1.
“ผมเสียใจจริงๆ”
ช่วงระหว่างปี ค.ศ.1970-1980 สังคมญี่ปุ่นตกอยู่ภายใต้การครอบงำของฆาตกรต่อเนื่อง ที่ก่อเหตุอย่างไร้ร่องรอย ไร้คนสงสัย เหยื่อของเขาเป็นสาวนั่งดริ้งก์ในร้านคาราโอเกะ เขาก่อเหตุอย่างโหดเหี้ยม แต่สังคมไม่เคยตระหนักถึงการดำรงอยู่ของปีศาจรายนี้เลยแม้แต่น้อย
เหยื่อของเขามีถึง 22 ศพด้วยกัน กว่าทางการจะตระหนักรู้ กว่าตำรวจจะเริ่มลงมือสืบสวน เขาก็ก่อเหตุอย่างสั่นคลอนสังคมญี่ปุ่น ซึ่งมีสถิติการก่ออาชญากรรมที่ต่ำมาก
นี่คือเรื่องราวของคิโยทากะ คัตสึตะ (Kiyotaka Katsuta) ฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดที่ได้รับการเรียกขานว่า ‘ปีศาจร้ายที่สยองขวัญสุดในญี่ปุ่น’
ภาพลักษณ์ของเขาดูคล้ายคนดี เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม แต่ภายใต้เบื้องหลังนั้นกลับแปดเปื้อนด้วยความดุร้ายเคลือบซ่อนอยู่อย่างสยดสยอง
2.
เขาแตกต่างจากฆาตกรต่อเนื่องรายอื่นๆ คัตสึตะ ไม่มีชีวิตวัยเด็กหรือครอบครัวที่กระทำกับเขาอย่างโหดร้าย เด็กน้อยเกิดในปี ค.ศ.1948 ที่เกียวโต ในครอบครัวชาวนาที่มีไร่มหาศาล พูดง่ายๆ ว่ามีฐานะไม่เบา วัยเด็กไม่มีอะไรแปดเปื้อนสะเทือนใจ คัตสึตะเป็นเด็กเรียนดี เล่นดนตรีให้กับวงดุริยางค์ ดูชีวิตปกติสุข
อย่างไรก็ดีเด็กคนนี้กลับมีปัญหาบางอย่าง คือชอบลักเล็กขโมยน้อย ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นต้องไปลักทรัพย์ใครเลย หากพิจารณาจากฐานะทางบ้าน
ชีวิตตอนเด็กถึงวัยรุ่น คัตสึตะ ขโมยของทุกอย่าง เพื่อเอาไปขาย วิ่งราวกระเป๋าผู้หญิง เมื่อถูกจับได้ ตำรวจพบข้าวของที่เขาขโมยมาเก็บไว้ที่ห้องเป็นจำนวนมาก และเนื่องจากเป็นเยาวชน เขาจึงถูกส่งเข้าสถานดัดสันดาน เมื่อออกมาก็แต่งงานกับหญิงสาว และย้ายไปอยู่โอซากา เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่
ช่วงนั้นชายหนุ่มทำงานขับรถบรรทุก แต่เขาฟุ่มเฟือยละลายเงินไปกับข้าวของหรูหรา และแอบมีเมียน้อยที่ชอบรับของปรนเปรอราคาแพงจากเขา นั่นทำให้งานขับรถบรรทุกไม่เพียงพอจุนเจือฐานะ คัตสึตะจึงสมัครเป็นพนักงานดับเพลิง แม้จะมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน แต่ไม่มีใครตรวจสอบ เขาจึงได้เป็นนักลุยไฟไต่เต้าจนเป็นหัวหน้า เป็นที่นับหน้าถือตาจากลูกน้อง และทำให้เขากระหน่ำซื้อของอย่างฟุ่มเฟือนยิ่งกว่าตอนขับรถบรรทุกอีก
เมื่อความโลภไม่มีที่สิ้นสุด เงินเท่าไหร่ก็ไม่อาจพอ นั่นทำให้ชายหนุ่มเจอปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลัง เขาเลยหวนกลับไปใช้ทักษะโจรอีกครั้ง
คิโยทากะ คัตสึตะรับงานเสริมเป็นคนขับรถบรรทุก ตระเวนไปทั่วประเทศ เพื่อหาเงินเพิ่ม แต่เป้าหมายจริงๆ ของการขับรถคือเลือกหาเหยื่อที่เขาจะก่อเหตุลักทรัพย์ได้ต่างหาก
