำ เพราะหากไร้ซึ่งมัน คนคนนั้นคือร่างที่ว่างเปล่า ไม่มีทั้งประสบการณ์ การเรียนรู้ หรือความข้องเกี่ยวยึดโยงกับใครจากภายในเลย
ฉากต่อสู้กับผู้ใช้สแตนด์ทั้งสอง ได้ทำให้โจลีนได้รู้ว่าพ่อเธอที่ไร้หัวใจ ไม่สนใจใยดีแม้ตอนที่เธอถูกจับ รวมถึงห่วงเครื่องรางมากกว่าเธอ แท้จริงแล้วทั้งรักทั้งห่วงใยเธอ เขาใช้เวลาก่อนหน้านี้เดินทางเพื่อไปสืบหาจนรู้ว่าลูกถูกใส่ร้าย ส่วนเครื่องรางก็เป็นตัวส่งสัญญาณจึงต้องรักษาให้ดี ท้ายที่สุดโจทาโร่ผู้แข็งแกร่งได้แพ้พ่ายเพราะปกป้องลูก แต่ลูกสาวของเธอได้รับความแข็งแกร่งนั้นมาเต็มเปี่ยม ทั้งจากพ่อ และจากการที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนมาตลอด
ร่างของเขาถูกนำไปเก็บรักษาโดยมูลนิธิสปีดวากอนชั่วคราว จนกว่าโจลีนจะนำดิสก์มาใส่คืนได้
ยังดีที่เธอยังมีพันธมิตรบ้างในเรือนจำสุดน่ากลัวและโดนเพ่งเล็งตลอดเวลานี้ หนึ่งในนั้นคือเออร์เมส คอสเทลโล่ ผู้ใช้สแตนด์ คิส (Kiss) ที่ได้รับพลังมาจากเศษลูกศรเช่นกัน หลังเก็บเครื่องรางที่โจลีนปาทิ้งได้ สแตนด์ของเธอมีความสามารถในการโคลนวัตถุหรืออวัยวะใดใดก็ตามด้วยการแปะสติ๊กเกอร์ จากนั้นเมื่อดึงออก ทั้งสองจะรวมเป็นหนึ่งอีกครั้งในสภาพที่ฉีกขาด
เออร์เมสได้เผชิญหน้ากับแม็คควีน (McQueen) นักโทษชายที่ได้รับดิกส์ภารกิจกับดิสก์มแตนด์มาจากไวท์เสน็คเพื่อให้ทำตัวเป็นตัวเขาเองและกำจัดฝั่งตัวเอกของเรา
และด้วยกฎ “ผู้ใช้สแตนด์มักดึงดูดผู้ใช้สแตนด์ด้วยกัน” เออร์เมส ต้องมาเจอกับแม็คควีนที่เป็นภาระ รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ติดคุกเพราะดวงซวยสุดๆจากการปืนลั่นไปโดนผู้หญิงที่กำลังโดดลงมาฆ่าตัวตายพอดี และมีแนวโน้มว่าจะฆ่าตัวตายตลอดเวลา (Suicidal) ซึ่งไวท์สเน็คใช้ประโยชน์จากตรงนี้ของเขา การที่นอกจากตัวเองยายังไม่พอ ยังเป็นพวก crab mentality หรือผู้มีจิตวิทยาแบบปูที่ลากคนอื่นให้ย่ำแย่ด้วย
แม็คควีนผูกคอตอบ เออร์เมสโดนด้วย แม็คควีนเอาหน้าจุ่มน้ำ เออร์เมสหายใจไม่ออกตาม เจนถึงโดนกรีดแขนและช็อตไฟฟ้าไปด้วยออร์เมส แต่เออร์เมสก็สามารถเอาชนะแม็คควีนมาได้ในที่สุด ในสภาพที่เกือบไม่รอด
“เธอชื่ออะไรน่ะ?”
