ความรัก หน้าตา ฐานะ อะไรสำคัญที่สุดในการเลือกคู่ชีวิต?
ในวันที่เด็กกว่านี้เราสามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างไม่ต้องยั้งคิด ในวันที่โตกว่านี้เราก็อาจจะตอบคำถามนี้ได้แบบไม่ต้องยั้งคิดเช่นกัน แต่ก็ไม่แน่ว่าคำตอบในแต่ละช่วงวัยจะยังออกมาเป็นคำตอบเดิมหรือไม่
เพียงแค่ตัวอย่างสั้นและโปสเตอร์หนังเรื่อง Materialists ที่นำแสดงโดย ดาโกตา จอห์นสัน (Dakota Johnson), คริส อีแวนส์ (Chris Evans) และ เปโดร ปาสกาล (Pedro Pascal) กำกับโดย เซลีน ซง (Celine Song) จากค่ายหนังอินดี้ A24 ออกมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ก็สร้างความฮือฮามากมายในสังคม แน่นอนว่าเส้นเรื่องคงไม่หนีจากชื่อหนังสักเท่าไหร่ ซึ่งใครๆ ก็คงพอเดาได้ เราจะตัดสินใจใช้ชีวิคู่กับใครสักคนโดยใช้เหตุผลเรื่องเศรษฐกิจ หรือใช้อารมณ์ที่นำพาโดยความรักดี?

คำถามนี้น่าจะเป็นแก่นสารและนิยามโดยรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่คนดูต้องไปตามหาคำตอบเองว่า นางเอกของเรื่องอย่าง ‘ลูซี่’ ที่รับบทโดยดาโกตา จอห์นสัน จะเลือกติ๊กคำตอบข้อเดียวกับเราหรือไม่?
และวันนี้คอลัมน์ Soundcheck อยากชวนคุณไปสำรวจเพลงที่อยู่ในหนังเรื่อง Materialists ที่ไม่ว่าใครที่ได้ไปดูหนังมา ก็น่าจะสังเกตเห็นได้ว่าผู้กำกับเซลีน ซง ให้ความสำคัญกับมันมากพอๆ กันกับงานภาพ งานบท งานโปรดักชั่นของการทำหนังทั้งเรื่องเลยทีเดียว
เซลีนให้สัมภาษณ์กับ Spotify ว่า เธอสร้างเพลย์ลิสต์ให้แต่ละตัวละครเพื่อกำหนดทิศทางอารมณ์และบรรยากาศโดยรวมของตัวละครและแชร์ให้ทุกแผนกทราบโดยทั่วกันว่า โทนอารมณ์ของแต่ละตัวละครจะมีคาแร็กเตอร์แบบไหนในกระบวนการการสรา้งหนัง
ถ้าอย่างนั้นเรามาดูเพลย์ลิสต์เพลงประกอบหนังเรื่องนี้กันดีกว่า ว่ามีเพลงไหนบ้างที่เราน่าพูดถึงกันสักหน่อย
Manhattan จาก Cat Power
เพลงในซีนเปิดตัวนางเอก ลูซี่ที่เดินเฉิดฉายอยู่ในนิวยอร์กสวมเชิ้ตขาวผ้าแพรสีนวล กระโปรงสั้นสีดำถุงน่องตาข่ายลายบางและบูทสูงถึงหัวเข่า ผมของเธอสยายไปตามแรงลมและมีชายคนหนึ่งถึงกับเหลียวหลังมอง เนื้อเพลงพูดถึงอะไร คงมีแต่ชาลีน แมรี (ชื่อจริงของ Cat Power) เท่านั้นที่จะตอบได้
และเธอเคยตอบไว้แล้ว!
เพลงนี้พูดถึงความฝันของศิลปินแบบเธอที่เดินทางมาที่นิวยอร์ก ฝันว่าจะได้เฉิดฉาย ฝันว่าจะได้สู้ ฝันว่าจะได้แจ้งเกิดที่นี่ ซึ่งเรื่องราวมันก็ตรงตามปูมหลังของลูซี่ทีเดียว นั่นคือการไต่เต้ามาอยู่ในอาชีพการงานที่พอจะเลี้ยงตัวเองได้อย่างสบาย จากเดิมที่เป็นนักแสดงตกอับที่ไปไม่ถึงฝัน (แต่ก็ดั้นด้นมาอยู่ในนิวยอร์ก)

