“ตอนแรกที่รู้ข่าว ฉันช็อกไปเลย ไม่มีทางเป็นเขาอย่างแน่นอน”
1.
ณ มหาวิทยาลัยเดอเซลส์ (DeSales University) รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา นักศึกษาจำนวนมากต่างไปจับจองที่นั่ง ในภาควิชาจิตวิทยา เพื่อลงเรียนกับ แคทเทอรีน แรมส์เลนด์ (Dr. Katherine Ramsland) ในวิชาที่เกี่ยวข้องกับฆาตกรต่อเนื่อง
อาจารย์แคทเทอรีนมีความชำนาญในเรื่องที่สอน เพราะเธอเขียนบทความเกี่ยวกับนักฆ่าสุดโหดผู้เป็นตำนานในอเมริกากว่า 1.5 พันชิ้น มีหนังสือ 68 เล่ม เจาะลึกไปถึงสภาพจิตใจของเหล่าฆาตกรต่อเนื่องชื่อดังมากมาย
นักศึกษาเหล่านี้ไม่เพียงได้เรียนรู้ก้นบึ้งแห่งความเลวร้ายของปีศาจในคราบมนุษย์ที่ล่อหลอกและฆ่าคนเป็นจำนวนมาก แต่ยังรู้ว่าการจับกุมพวกเขานั้น เกิดจากการทำงานอย่างไม่ย่อท้อของเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย
หลายคนลงเรียนกับอาจารย์แคทเทอรีน เพื่อนำความรู้เหล่านี้ไปใช้สอบเข้าเป็นตำรวจ ไม่ก็เอฟบีไอ เพราะผู้สอน ไม่เพียงสาธยายเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องเท่านั้น แต่เธอยังชี้ให้เห็นการหาหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ในคดีฆาตกรรม
แถมวิธีการสอนยังน่าสนใจ เนื่องจากอาจารย์หญิงท่านนี้ มอบบทบาทให้ผู้เรียนได้แสดงตัวเองเป็นโคนัน เป็นนักสืบในการขุดคุ้ย ตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ในคดี และสรุปว่าใครคือคนร้ายที่ก่อเหตุ มันจึงเป็นวิชาที่สนุกเอามากๆ
แคทเทอรีนชี้ให้เห็นความผิดพลาดของอาชญากรและฆาตกรทั้งหลาย ในการทิ้งอาวุธ ลายนิ้วมือ หรือร่องรอยในจุดเกิดเหตุ ซึ่งหากตำรวจเก็บหลักฐานอย่างละเอียด พวกเขาจะจับกุมคนร้ายได้อย่างแน่นอน
“ฆาตกรต่อเนื่องบางคน เกลียดผู้หญิง เพราะพวกเขายังบริสุทธิ์ ไม่เคยเสียตัว ชอบใช้ชีวิตเร่ร่อนตอนกลางคืน แล้วถึงจุดหนึ่ง ก็ตัดสินใจก่อเหตุ ทั้งกราดยิง ไล่ฆ่าอย่างโหดเหี้ยม”
เจ้าของวิชานี้เล่าถึงนักฆ่า BTK อันย่อมาจากคำว่า Bind, Torture, Kil หรือแปลว่า มัด ทรมานและฆ่า นี่คือชายซึ่งก่อเหตุฆาตกรรมคนอย่างโหดเหี้ยมในรัฐแคนซัส สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 1974-1991 เจ้าหน้าที่ไม่เคยจับกุมตัวเขาได้ ไม่มีใครรู้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร มิหนำซ้ำ พอครบรอบ 30 ปีแห่งการก่อเหตุครั้งแรก เขาดันแจ้งสื่อว่าจะกลับมาฆ่าคนอีกด้วย
“เขาหยุดฆ่า และหายไปหลายสิบปี เพียงเพื่อต้องการกลับไปเลี้ยงลูกเท่านั้น”
นักศึกษาต่างช็อกกับความจริงตรงนี้
แคทเทอรีนสรุปเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องอย่างน่าสนใจว่า “จำไว้นะ พวกเขาไม่ใช่ผลผลิตอันเกิดจากสภาพแวดล้อม หรือสภาพเศรษฐกิจและสังคม แต่พวกเขาเป็นพวกต่อต้านสังคม ที่มีความผิดปกติในร่างกายและสมอง วิธีเดียวที่จะรักษาได้คือ รู้ให้ไว แล้วต้องพาไปบำบัดก่อนอายุ 4 ขวบ เพื่อให้สมองกลับมาเป็นปกติ”
ทุกคนในห้องตั้งใจฟัง แต่ชายที่ชอบใส่ชุดดำ ดูจะตั้งใจมากเป็นพิเศษ เขามาเรียนกับแคทเทอรีนอยู่เสมอ ไม่เคยลา ไม่เคยสาย จนอาจารย์หญิงยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความขยันและเห็นว่าเขาเป็นนักศึกษาที่ดี ผู้ต้องการรับความรู้ในวิชานี้
กระนั้นเพื่อนร่วมชั้นกลับเห็นต่าง ไม่มีใครอยากคบหา ไม่มีใครอยากคุยด้วย โดยนักศึกษาทั้งห้องแอบตั้งฉายาลับหลังชายคนนี้ว่า ไอ้ผี (Ghost)
เจ้าของวิชาเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่อง ไอ้ผีนั่งจดทุกอย่างโดยละเอียดในสมุด
ไม่มีใครเห็นว่าชายคนนี้เขียนอะไรลงไป
2.