ไม่นานเกินรอ เหยื่อรายแรกก็มาถึง
ก่อนจะก่อเหตุ ตัวชายหนุ่มคิดว่า หากจะต้องลักขโมยเหมือนเดิม ก็คงจะไม่รอดจากการถูกจับ ดังนั้นเขาจึงคัดกรองและเลือกเหยื่อที่เป็นสาวนั่งดริ้งก์ตามร้านคาราโอเกะ คนเหล่านี้มักจะเลิกงานดึก และพกเงินที่ได้จากทิปของลูกค้าไว้เต็มกระเป๋า ที่สำคัญพวกเธอไม่ค่อยแจ้งความ และถึงขึ้นโรงพัก ตำรวจก็ไม่สนใจจะควานหาตัวผู้ก่อเหตุ นั่นจึงเป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้เงินจากคนเหล่านี้ได้อย่างสบายใจ
เดือนสิงหาคม ค.ศ.1972 ตอนตี 5 การสังหารศพแรกก็เริ่มขึ้น ชายหนุ่มสะกดรอยตามสาวนั่งดริ้งก์วัย 24 ปี ที่เพิ่งเลิกงานกลับอพาร์ตเมนท์ เมื่อเธอกำลังจะเปิดประตูห้อง ชายหนุ่มก็เข้าชาร์จและผลักเธอเข้าไป ที่จริงแล้วเขาควรจะปล้นทรัพย์สินเท่านั้น แต่คัตสึตะกลับลงมือข่มขืน แล้วรัดคอหญิงสาวจนตายเพื่อไม่ให้เธอจำเขาได้ นั่นจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งเส้นทางปีศาจทันที
อรรถรสแห่งการฆ่าเกิดขึ้น เหยื่อรายแรกมีเงินเพียง 1 พันเยนเท่านั้น และเมื่อปีศาจถือกำเนิดแล้ว อะไรก็ฉุดยั้งไม่อยู่ คัตสึตะก่อเหตุฆ่าอีก 3-4 ศพ เหยื่อทุกรายล้วนเป็นสาวนั่งดริ้งก์ ตัวเขาได้ทั้งความสุขจากการฆ่าและความสุขจากการปล้น แม้จะมีการสืบสวน แต่ตำรวจญี่ปุ่นไม่เคยสอบปากคำหรือสงสัยคัตสึตะเลย
สาเหตุก็เพราะนักฆ่ารายนี้ไม่เคยไปเที่ยวคลับ หรือย่างกรายไปคาราโอเกะที่ผู้ตายทำงาน แต่เขาใช้วิธีการจอดรถเลือกเหยื่อ รอจนอีกฝ่ายเลิกงาน จึงลงมือสะกดรอย แล้วก่อเหตุ
ทั้งนี้ตำรวจมัวแต่ไปยุ่งกับประวัติของผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายมากหน้าหลายตา พวกเขาเลยไม่ตระหนักว่ากำลังมีฆาตกรต่อเนื่องเกิดขึ้นในสังคมญี่ปุ่น
บางศพถูกฆ่านำไปทิ้งในไร่นา บางศพถูกปล่อยทิ้งในห้อง แต่ทุกศพเป็นสาวนั่งดริ้งก์ และทรัพย์สินสูญหายทั้งหมด
ความนิ่งเฉยไม่ละอายแก่การก่อเหตุ ประทับอยู่ในใจคัตสึตะ หลังเขาฆ่าเหยื่อรายหนึ่งผ่านไป 6 วัน ชายหนุ่มกับภรรยาก็ได้ไปออกรายการโทรทัศน์ เอ่ยปากเล่าเส้นทางความรักที่สวยหรู ก่อนคว้าเงินรางวัลจากรายการ จนเป็นที่ฮือฮาในสังคมอย่างมาก
ภาพที่ปรากฏในโทรทัศน์นั้น จะกลายเป็นเรื่องตื่นตะลึงในเวลาต่อมา เมื่อสังคมรู้ความจริงว่าชายที่เล่าชีวิตรักอย่างงดงามจะเพิ่งผ่านการฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น ไร้ซึ่งสำนึกใดๆ ทั้งสิ้น
และเมื่อปีศาจย่ามใจ เพราะไม่มีใครตระหนักถึงการมีอยู่ของมัน นั่นทำให้คัตสึตะยกระดับการฆ่าขึ้นไปอีกขั้น รุนแรงและโหดร้ายกว่าเดิม
3.
