เคยมีภาพยนตร์มากมายหลายเรื่องที่สร้างให้ตัวละครต้องสวมใส่หน้ากากตลอดเวลาเพื่อหายใจ บ้างอ้างว่าอากาศบนโลกต่อไปจะเป็นภัยต่อร่างกายมนุษย์ บ้างอ้างว่าร่างกายและระดับการหายใจของคนเราจะเปลี่ยนไปเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลง
เราเป็นอีกคนที่เคยคิดว่า โอ้โห จินตนาการในหนังนี่ช่างลึกล้ำดีจัง แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง มนุษย์โลกก็อยู่กันมาตั้งเป็นพันปี ไม่เห็นต้องใส่หน้ากากอนามัย ก็หายใจกันมาได้อย่างปกติดี
จนกระทั่ง พวกเราได้เรียนรู้ว่า อานุภาพของฝุ่นและควันพิษสามารถรบกวนการหายใจของเราในชีวิตประจำวันได้มากขนาดไหน ถึงจะไม่ได้อยู่ในเมืองอุตสาหกรรม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหนีฝุ่นควันอันตรายได้ เพราะต่อให้อยู่ในเมืองหลวงที่ศิวิไลซ์ ก็ไม่ได้หมายความว่า อากาศที่หายใจจะสะอาดบริสุทธิ์สูงค่าเหมือนราคาที่จ่ายเพื่อซื้อหาสิ่งของในตัวเมือง
แค่ฝุ่นควันจากการเผาไหม้ มลภาวะจากเครื่องจักรโรงงานและรถยนต์ คนก็คิดว่ามากพอเสียอยู่แล้วที่จะทำให้ปอดของเราอ่อนแรงลง แต่อยู่ดีๆ เมื่อปลายปี 2019 มนุษยชาติก็ได้รู้จักกับไวรัสที่สั่นคลอนความเป็นอยู่ (หรือความเป็นความตาย) ของคนทั้งโลกที่ชื่อว่า โควิด-19
คราวนี้เอง คนที่เคยเหมือนจะเลี่ยงไม่ใส่หน้ากากอนามัยก็เหมือนจะเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป การใส่หน้ากากอนามัยไม่ได้เป็นแค่เทรนด์แต่กลายเป็นสิ่งที่ต้องทำไปโดยปริยาย แม้จะไม่ใช่ด้วยกฏหมายแต่กลายๆ ว่าเป็นกฏของสังคมไปเสียอย่างนั้น
บางสถานที่ถึงกับไม่อนุญาตให้คนไม่ใส่หน้ากากอนามัยเดินเข้าไป บางคนถึงกับหลีกเลี่ยงเดินไปไม่สนทนากับคนที่ไม่ใส่หน้ากาก จากฉากหนังที่คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ ไม่น่าเกิดขึ้นจริง ตั้งแต่ปี 2019 เรื่อยมา ภาพที่เราเห็นจนชินตาว่าผู้คนเดินสวนกันไปมาด้วยหน้ากากอนามัยจึงเป็นเรื่องปกติของสังคม
อย่างที่เราทราบกันว่าเมื่อต้องใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานานๆ ปัญหาที่เราไม่เคยเห็น (เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะเป็นปัญหา) ก็โผล่ขึ้นมาให้เราได้รู้ เช่น ไม่ใช่หน้ากากอนามัยทุกชนิดจะสามารถป้องกันฝุ่นได้ดี ไม่ใช่หน้ากากอนามัยทุกชนิดจะสามารถกันโมเลกุลของไวรัสและแบคทีเรียได้ดี การใส่หน้ากากเป็นเวลานานๆ ทำให้เราอึดอัด หายใจลำบาก รวมถึงการพูดคุยกับคนอื่นก็ดูเป็นเรื่องยากเมื่อเราต้องใส่หน้ากากไปด้วย
“หะ ว่าอะไรนะ”
“เมื่อกี้พูดว่าอะไร ขอใหม่อีกที”
น่าจะเป็น 2 ประโยค ที่ได้ยินกันจนชินหูเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะหน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยดันกันเสียงที่พูดออกมาให้แผ่วค่อยลง
LG Puricare Mask คือหน้ากากอนามัยจาก LG ที่ผลิตออกมาเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ของคนที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยเป็นประจำนี้ ด้วยปัญหาหลายต่อหลายอย่างที่แทบทุกคนเผชิญกับการใส่หน้ากาก LG ค่อยๆ คลี่คลายทีละเปราะ ทีละอย่าง จนเกิดขึ้นมาเป็นนวัตกรรมพกพาขนาดกะทัดรัดนี้