ห่างออกไป 3.8 พันกิโลเมตร ณ บ้านเลขที่ 1122 คิงส์โรด เมืองมอสโก รัฐไอดาโฮ วันที่ 13 พฤศจิกายน ปี 2022 ผู้กำกับการโรงพักได้รับแจ้งจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่าเกิดเหตุฆาตกรรม 4 ศพ ในบ้านหลังดังกล่าว
“หัวหน้าครับ เราเจอสถานการณ์ที่แย่มากๆ เลยครับ”
ทางการระดมกำลังทั้งหมด ประสานไปยังเอฟบีไอ เพื่อปิดล้อมบ้านเช่า ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยไอดาโฮ แม้จะเป็นย่านที่วุ่นวาย เพราะมีแต่คนหนุ่มสาววัยกำลังซ่า ทั้งเมาทั้งป่วน แต่มอสโกแห่งนี้ ไม่ใช่เมืองหลวงของรัสเซีย มันเป็นเมืองอึกทึกแต่น่าอยู่มากในสหรัฐอเมริกา เหตุอาชญากรรม หรือการฆาตกรรมแทบไม่เคยมี
แต่ 4 ศพที่ตายในบ้านหลังดังกล่าวได้เปลี่ยนทุกอย่างลงไปอย่างสิ้นเชิง
ตำรวจพบว่าในบ้านหลังนี้ มีผู้อยู่อาศัยด้วยกัน 6 คน หญิงสาว 2 รายที่รอดชีวิตถูกนำตัวไปสอบปากคำว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าเก็บหลักฐานโดยละเอียด พวกเขาพบว่า ผู้ตายทั้ง 4 รายถูกกระหน่ำแทงอย่างโหดเหี้ยม แต่ไม่พบลายนิ้วมือหรือร่องรอยของคนร้ายแต่อย่างใด
ชื่อของผู้เสียชีวิต มีดังนี้ 1. นายเมดิสัน โมเกน (Madison Mogen) อายุ 21 ปี 2. น.ส.เคย์ลีย์ กอนคาเวส (Kaylee Goncalves) อายุ 21 ปี 3. ซานา เคอร์โนเดิล (Xana Kernodle)อายุ 20 ปี และ 4. อีธาน ชาปิน (Ethan Chapin) อายุ 20 ปี
ส่วนเพื่อนผู้รอดชีวิต 2 ราย เป็นหญิงสาวทั้งหมดเล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ มันมีการแข่งอเมริกันฟุตบอลในมหาวิทยาลัย พวกเธอไปดู ไปเมา ไปปาร์ตี้อย่างสนุกสนาน ผู้ตายทั้ง 4 ก็เช่นกัน ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน และด้วยความที่ผนังห้องบางมาก ช่วงประมาณตี 3 กว่า พยานสะดุ้ง เพราะได้ยินเสียงใครสักคนพูดมาว่า “มีใครบางคนอยู่ที่นี่”
ด้วยความที่ตัวเองทั้งเมาและเหนื่อยกับการทำงาน จึงไม่แน่ใจว่ามันคือความฝันหรือความจริง ขณะกำลังสะลึมสะลือนั้น พยานได้เปิดประตูห้องออกไปด้วยความหวาดหวั่น
ท่ามกลางความมืด หญิงสาวผู้รอดชีวิตเห็นเงาตะคุ่มๆ แต่รู้ว่าเป็นชาย เขาใส่หน้ากาก แต่งตัวคล้ายนักดับเพลิง หันมาสบตาด้วย สร้างความตื่นตกใจ จนต้องรีบปิดประตูและล็อกมันทันที ก่อนจะไล่โทร.หาเพื่อนทั้ง 5 คน แต่ 4 รายแรกไม่ตอบอะไร
พยานคนที่ 2 ซึ่งนอนอยู่ข้างล่าง ได้แชตคุยกับพยานรายแรกกลางดึก พวกเขาหวาดหวั่น ไม่กล้าเปิดประตูไปไหน กินเวลาเกือบเช้า จึงรีบวิ่งออกมา แล้วพากันไปซ่อนตัวอยู่ชั้นใต้ดิน พร้อมไล่โทร.หาเพื่อนในบ้านที่เหลือ แต่ไม่มีใครตอบกลับ จึงติดต่อคนอื่นซึ่งอยู่ที่หอ ให้รีบมาที่นี่หน่อย