จากเพียงฆ่ารัดคอ เขาขยับมาใช้ปืนเป็นอาวุธสังหาร โดยได้มันจากการขโมยร้านขายปืนแห่งหนึ่ง ก่อนใช้มันกระหน่ำยิงพนักงานธนาคารที่กำลังขนเงินไปแบงก์ ครั้งนี้เขาได้เงินไปถึง 4.1 ล้านเยน
จากปี ค.ศ.1972 จนมาใช้ปืนฆ่าในปี ค.ศ.1977 ดูเหมือนการก่อเหตุของเขาจะรุนแรงมากขึ้น คัตสึตะใช้ปืนยิงเหยื่อ ซึ่งอัตราการก่อเหตุด้วยปืนนั้นมีสถิติที่ต่ำมากในสังคมญี่ปุ่น แม้เจ้าหน้าที่จะตื่นตัวกับคดีประเภทนี้ แต่ก็คว้าน้ำเหลวในการจับกุมอยู่ดี
จวบจนถึงปี ค.ศ.1980 ชายหนุ่มพยายามชิงรถสาวนั่งดริ้งก์ซึ่งพกเงินสดที่ได้จากลูกค้า ณ วินาทีนั้น ตำรวจอยู่ที่จุดเกิดเหตุพอดี พวกเขาจึงเข้ารวบตัวคัตสึตะได้สำเร็จ
การจับกุมนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ เพราะคัตสึตะเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในสังคม เป็นหัวหน้าพนักงานดับเพลิง เป็นสามีที่แสนดี เพราะเหตุใดเขาถึงมาเป็นแบบนี้เสียได้ ผลจากการก่อเหตุครั้งนั้นทำให้เขาถูกส่งเข้าเรือนจำและถูกไล่ออกจากงาน
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่สาสมแล้ว แต่ตำรวจกลับไม่อาจโยงได้ว่าชายคนนี้เป็นฆาตกรต่อเนื่อง พวกเขาคิดว่าเพราะต้องหาเงินมาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ทำให้หัวหน้าพนักงานดับเพลิงจึงเลือกเส้นทางสายโจร แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้สังหารเหยื่อก่อนถูกจับกุมนับสิบรายแล้ว
นี่เป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญของตำรวจญี่ปุ่น ที่ต้องชดใช้ด้วยอีกหลายชีวิตหลังจากนั้น
เพราะโทษจากการพยายามปล้นทรัพย์เพียงครั้งเดียว ทำให้คัตสึตะถูกศาลตัดสินจำคุก 3 ปีเท่านั้น จากความผิดนี้ เมื่อพ้นโทษออกมา เขาตัดสินใจกลับไปทำงานขับรถบรรทุกอีกครั้ง และเริ่มก่อเหตุฆ่าคนอีกครา
4.
สิงหาคม ค.ศ.1982 คัตสึตะขโมยรถในย่านนารา ก่อนขับทับพนักงานซูเปอร์มาร์เก็ตจนบาดเจ็บสาหัส ต้องนอนโรงพยาบาลนานถึง 40 วัน เพราะกระดูกสะโพกหัก จากนั้นเดือนตุลาคม ค.ศ.1982 เขาขโมยรถนักศึกษามหาวิทยาลัย ก่อนแจ้งตำรวจอ้างว่าพบรถต้องสงสัยที่คาดว่าจะถูกขโมยมา เมื่อเจ้าหน้าที่นายหนึ่งมาถึง ชายหนุ่มพุ่งใช้เหล็กกระหน่ำตีหัวตำรวจก่อนแย่งปืนพกมาได้ แล้วจึงหลบหนีไป
โชคดีที่ตำรวจนายนี้เพียงแค่บาดเจ็บ ไม่ถึงกับเสียชีวิต ก่อนแจ้งรูปพรรณสันฐานคนร้ายอย่างละเอียด ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้งประเทศตื่นตัวรับมือกับเหตุนี้เป็นการใหญ่ มีการตั้งชุดเฉพาะกิจเพื่อล่าตัวคนร้ายที่แย่งปืนตำรวจโดยเร็ว