Got It Bad จาก LEISURE
แม้ความหมายทั้งหมดของเนื้อเพลงจะพุดถึงผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจในความสัมพันธ์ เช่น สาวคนหนึ่งพยายามทุกวิถีทางที่จะพาให้ความสัมพันธ์มันไปรอด พยายามทำแล้วทุกทางที่ต่างออกไป แต่สุดท้ายกลับล้มเหลวเหมือนเดิมทุกครั้งเหมือนกำลังติดกับดักอะไรสักอย่าง แต่เพลงนี้กลับถูกใช้ในซีนงานปาร์ตี้ฉลองความสำเร็จของลูซี่ที่สามารถแมตช์คู่รักให้ได้แต่งงานกันแล้วถึง 9 คู่
ซีนนี้มองภายนอกเหมือนเป็นซีนแห่งความสำเร็จทางการงานของลูซี่ (เพราะจับลูกค้าแต่งงานกันได้มากมาย) และความสำเร็จของลูกค้า (เพราะได้สมหวังและปิดดีลด้านความรักด้วยงานแต่งงาน) แต่การใช้เพลงนี้ประกอบฉากนี้ เสมือนหนึ่งเป็นการชวนคนดูและคนฟังตั้งคำถามว่า หรืองานแต่งงานจะเป็นหนึ่งในกับดักที่พาคนวนซ้ำในวังวันแห่งความรัก หรือนี่คือหนึ่งในวิธีที่อาจจะไม่ใช่จุดจบของการออกจากกับดัก งานแต่งงานอาจจะไม่ใช่คำตอบของความยั่งยืนในความสัมพันธ์

My Baby (Got Nothing At All) จาก Japanese Breakfast
เพลงใหม่เอี่อยมอ่องไม่เคยใช้ที่ไหนมาก่อน แต่ถูกแต่งขึ้นเพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะจากวงอเมริกันอินดี้ป๊อปอย่าง Japanese Breakfast
เพลงนี้ใช้ในฉากสุดท้ายที่ลูซี่ไปจดทะเบียนสมรสกับพระเอก (เราไม่เฉลยตรงนี้หรอกนะว่าเธอเลือกใคร) เพียงแต่ว่าเพลงนี้อธิบายสรุปความทั้งหมดของเนื้อหาหนัง และใจความที่ลูซี่เองก็อาจจะไม่เคยทราบมาก่อนว่าตัวเองจะตัดสินใจลงเอยกับคนคนนี้
เนื้อเพลงนี้พูดถึง ความรัก การลงทุน (ความรัก การเดท การแต่งงานล้วนเป็นการลงทุน ตามความหมายของหนัง) และที่สำคัญไปกว่านั้นตอนท้ายเพลง วง Japanese Breakfast พูดว่าตัวเลขในบัญชีอาจใช่ (หรือไม่ใช่) คำตอบที่ว่าสำคัญที่สุดของความรัก การลงทุนที่ดีในที่นี้อาจไม่ต้องใช้เงินแต่ใช้อย่างอื่นแทน
ถ้าการได้พบกันคือโชคชะตา การได้ครองรักกันคือวาสนา การแต่งงานกับใครสักคนคงเป็นวาสนาที่เรากำลังหาผู้ร่วมชะตากับเราต่อไปอีกหลายสิบปีข้างหน้าด้วยตัวเอง และคำตอบของคำถามที่ว่า ความรัก หน้าตา ฐานะ อะไรสำคัญที่สุด คงมีแต่ตัวคุณเองเท่านั้นที่จะตอบได้
อ้างอิงจาก