“ผมชื่อเอ็มโพริโอ้ครับ”
เด็กชายชุดเบสบอลที่ชื่อเอ็มโพริโอ้ อยากให้จำประโยคพูดระหว่างเขากับโจลีนนี้ไว้ให้ดีๆ เด็กคนนี้มีบทบาทสำคัญอย่างมากกับเรื่องราวทั้งหมดของภาค 6 เริ่มตั้งแต่ให้กระดูกกับโจลีนจนสามารถรอดจากห้องนั้นมาได้ และหลังจากนั้น
เอ็มโพริโอ้เป็นเด็กที่เกิดในคุกกรีน ดอลฟิน สตรีท และโตในคุกนี้เพราะแม่ของเขาเสียชีวิตที่นี่จากการถูกเอาดิสก์ออกไปและถูกกรดย่อยสลายตาย เด็กน้อยมีความสามารถสแตนด์ที่สามารถนำวิญญาณของสิ่งที่ถูกทำลายไปแล้วกลับมาใส่ได้ ตั้งแต่วัตถุ เครื่องดื่ม อาหาร จนถึงห้องที่เขาอาศัยมาตลอดที่เป็นเสมือน private room ในมิติลี้ลับเหนือกาลเวลาและพื้นที่ ที่แทรกในกำแพงและสิ่งของได้ นอกจากนี้เวลาภายในห้องจะไม่เดินเหมือนข้างนอกด้วย
การมาที่ห้องนี้ทำให้เธอได้พบกับพันธมิตรที่จะมาร่วมแก๊งอีกสองคน ชื่อเวเธอร์ รีพอร์ต (Weather Report) กับอนาซุย (Anasui) ที่เป็นผู้ใช้แสตนด์ทั้งคู่ และมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา
โจลีนกับเออร์เมส ได้อาสาไปค้นหาคนหายที่ทุ่งนา โดยมีเป้าหมายแฝงคือสืบหาความจริงเรื่องดิสก์ที่ถูกเก็บซ่อนไว้ที่ล้อรถแทร็คเตอร์เป็นคอลเล็คชั่น
ภารกิจครั้งนี้ทำให้เธอได้เผชิญหน้ากับ FF หรือฟู ไฟเตอร์ส (Foo Fighters) แพลงตอนที่ถูกทำให้มีชีวิตและสติปัญญาเพื่อปกป้องดิสก์ให้กับไวท์สเน็ค ใครเข้ามาใกล้โดนสังหารทันที นี่เป็นหนึ่งในศัตรูที่ทำให้ลุ้นที่สุดในภาคนี้ เพราะจากตอนแรกที่มีนักโทษอาสา 5 คน กลายเป็นเกมจิตวิทยาไปโดยทันทีเมื่อนับไปนับมานักโทษมี 6 คนซะอย่างงั้น
กลายเป็นว่านักโทษทุกคนยกเว้นสองคนนี้กับอีกคนที่ตายไปเป็นเจ้าแพลงตอนนี่หมดเลย แพลงตอนสามารถแยกตัวได้ และประกอบร่างจากเซลล์ร่างกายมนุษย์ได้ โดยมีน้ำเป็นปัจจัยหลัก โจลีนไขปริศนาตรงนี้ออกจึงเอาชนะมาได้ แต่ไว้ชีวิตเพราะ FF เพียงต้องการต่อสู้ปกป้องดิสก์เพื่อเพื่อปกป้องความเป็นตัวเอง กับความทรงจำ เพราะมันทำให้เธอมีปัญญา มีความคิดแตกฉาน (ขนาดอธิบายวิทยาศาสตร์ได้) และมีตัวตน เธอไม่อยากที่จะถูกลบมันจนกลับไปเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วแต่ใช้ชีวิตไปวันๆ อีก
ความเมตตา (sympathy) และความเข้าอกเข้าใจ (empathy) ของโจลีน ทำให้ FF นับถือและกลายมาเป็นอีกหนึ่งในสมาชิกแก๊งในที่สุด นับเป็นอีกหนึ่ง แก๊งmate ที่ประหลาดอย่างน่าสนใจในแฟรนไชส์โจโจ้ หลังจากที่ภาค 3 มีหมา กับภาค 4 มีมนุษย์ต่างดาวแล้ว โดย FF เอาร่างของนักโทษที่ชื่อ เอโทร มาใช้จำแลงกาย
ส่วนเรื่องดิสก์ ทั้งสามพอดิสก์สตาร์แพล็ตทินั่มที่นี่ แต่ไม่พบดิสก์ความทรงจำแต่อย่างใด
ความจริงได้ถูกเปิดเผยว่าแท้จริงแล้ว เจ้าของสแตนด์ไวท์สเน็คและบอสใหญ่ภาคนี้คือ ‘บาทหลวง เอ็นริโก้ พุชชี่’
ใช่แล้ว ‘บาทหลวง’ นี่คือคนชั่วร้ายในคราบนักบุญที่ว่าในตอนต้น บาทหลวงพุชชี่ ใช้ความเป็นบุคลากรศาสนา ตำแหน่งพ่อหรือ father และชุดที่ดูสุภาพเรียบร้อย ในการดำเนินการตามแผนที่จะสร้างสวรรค์และหามนุษย์ไปสู่สรวงสวรรค์นั้น ด้วยการช่วงชิงความทรงจำของโจทาโร่มาเพื่อดูหนทางไปสวรรค์ที่ดิโอเคยเขียนไว้แต่ถูกจิทาโร่ผู้เป็นคนเดียวที่ได้อ่านเผามันไปซะก่อน