เมื่อได้ปืน นักฆ่าคนนี้ก็เหิมเกริม เขาทำทีโบกรถคันหนึ่ง และใช้ปืนจี้บังคับคนขับให้ไปตามเส้นทางที่เขาต้องการ เมื่อจอดรถริมถนน อยู่ดีๆ คัตสึตะก็ยิงใส่เหยื่ออย่างไม่ทราบเหตุผลจนตาย ก่อนพารถไปจอดที่ปั๊มน้ำมัน เพื่อจะทิ้งหลักฐาน นั่นก็คือถุงมือเปื้อนเลือด ทางพนักงานปั๊มได้มาเห็นเหตุการณ์ นั่นทำให้ชายหนุ่มยิงใส่พนักงานเพื่อฆ่าปิดปากอีกราย
กระสุนซัดใส่พนักงานปั๊ม บาดแผลฉกรรจ์ อาการสาหัส แต่กลับดวงแข็งไม่ตาย นั่นทำให้ตำรวจเร่งมือเพื่อจะจับกุมฆาตกรรายนี้ให้ได้ แต่แม้จะตั้งชุดเฉพาะกิจออกล่าเพียงใด ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะไม่สามารถควานหาคัตสึตะได้ จนล่วงเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน ชายหนุ่มยังก่อเหตุปล้นร้านสะดวกซื้อด้วยอาวุธปืนได้อย่างสบายใจเฉิบ
เหมือนเจ้าหน้าที่ปล่อยให้ปีศาจก่อเหตุอย่างกำเริบเสิบสานเป็นอย่างมาก
5.
คิโยทากะ คัตสึตะ เริ่มสังหารเหยื่อรายแรกเมื่อปี ค.ศ.1972 เขาใช้ชีวิตโลก 2 ใบ เป็นคนปกติ กับปีศาจร้ายกว่า 11 ปี แม้จะก่อเหตุอุกอาจทำร้ายตำรวจ ขโมยปืนหลวง ไล่ยิงคน ข่มขืน ฆ่าใครมากมายเพียงใด นักสืบกลับล้มเหลวในการล่าตัวเขา จนกระทั่งเดือนมกราคม ปี ค.ศ.1983 ดูเหมือนชะตากรรมปีศาจก็มีจุดสิ้นสุดจนได้
ครั้งนี้ชายหนุ่มเล่นใหญ่ด้วยการบุกเข้าไปในรถของประธานบริษัทรถบรรทุกแห่งหนึ่ง ซึ่งไปถอนเงิน 1 ล้านเยนจากธนาคารมา เมื่อขึ้นมาบนรถ ก็เผชิญกับคัตสึตะที่ควักปืนออกมาเพื่อปล้นเงิน อย่างไรก็ดีเสี้ยววินาทีนั้น มีลูกค้าที่ออกจากธนาคาร ทำให้ชายหนุ่มเสียสมาธิ ประธานบริษัทรถบรรทุก จึงเข้าแย่งปืนเกิดการต่อสู้ พลเมืองดีจำนวนมากเห็นเหตุการณ์ จึงวิ่งเข้าไปช่วย แม้คัตสึตะจะดึงปืนกลับมาและลั่นกระสุนไป 2-3 นัด แต่กลับไม่โดนใคร
จังหวะนั้นเอง 11 ปีแห่งการลอยนวลก็สิ้นสุด เมื่อประชาชนต่างกรูกันจับกุมตัวเขา ลากลงจากรถ มากองกับพื้น ก่อนแจ้งตำรวจให้มารับตัว
ปิดฉากตำนานปีศาจร้ายที่ฆ่าคนอย่างยาวนานได้เสียที
เจ้าหน้าที่พบว่าปืนของกลาง คืออาวุธที่ชิงไปจากตำรวจจริง เรื่องนี้เป็นคดีใหญ่ แต่ทางการก็ไม่คิดว่าเรื่องจะใหญ่ไปมากกว่านี้ จนเมื่อนำตัวไปสอบสวนอย่างจริงจัง อีกฝ่ายก็สารภาพว่าได้ฆ่าคนไป 22 ศพด้วยกัน โดยย้อนถึงการก่อเหตุครั้งแรกในปี ค.ศ.1972 นั่นทำให้เจ้าหน้าที่ตื่นตกใจเป็นอย่างมาก เพราะนี่ไม่ใช่อาชญากรธรรมดา แต่คือฆาตกรต่อเนื่องที่สร้างความสะพรึงไปทั่วญี่ปุ่นเสียแล้ว
เมื่อข่าวปรากฎออกไป ความสยดสยองก็คลอบคลุมประเทศนี้ นั่นทำให้เจ้าหน้าที่ต้องรื้อฟื้นสอบสวนคดีหญิงนั่งดริ้งก์ที่ถูกฆ่าหลายรายในอดีตขึ้นมาใหม่