ข้อดีข้อแรกของหน้ากากอนามัย คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากการป้องกันฝุ่นควันและเชื้อโรค
แต่หน้ากาก LG Puricare มีดีกว่าหน้ากากธรรมดาทั่วไปตรงที่ มีเทคโนโลยีฟอกอากาศในตัว มี HEPA H13 Class ฟิลเตอร์กรองอากาศที่อยู่ภายในหน้ากากสองด้านซ้ายขวา (หรือตรงกับบริเวณแก้มทั้งสองข้างของเรา) เพื่อกรองอากาศเมื่อเราสูดหายใจเข้า นอกจากฟิลเตอร์กรองอากาศคุณภาพสูงทั้งสองข้างนี้แล้ว เจ้าหน้ากากนี้ยังมี inner filter อีกชั้นตรงจมูกของเราเป๊ะๆ เพื่อกรองสสารใดๆ ที่อาจจะ (ย้ำว่าอาจจะ) ยังคงหลุดรอดเข้ามาในหน้ากากนี้อีกชั้น ก่อนที่อากาศมวลนั้นๆ จะไหลเข้าสู่ปอด
กรองอากาศมากขนาดนี้แล้วจะอึดอัดไหม? เพราะลักษณะของหน้ากากก็ดูมิดชิดหนาแน่นอยู่
LG คำนึงถึงคำตอบของคำถามนี้ดี เขาจึงได้พัฒนาระบบระบายอากาศมาให้ในหน้ากากนี้ ทำให้หน้ากากชิ้นนี้สามารถถูกสวมใส่ได้โดยผู้ใส่จะยังหายใจสบายอยู่ เพราะด้านในหน้ากากจะมีระบบระบายอากาศเป็นพัดลมที่ปรับระดับตามความ เบา-แรง ของการหายใจของเรา หากคุณหายใจแรงพัดลมก็จะปรับระดับให้ทำงานเร็วขึ้น หากคุณหายใจแผ่ว พัดลมก็จะปรับระดับให้ทำงานเบาลง เพื่อให้สัมพันธ์กับจังหวะการเอาอากาศด้านนอกเข้าและออกกับการหายใจของเรา
ว่าแต่การกรองอากาศที่หลายชั้นและด้วยดีไซน์ที่ปิดชิดแน่นหนาขนาดนี้ แล้วการพูดคุยของเรากับคนรอบข้างเมื่อต้องใส่หน้ากากชิ้นนี้ล่ะ จะสะดวกสบายไหม หรือต้องตะโกนดังๆ ออกไปทุกครั้งที่พูดคุยกันเนี่ย?
นอกจากจะคิดถึงประสิทธิภาพการกรองอากาศแล้ว LG ยังคิดให้หน้ากาก LG Puricare Mask สามารถใส่เพื่อใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่ขัดเขิน พูดง่ายๆ คือ คิดมาแล้วว่าคนปกติธรรมดาเมื่อไปไหนต่อไหนก็ต้องพูดคุยกับคนอื่น LG จึงติดไมโครโฟนไว้ที่หน้ากากอนามัยเครื่องนี้ด้วย!
เมื่อต้องการเปิดใช้ไมโครโฟน เราเพียงแค่กดปุ่มข้างใต้หน้ากากค้างไว้ แล้วรอให้มีเสียงแจ้งเตือนว่าไมโครโฟนได้ถูกเปิดแล้ว เพียงเท่านี้ปากที่เราขยับอยู่ด้านในหน้ากากกับเสียงที่เราพูดบวกกับเทคโนโลยี VoiceON ซึ่งก็คือไมโครโฟนและลำโพงที่อยู่ในหน้ากากก็จะทำงาน ทำให้คนที่สนทนากับเราสามารถได้ยินเสียงพูดของเราในระดับที่เราเองไม่ต้องตะโกนหรือพยายามตะเบงเสียงให้ดังขึ้นเลย
เทคโนโลยีต่างๆ ที่ว่าไปยังมาพร้อมกับข้อดีอีกหนึ่งข้อสุดท้ายที่อยากเล่าให้ฟังนั่นคือ ความเบาสบายของการสวมใส่
น้ำหนักของตัวหน้ากากเพียงอย่างเดียวอยู่ที่ 94 กรัม หรือก็คือไม่ถึง 1 ขีด! พูดง่ายๆ ว่า เบามาก สบายมาก เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพการกรองและคุณภาพของกากาศที่เราจะได้สูดเข้าไปในแต่ละครั้งแต่ละที
จริงอยู่ว่าหากเราไม่ต้องสวมใส่หน้ากากเลย ย่อมจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด อากาศที่เราสามารถสูดเข้าปอดได้โดยไม่ต้องผ่านเครื่องกรองหรือแผ่นกรองใด แต่เราสามารถหายใจเข้าไปได้อย่างไม่ต้องลังเล แต่ในเมื่อสถานการณ์ของโลกใบนี้บังคับให้เราต้องอยู่โดยการเรียนรู้ที่จะปรับตัว และความอัจฉริยะของมนุษย์ที่ก้าวเท่าทันทุกปัญหาที่ประดังเข้ามาอยู่เรื่อยๆ จนทำให้เรามีเทคโนโลยีที่ช่วยเหลือให้ชีวิตเราดีขึ้น ง่ายขึ้น หายใจสบายขึ้นได้ไม่ว่าเราจะเดินทางออกไปที่ไหนก็ตาม
อ้างอิงจาก