ตอนแรกมิตรสหายคิดว่า อีกฝ่ายคงเมาจนหลอน แต่เมื่อมาที่บ้านก็เห็นความผิดปกติ มันเงียบเกินไป เมื่อเข้าไปดู พวกเขาก็เห็นคราบเลือดจำนวนมาก จึงรีบแจ้งตำรวจ รออยู่หน้าบ้าน เมื่อทางการมา ก็ได้พาพยาน 2 คน ไปสอบปากคำทันที
บุคคลที่อยู่ในจุดเกิดเหตุ เป็นผู้ต้องสงสัยแรกๆ เสมอในคดีฆาตกรรม แต่เมื่อสอบปากคำ นักสืบตัดพยานทั้ง 2 คน ออกทันที เป็นไปไม่ได้ที่หญิงสาวทั้งคู่จะใช้มีดไล่แทงเพื่อนอย่างโหดเหี้ยมได้ เพราะไม่มีเหตุจูงใจอะไรเลย
ผู้รอดชีวิตเล่าว่า พวกเขาไม่มีวันลืมใบหน้าของคนร้าย แค่หลับตาก็นึกถึง และยังนึกเสียใจที่โทร.หาตำรวจช้าเกินไป
“ถ้าเพียงเรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น เราจะรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที”
นักสืบไม่พบอาวุธสังหาร ไม่พบมีดหรือของมีคมที่ใช้เกิดเหตุ ไม่พบร่องรอยลายนิ้วมือของฆาตกร ไม่มีทรัพย์สินสูญหาย มันไม่ใช่การปล้น ข้าวของผู้ตายไม่มีอะไรถูกหยิบฉวยไปเลย
นี่คือคดีที่ยาก สื่อเรียกว่า การฆาตกรรมที่ไอดาโฮ ตำรวจเจอทางตันไปหมด ยิ่งสำรวจแรงจูงใจที่ทั้ง 4 จะถูกฆ่า ก็ไม่พบอะไรแน่ชัด พวกเขาเป็นนักศึกษา กำลังสุขกับชีวิต กำลังมีชีวิตที่ดี กำลังจะไปฝึกงาน ใกล้จะเรียนจบ เตรียมเริ่มชีวิตผู้ใหญ่ มีแต่คนรัก โซเชียลมีเดียที่ผู้เสียชีวิตทั้งหมดมี เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
ถ้าไม่มีมูลเหตุให้ตาย นั่นหมายความว่าคนร้ายตั้งใจมาฆ่าพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม และด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตเป็น 4 ศพ ผู้ก่อเหตุจึงกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องทันที ตามนิยามที่เอฟบีไอตั้งไว้
แม้ทุกอย่างดูเหมือนจะถึงทางตัน แต่การสืบสวนของตำรวจอเมริกาละเอียดรอบคอบ พวกเขาคิดว่าคนร้ายต้องการสร้างฆาตกรรมที่สมบูรณ์แบบ มีการวางแผนก่อเหตุ ใส่หน้ากากมิดชิด ไม่ให้ขนหรือผมตกในจุดเกิดเหตุ ไม่ทิ้งรอยนิ้วมือ ไม่มีพยานเห็นหน้าชัดเจน
กระนั้นเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานก็พบว่า การฆาตกรรมนี้ เป็นเพียงแค่ ‘เกือบ’ สมบูรณ์แบบเท่านั้น เพราะทางการเจอฝักมีดตกอยู่ใกล้กับ 2 ศพในบ้านหลังเกิดเหตุ นักสืบฟันธงว่ามันคือส่วนหนึ่งอาวุธสังหารแน่นอน เพราะมีคราบเลือดติดอยู่ พวกเขานำไปตรวจอย่างพิถีพิถัน เพื่อหาดูว่ามีดีเอ็นเออยู่บนปลอกหรือไม่