อีกทั้งถึงตรงนี้ เราจะเห็นได้ว่านี่เป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยการใช้ประโยชน์จากอำนาจในหน้าที่และความสามารถไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ที่รับสินบน ทนายความที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อจรรยาบรรณอาชีพ จอห์นกัลลี่ เอ. อดีตทหารที่ผันตัวมาเป็นมือปืนรับจ้าง สแตนด์ มาริลิน แมนสิน นักทวงหนี้ จากนักโทษหญิงมิร่าชอนที่ชอบลักเล็กขโมยน้อย (สแตนด์ที่บาทหลวงใส่ให้จึงเป็นสแตนด์ที่เล่นตุกติกเพื่อเล่นงานศัตรู)
และที่ชัดที่สุดก็คือตัวบาทหลวง ที่อาศัยการอยู่ภายใต้ชายคาที่ชื่อว่า ‘พระเจ้า’ และ ‘ศาสนา’ ในการพูดจาหว่านล้อมชักจูงให้น่าเชื่อถือ ปกปิดความดำมืดในตัวด้วยแสงแห่งธรรม และกระทำการใดๆ ในเรือนจำอย่างสะดวกโยธิน ไม่ว่าจะเป็นเข้า-ออก ปิด-เปิดประตู ยันขอดูกล้องวงจรปิด
แน่นอน พุชชี่เกี่ยวข้องกับดิโอ (Dio Brando) วายร้ายที่ตามจองล้างจองผลาญจองเวรตระกูลโจสตาร์แทบทุกภาคโดยตรง แม้ว่าตัวไม่อยู่แล้วแต่เจตนารมณ์ถูกส่งต่อไปยังใครซักคนเสมอ เช่นภาค 5 ที่ตัวร้ายอย่าง เดียร์โบโร่ (Diavolo), ภาค 1 กับ 3 ที่เป็นตัวร้ายเอง, ภาค 7 ที่ขออุปไว้ก่อนว่ามายังไง กับภาคนี้ที่บอสใหญ่ได้รับเจตนารมณ์ของดิโอมาแบบเต็มๆ แบบที่เรียกได้ว่าถ้าไม่เจอดิโอก็จะไม่มีบาทหลวงพุชชี่ที่เห็นอยู่ตอนนี้
โดยเจตนารมณ์ที่ว่า ก็คือเจตนารมณ์แห่ง ‘การขึ้นสวรรค์’ นั่นเอง
ในบทสรุปของเรื่องราวพาร์ทแรก เวเธอร์รีพอร์ทกับโจลีน จะต้องไปที่สวนส่วนกลางใน ‘ปฏิบัติการซาเวจการ์เด้น (Savage Garden Operation)’ เพื่อส่งมอบดิสก์สแตนด์สตาร์แพล็ตทินั่มให้กับผู้รับของมูลนิธิสปีดวาก้อน
ทั้งคู่เผชิญหน้ากับสแตนดห์จั๊มพ์ปิ้ง แจ็คแฟลช (Jumpin Jack Flash) ที่ถุยน้ำลายแล้วคนนั้นจับอะไรจะไร้แรงโน้มถ่วงภายใต้สนามพลังในรัศมีที่มีขอบเขตจำกัด ทั้งคู่สภาพปางตายเนื่องจากผลกระทบของแรงกดอากาศกับภาวะลอยตัว แต่ก็เอาชนะมาได้ด้วยสแตนด์และชุดที่ทำจากเมฆของเวเธอร์รีพอร์ต ช่วงนี้เป็นช่วงที่วิทยาศาสตร์สุดๆของหนังเช่นกัน แต่เชื่อเถอะว่าในครึ่งหลังยิ่งกว่านี้ (แม้ว่าแค่นี้ 3 เสาหลักของวิชาวิทยาศาสตร์จะมาครบแล้วก็ตาม)
แต่เมื่อมาถึง โจลีนก็ถูกผู้คุมที่ใส่ดิสก์ควบคุมยิงเข้าที่ท้อง เวเธอรีพอร์ตเค้นพลังแล้วใช้พลังที่มีนำพายุพัดพากบพิษมาที่สวนเพื่อขัดขวางผู้คุมจากการฆ่าโจลีน ในขณะที่โจลีนใช้ไหวพริบเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ได้ และได้สแตนด์ไวท์สเน็คระบุตำแหน่งดิสก์ เธอจึงชิงมันเอาไปให้นกพิราบของมูลนิธิ ส่งดิสก์ 1 จาก 2 กลับไปคืนพ่อเธอได้สำเร็จ
หลังจากได้ชมครึ่งแรกมีคำพูดอยากจะพูดถึงมากมายแต่อยากเก็บไว้พูดพร้อมกับภาพรวมที่สมบูรณ์อีกทีเมื่อจบพาร์ท 2 แต่จากที่ได้ชมไป ก็อดไม่ได้ที่จะนิยามมันในเบื้องต้นว่าว่าเป็น 12 ตอนที่สนุก และโจโจ้ไม่เคยทำให้ผิดหวัง
สำหรับเรื่องราวครึ่งแรกนี้ ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ในการปู (พร้อมๆ กับเอนเตอร์เทนเราด้วยความมันส์ เกรียน สนุก เครียด กดดันแทนตัวละครระหว่าทาง) สิ่งต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตัวละครหลัก สมาชิกแก๊งที่ครบทีม ตัวร้าย กับโมทีฟตัวร้ายที่ดูยิ่งใหญ่และน่ากลัว เบื้องหลังตัวร้าย (ที่ไม่บอกจริงๆ ก็รู้ว่าใคร) กับเนื้อเรื่องพื้นฐานที่จะต่อยอดไปยังบทสรุปในพาร์ทหน้า และความแกร่งของตัวเอกภาคนี้