อย่างไรก็ดีทางการกลับมีหลักฐานเอาผิดการฆาตกรรมได้เพียง 8 รายเท่านั้น พวกเขาพบว่าตลอดชีวิต 11 ปีของคัตสึตะ ชายคนนี้ก่อเหตุปล้นทรัพย์ไปมากกว่า 33 ครั้งด้วยกัน นับเป็นอาชญากรตัวเอ้ที่เจ้าหน้าที่ต่างตกใจว่าทำไมพวกเขาถึงปล่อยให้อีกฝ่ายลอยนวลก่อการร้ายในสังคมได้ถึงเพียงนี้
เรื่องนี้เป็นปรากฎการณ์ที่น่าเศร้าของญี่ปุ่น ด้วยความที่เหตุฆาตกรรม อาชญากรรมต่ำมาก การที่มีคนก่อเหตุฆ่าคนได้เป็นจำนวนมาก จึงเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นทุกฝ่ายคาดว่าทางการน่าจะลงโทษคัตสึตะอย่างหนักหน่วงแน่ แม้เจ้าตัวจะอ้างว่าป่วยทางจิต และก่อเหตุเพราะติดหนี้ แต่ศาลก็ไม่สนใจคำแก้ตัวนี้ พวกเขามีคำตัดสินให้ประหารชีวิตคัตสึตะทันที
ทางทนายความของนักฆ่ารายนี้ได้อ้อนวอน ยกเหตุผลมากมาย ทั้งการที่เจ้าตัวออกมาแสดงความเสียใจต่อเหยื่อที่ถูกฆ่าไป แต่แม้จะอ้อนเพียงใด มันก็ทำได้เพียงยื้อเวลาเท่านั้น จนกระทั่งถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน ปี ค.ศ.2000 การประหารชีวิตคัตสึตะก็เกิดขึ้น
ช่วงเวลาก่อนประหารชีวิต ชายหนุ่มได้เผยว่าเตรียมตัวจะสิ้นชีพเรียบร้อยแล้ว โดยเขาขอให้เจ้าหน้าที่เอาผ้าผูกตาออก เพื่อที่คัตสึตะจะได้พบกับพระ ก่อนจะท่องชื่อเหยื่อที่ถูกเขาฆ่า จากนั้นผู้คุมได้เอาผ้ามัดตาเหมือนเดิม ก่อนพาตัวเข้าสู่แดนประหาร ปิดฉากชีวิตปีศาจร้ายที่สร้างความสยดสยองให้กับสังคมญี่ปุ่น
นักฆ่าจากลา แต่สิ่งที่ยังเหลือทิ้งไว้ ก็คือคำถามที่ว่าทำไมทางการถึงปล่อยให้ชายคนนี้ก่อเหตุลอยนวลได้ยาวนานขนาดนั้น ทำไมถึงไม่สามารถระบุตัวเขาได้ไวกว่านี้ นับเป็นบาดแผลตราบาปของตำรวจญี่ปุ่นเช่นกัน
จำนวน 22 ชีวิตที่จากไป ไม่นับผู้บาดเจ็บ ผู้สูญเสียจากการกระทำของชายคนนี้ นั่นทำให้สื่อเรียกเขาว่า ‘ปีศาจฆาตกรต่อเนื่องที่โหดร้ายสุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น’ กลายเป็นที่จดจำอย่างอื้อฉาวมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อข่าวการประหารชีวิตคัตสึตะแพร่ออกไป ญาติครอบครัวของเหยื่อที่ถูกเขาฆ่า ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อไว้อย่างน่าสนใจว่า
ความตายของเขา ถือเป็นบทปิดฉากความทุกข์ทรมานของผู้สูญเสียทุกคน อย่างไรก็ดีพวกเราไม่มีวันที่จะให้อภัยในสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด
“เราไม่มีทางให้อภัยเขาอย่างแน่นอน”
อ้างอิงข้อมูลจาก
Illustration by Kodchakorn Thammachart