และแล้วพวกเขาก็พบดีเอ็นเอส่วนหนึ่งติดอยู่ในนั้น แต่เมื่อทางเอฟบีไอนำไปตรวจสอบในระบบ ก็ไม่พบชื่อผู้ต้องสงสัย นั่นหมายความว่าฆาตกร ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน
หากเป็นเมื่อสักสิบปีก่อน ทุกอย่างคงถึงจุดจบ ไม่สามารถไขคดีนี้ แต่ยุคนี้พวกเขามีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากๆ มันชื่อว่าการสร้างผังตระกูลดีเอ็นเอ
โดยเอฟบีไอเอาดีเอ็นเอที่ได้ไปให้บริษัทเอกชนที่ทำเรื่องการสร้างผังตระกูลดีเอ็นเอ มันเป็นธุรกิจที่เปิดให้คนทั่วไปมอบดีเอ็นเอ เพื่อหาว่าครอบครัวตัวเองสืบเชื้อสายจากไหนบ้าง บางคนต้องการตามหาลูก ตามหาพ่อที่สาบสูญ แม่ที่ทิ้งไป
นี่คือธุรกิจที่ก้าวหน้าและได้รับความนิยมมากในอเมริกา มีคนมอบดีเอ็นเอเป็นจำนวนมาก จนมันสามารถชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงว่าดีเอ็นเอของเรา มีความเกี่ยวโยงกับใครบ้าง
เอฟบีไอได้นำดีเอ็นเอของฆาตกร ไปให้บริษัทเหล่านี้ตรวจสอบ จนพบว่ามันไปตรงกับชายชราคนหนึ่ง เมื่อเช็กที่อยู่ก็พบว่า ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับจุดเกิดเหตุ จึงเล็งไปที่ลูกของเขาแทน ทางการเชื่อว่าชายคนนี้แหละ คือผู้ต้องสงสัย นามว่า…
ไบรอัน โคห์เบอร์เกอร์ (Bryan Kohberger) อายุ 30 ปี
หรือเจ้าของฉายา..ไอ้ผีนั่นเอง
3.
เหล่านักสืบแบ่งการทำงานเป็น 2 ส่วน พวกเขาได้ชื่อไบรอันแล้ว แต่ต้องหาอะไรมาเสริมด้วย จึงจะโน้มน้าวให้ศาลออกหมายจับได้
ส่วนแรก ตำรวจเจอวงจรปิดจับภาพรถเก๋งสีขาว ขับออกจากช่วงเวลาจุดเกิดเหตุ เมื่อไปตรวจสอบข้อมูลของครอบครัวโคห์เบอร์เกอร์ ก็พบว่ามีรถรุ่นยี่ห้อสีเดียวกันเป๊ะไว้ในความครอบครอง และเคยถูกตำรวจทางหลวงออกใบสั่งมาแล้ว
ทุกอย่างเริ่มเข้าเค้า
เจ้าหน้าที่ใช้รูปแบบการเช็กเบสมือถือ หรือที่ตำรวจไทยเรียกว่า การล้มเสา เพื่อดูว่ามือถือของใครอยู่ในจุดเกิดเหตุบ้าง ก่อนจะพบว่าโทรศัพท์ของไบรอัน อยู่ใกล้ละแวกบ้าน 4 ศพก่อนเกิดเหตุ โดยเจ้าตัวได้ทำการปิดเครื่อง ในช่วงเวลาที่เกิดการฆาตกรรม คาดว่าเพื่อไม่ให้ตำรวจตรวจสอบได้
ถึงจุดนี้ทางการเริ่มเห็นว่าน้ำหนักของไบรอันเข้าเค้ากับการเป็นผู้ก่อเหตุอย่างมาก เจ้าหน้าที่ทำการซุ่มเก็บแก้วน้ำ ช้อนส้อมในขยะที่บ้านของเขา ไปเช็กดีเอ็นเอ จนพบว่าตรงกับที่พบในฝักมีด
วันที่ 30 ธันวาคม ปี 2022 หรือ 1 เดือนกว่ากับโศกนาฏกรรมนี้ ตำรวจบุกบ้านเพื่อคุมตัวไบรอันในทันที ก่อนจะตรวจดีเอ็นเออย่างละเอียดยืนยันว่า ชายคนนี้คือฆาตกรต่อเนื่องสังหาร 4 ศพนี่เอง
