“กระจกวิเศษบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี”
แต่เล็กจนโตเราได้ยินประโยคดังว่าก้องดังอยู่จนขึ้นใจ หน้าที่ของกระจกวิเศษคือการตอบคำถามใดๆ ที่ราชินีใจร้ายสงสัย แต่ใช่ว่ามีเพียงแต่ราชินีเท่านั้นที่อยากจะมีใบหน้าอันงดงาม สาวเล็กสาวใหญ่ทั่วทั้งปฐพีน่าจะล้วนแต่อยากงดงามตามแบบฉบับของตนเองทั้งสิ้น
ถึงแต่ละคนจะมีความหมายของคำว่า ‘งดงาม’ ที่แตกต่างกัน แต่การมีผิวที่สวยเกลี้ยงเกลาหมดจด น่าจะเป็นจุดหมายร่วมที่ทุกคนใฝ่ฝันถึง
ปีๆ หนึ่งจึงมีเม็ดเงินมหาศาลกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐไหลเวียนอยู่ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์และธุรกิจความงามทั่วโลก แถมยังมีการคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมความงามน่าจะเติบโตขึ้นอีกปีละ 4.2% ต่อปีไปจนถึงปี 2030
แบรนด์เครื่องสำอางประทินผิวบนโลกใบนี้มีมากมายนับพันนับหมื่นแบรนด์ แต่ละแบรนด์มีทั้งคุณสมบัติในรายละเอียดที่แตกต่างกัน ไปจนถึงระดับราคาที่ไล่เรียงมาตั้งแต่ราคาสบายๆ กระเป๋าหลักร้อยไปจนถึงระดับราคาที่สามารถเป็นเงินเดือนทั้งเดือนของพนักงานบางคน
ท่ามกลางแบรนด์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ครีมต่างๆ ในท้องตลาด เราอยากจะพูดถึงหนึ่งในแบรนด์ที่เป็นเสมือนตัวแทนของความหรูหราราคาแพง แถมมีชื่อเสียงร่ำลือกันว่าเป็นครีมที่ดี ทาแล้วเห็นผล ทั้งในเรื่องของการช่วยลดริ้วรอยและรักษาความชุ่มชื้น ด้วยราคาค่าตัวที่สูงถึงหลักหมื่นต่อกระปุก
และแบรนด์นี้ก็คือ…La Mer
La Mer เป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่แจ้งเกิดจากครีมชื่อดังรุ่นที่มีชื่อว่า Crème de la Mer เรื่องราวและเรื่องเล่าเกี่ยวกับการถือกำเนิดของครีมตัวนี้ที่ร่ำลือกันต่อๆ มา คือ แม็กซ์ ฮูเบอร์ (Dr.max huber) นักฟิสิกส์อวกาศชาวเยอรมันที่ประสบอุบัติเหตุระหว่างการทดลองในห็องแล็บจนเกิดรอยแผลบนร่างกายประมาณช่วงปี 1950
อุบัติเหตุอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว เราคงได้แต่มองไปข้างหน้าเพื่อหาทางแก้ไขและอยู่กับมัน แม็กซ์ ฮูเบอร์เองก็คงจะมีแนวคิดเช่นนั้น เขาจึงใช้เวลาอยู่ในห้องแล็บอีกครั้งเพื่อการทดลองคิดค้นสูตรในการผลิตครีมที่มีคุณสมบัติในการรักษาแผลเป็นที่เกิดขึ้นบนตัว
เวลาหลักสิบปีอาจนับเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่ถ้ามันแลกมากับการค้นพบอะไรบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ได้ คำว่าสิบปี อาจจะไม่ใช่เวลาที่ยาวนานเกินไปนัก
แม็กซ์ ฮูเบอร์ใช้เวลาอยู่ 12 ปี จึงค้นพบวิธีและส่วนผสมในการทำครีมชนิดหนึ่งที่ผลิตจากสาหร่ายในน้ำทะเลแถบแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นแถบที่เขาพักอาศัยอยู่ จึงได้นำสาหร่ายนั้นไปหมักจนเกิดเป็นส่วนผสมที่เขาเรียกว่า น้ำวิเศษ (miracle broth) ซึ่งมีคุณสมบัติในการรักษาแผล ชะลอและลบเลือนริ้วรอย อีกทั้งยังทำให้ผิวกระจ่างใสและชุมชื้นอีกด้วย
ต่อมาเมื่อแม็กซ์ ฮูเบอร์เสียชีวิตลงบริษัทความงามยักษ์ใหญ่อย่าง Estée Lauder เข้าซื้อแบรนด์ La Mer ต่อจากลูกสาวของแม็กซ์ ฮูเบอร์ในปี 1991 ด้วยความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ Estée Lauder และด้วยคุณสมบัติอันน่ามหัศจรรย์ของ La Mer ทำให้แบรนด์ La Mer เป็นหนึ่งในแบรนด์เครื่องสำอางที่หรูหราและได้รับความน่าเชื่อถืออย่างมากที่สุดแบรนด์หนึ่งในอุตสาหกรรมความงามจนถึงทุกวันนี้
เมื่อเอ่ยถึงแบรนด์เครื่องสำอางแบบไฮเอนด์หรือครีมราคาแสนแพงที่สาวๆ ใฝ่ฝันถึงเมื่อไหร่ La Mer จะต้องติดโผเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ถูกจัดอันดับให้เป็นแบรนด์ในใจของสาวๆ หลายคนทั่วโลกทุกที
จนถึงขนาดที่ว่านิตยสาร Allure เคยมีการจัดอันดับให้ Crème de la Mer เป็นหนึ่งในเครื่องประทินความงามที่คุณควรต้องมี หรือเคยใช้สักครั้งก่อนตายเลยทีเดียว
อ้างอิงจาก