เมื่อข่าวปรากฏออกไป เพื่อนร่วมชั้นเรียนของไบรอันหรือไอ้ผีต่างช็อก ยิ่งโดยเฉพาะผู้สอนวิชาเกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่อง อาจารย์แคทเทอรีนถึงกับตื่นตะลึงที่มีคนเรียนคอร์สนี้เพื่อไปก่อเหตุฆ่าคนจริงๆ ด้วยความฝันอันสูงสุดว่าจะรอดจากเงื้อมมือของกฎหมายได้ แถมยังเป็นนักศึกษาที่เธอโปรดปราน และสนิทสนมอย่างยิ่ง
“เขาเป็นเด็กเรียบร้อย สุภาพมาก และสนใจวิชาที่ฉันสอนอย่างแท้จริง ไม่น่าเชื่อว่าจะกลายเป็นแบบนี้ได้”
4.
ไบรอันลงเรียนในฐานะนักศึกษาปริญญาเอก เขาตั้งใจศึกษาเกี่ยวกับวิชาฆาตกรต่อเนื่องอย่างจริงจัง แม้ไม่มีใครสนใจ ไม่มีสาวอยากคบ แต่ชายคนนี้หมกมุ่นกับคอร์สที่แคทเทอรีนสอนเอามากๆ
ชีวิตของไบรอันนั้นน่าเศร้า แม้พ่อจะพาเขาไปต่อยมวย หรือให้มีกิจกรรมสังคมมากมาย แต่เจ้าตัวกลับเข้ากับใครไม่ได้เลย แม้พยายามจะจีบสาว หาคู่ครอง แต่ก็ไม่มีใครเอา เพราะเขามีพฤติกรรมแปลกๆ ทั้งชอบลักขโมย ติดยา หลังจากเพื่อนสนิทวัยเด็กถูกจับติดคุกในข้อหายาเสพติด ชายหนุ่มก็เหมือนคนเคว้งคว้าง ไร้ร่องรอย
ในคืนหนึ่งไบรอันพยายามจีบหญิงสาว ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิต ที่ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร แต่ไม่สำเร็จ เขาโมโห และคาดว่าเพราะตัวเองไม่เคยมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวแบบจริงจัง ถึงขั้นยังไม่เคยเสียตัว ทำให้เขาโกรธเหยื่อ และจำได้ว่าเธอมีป้ายชื่อติดหน้าอก จึงเสิร์ชในโลกออนไลน์ จนพบคลิป ภาพปาร์ตี้มากมาย ง่ายต่อการเสาะหา ไล่ล่า
พฤติกรรมของไบรอัน เข้าข่ายคนต่อต้านสังคม และมีแนวโน้มจะกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องได้จริง หลังเขาตั้งใจที่จะฆ่าคนแล้ว เจ้าตัวได้วางแผนก่อเหตุ โดยใช้วิชาที่แคทเทอรีนสอน มาดัดแปลง แทนที่จะใช้จับโจร กลับเป็นใช้ปิดบังทางการจากการฆาตกรรมให้สมบูรณ์แบบที่สุด
เขาอยากฆ่า โดยที่ลอยนวลพ้นผิดไปได้ และมันก็ลงเอยเหมือนฆาตกรต่อเนื่องรุ่นพี่รุ่นพ่อทั้งหลาย นั่นก็คือสุดท้ายก็โดนจับกุมในที่สุด
ฆาตกรต่อเนื่องแห่งไอดาโฮ ไม่เคยเปิดปากเล่าถึงแรงจูงใจ เพียงแค่รับสารภาพว่าก่อเหตุฆาตกรรม 4 ศพ เพื่อเลี่ยงโทษประหารชีวิต บัดนี้เขาถูกคุมตัวอยู่ในเรือนจำ และต้องอยู่ในนั้นจนกว่าจะตาย ปิดฉากเส้นทางปีศาจร้ายที่หยุดยั้งเพียงแค่นี้
ความสำเร็จของการไขคดีนี้ กลายเป็นหมุดหมายสำคัญในอเมริกา ดีเอ็นเอคือตัวชูโรง และหากเก็บหลักฐานอย่างละเอียด นั่นหมายความว่า ใครที่ก่อเหตุ จะถูกสาวตัวถึงได้หมด
เทคโนโลยีการสืบสวนที่ก้าวหน้ามากๆ นี้ ทำให้เอฟบีไอถึงขั้นโวเลยว่า นับจากคดีไอดาโฮไป ถือเป็นยุคสิ้นสุดฆาตกรต่อเนื่องเรียบร้อยแล้ว
กระนั้นแคทเทอรีน ไม่คิดแบบนั้น.. เพราะเธอศึกษาเรื่องราวของคนเหล่านี้มามาก พวกมันไม่ได้บ้า แต่มีความโหดเหี้ยม วิธีการป้องกันดีที่สุด ไม่ใช่ไปไล่จับหลังเกิดเหตุ แต่คือการหยุดยั้งให้ทันก่อนลงมือ
ทว่าเราจะทำได้อย่างไรล่ะ อาจารย์แห่งวิชาฆาตกรต่อเนื่องยังไม่มีคำตอบ เพราะบทเรียนจากไบรอันก็ปรากฏให้เห็นแล้ว เราไม่อาจรู้ได้ว่าใครกำลังจะกลายเป็นนักฆ่าในวินาทีต่อมา เราไม่อาจรู้ว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยที่มานั่งเรียนหนังสือ พวกเขากำลังคิดวางแผนจะสังหารใคร หรือต้องการสร้างอาชญากรรมสมบูรณ์แบบอีกหรือไม่
นี่คือสิ่งที่แคทเทอรีนตระหนัก หลังพบว่าวิชาที่สอนมีฆาตกรต่อเนื่องไปลงเรียน เพื่อจะได้เชือดแทงคนจริงๆ
“ฉันเป็นที่ปรึกษางานวิจัยให้เขา ไบรอันถามฉันทุกอย่าง สงสัยแบบคนใคร่รู้ ราวกับนักวิจัย สิ่งนี้ทำให้ฉันโกรธมาก เพราะเขายืนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ไม่มีอะไรให้ฉุกคิดได้เลยว่า ชายคนนี้กำลังจะทำอะไรที่เลวร้ายมากๆ”
นี่คือสิ่งที่แคทเทอรีนได้รับในการสอนเรื่องประเภทนี้ เธอสรุปไว้ว่า ภายใต้มันสมองของปีศาจ ยังมีสิ่งที่ต้องศึกษาอีกมากมาย และยังมีคำถามอีกเยอะที่รอคอยการไขคำตอบโดยมนุษย์
นักวิชาการแห่งฆาตกรต่อเนื่องเผยกับสื่อว่า “ถ้าไบรอันยินยอม ฉันอยากจะศึกษาเบื้องลึกในจิตใจของเขาว่าฆ่าเพื่ออะไร และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เขาใช้วิธีอะไร..
“ถึงสามารถหลอกฉันได้…”
อ้างอิงจาก
newsweek.com/serial-killer-expert-bryan-kohberger-fooled-her-2093526
nytimes.com/2025/07/02/us/kohberger-serial-killer-teacher-ramsland.html
desales.edu/profiles/katherine-ramsland
psychologytoday.com/us/blog/shadow-boxing
thematter.co/thinkers/btk-the-serial-murders/157865
nytimes.com/2025/02/25/us/idaho-murders-bryan-kohberger-dna.html?searchResultPosition=5
nytimes.com/2023/01/05/us/idaho-murders-suspect-kohberger-evidence.html
nytimes.com/interactive/2023/01/05/us/bryan-kohberger-affidavit.html
หนังสือ The Idaho Four An American Tragedy โดย James Patterson และ Vicky ward