ปัญหาเรื่องการกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต (cyberbully) เป็นประเด็นที่สังคมเกาหลีถกเถียงกันมาพักใหญ่แล้ว ตัวซอลลี่เองก็มีส่วนร่วมด้วยการเป็นหนึ่งในพิธีกรหลักของรายการโทรทัศน์ The Night of Hate Comments ที่ให้เหล่าคนดังมาอ่านคอมเมนต์แย่ๆ เกี่ยวกับตัวเองและวิธีการรับมือต่อมัน อย่างไรก็ดี หลังจากซอลลี่เสียชีวิตมีการถกเถียงกันว่ารายการนี้อาจจะส่งผลทางลบกับเธอ ทั้งการต้องมานั่งอ่านข้อความด่าทอตัวเองออกอากาศ รวมถึงการที่เธอแสดงท่าทีไม่แยแสต่อความเห็นเหล่านั้นก็ยิ่งทำให้ชาวเน็ตที่เป็น ‘กองแช่ง’ ยิ่งเดือดหนักและด่าหนักกว่าเดิม (ปัจจุบันรายการยุติการออกอากาศแล้ว)
ถามว่าทางศิลปินหรือต้นสังกัดมีนโยบายจัดการกับชาวเน็ตจอมป่วนอย่างไรบ้าง ที่เห็นเป็นประจำคือการประกาศว่าจะดำเนินการทางกฎหมายกับบรรดาความคิดเห็นแนวมุ่งร้าย (หรือที่เห็นตามข่าวบ่อยๆ ด้วยวลีทำนองว่า To take legal action against malicious comments บลาๆ) แต่พอทุกค่ายทยอยกันประกาศแบบนี้มันก็กลายเป็นคำขู่ที่ทุกคนชินชาและเฉยเมยต่อมันไปในที่สุด
ซอลลี่อดีตสมาชิกวงเคป๊อป f(x) จากพวกเราไปสัปดาห์กว่าแล้ว เราได้ทราบกันว่าสาเหตุคือการฆ่าตัวตาย แต่คงไม่มีวันที่เรารู้กระจ่างว่าเหตุใดเธอจึงตัดสินใจเช่นนั้น เพราะซอลลี่ไม่ได้ทิ้งจดหมายใดๆ ไว้ แต่ข้อสันนิษฐานถึงสาเหตุหลักๆ คือการเผชิญกับโรคซึมเศร้าและบรรดาคอมเมนต์เกลียดชังในสื่อโซเชียลของเธอช่วงสองสามปีที่ผ่านมา (แต่ต้องย้ำว่านี่เป็นการสันนิษฐาน)
ข่าว บทความ และการสรุปข้อคิด (สมัยนี้ต้องเรียกว่า ‘การถอดบทเรียน’) จากกรณีของซอลลี่ยังคงปรากฏอย่างไม่หยุดหย่อน หนึ่งในคำที่เราได้เห็นกันบ่อยครั้งก็คือ ‘เน็ตติเซน’ (Netizen) อันอ้างอิงถึงบรรดาผู้คนในโลกออนไลน์ที่คอยเข้าไปรุมด่าซอลลี่จนอาจมีส่วนทำให้เธอเลือกทางออกอันน่าเศร้า
ซอลลี่ f(x), ภาพจาก : sulli.smtown.com
คำว่า Netizen เกิดจากการประกอบสร้างของคำว่า internet และ citizen เป็นคำที่เริ่มใช้ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 90 ที่อินเทอร์เน็ตเริ่มใช้กันอย่างแพร่หลาย ส่วนภาษาไทยคงเรียกแบบง่ายๆ ได้ว่า ‘ชาวเน็ต’ อย่างที่เราเห็นการพาดหัวข่าวสมัยนี้ว่า “ชาวเน็ตกริ้ว” “ชาวเน็ตแห่ชื่นชม” “ชาวเน็ตรุมแฉ” ฯลฯ
Netizen ถือว่ามีผลกับวารสารศาสตร์ในยุคออนไลน์อย่างมาก อย่างที่เราเห็นว่าข่าวสมัยนี้ชอบแทรกความเห็นของคนตามโซเชียลมีเดียต่างๆ หรือล่าสุดผู้เขียนเจอสิ่งที่ชวนอึ้งมากคือ เว็บข่าวที่รายงานบรรยากาศคอนเสิร์ตด้วยการแปะคลิปวิดีโอจากทวิตเตอร์ของยูสเซอร์คนนู้นคนนี้นับสิบอัน เอ้อ แบบนี้ก็ได้ด้วย
ทีนี้การรายงานข่าวโดยอิงกับ ‘ชาวเน็ต’ ดูจะมีปัญหาและข้อน่ากังขาอยู่พอสมควร อย่างตอนเขียนต้นฉบับชิ้นนี้ก็มีข่าวว่า “ชาวเน็ต(เกาหลี)ไม่พอใจที่ชินดง สมาชิกวง Super Junior อ้วน” ซึ่งมันไม่ได้มีการวัดสถิติเป็นเรื่องเป็นราวว่ามีกี่คนที่ไม่พอใจเรื่องนี้ อาจจะมีคนไม่พอใจสัก 10 คน แต่มีอีกเป็นร้อยที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่สำนักข่าวต่างๆ ก็เลือกจะทำให้เรื่องนี้ ‘เป็นข่าว’ ขึ้นมา เพราะมันขายได้ เรียกแขกได้ และตามธรรมชาติด้านมืดของมนุษย์ที่จดจำเรื่องลบมากกว่าเรื่องบวก
อย่างไรก็ดี ชาวเน็ตเกาหลี (ที่เรียกกันว่า K-Netizen หรือ Knetz) ไม่ได้แค่มีปัญหากับเรื่องความอ้วนความผอมของดารา บางครั้งพวกเขาก็ร้ายกาจอย่างเหลือเชื่อ เช่นว่าหลังจากซอลลี่เสียชีวิต Knetz พากันไปถล่มอินสตาแกรมของชเวจา—แฟนเก่าของซอลลี่—ว่าแกคือสาเหตุที่ทำให้เธอตาย หรือเมื่อวิคตอเรียสมาชิก f(x) ไม่โพสต์อะไรถึงซอลลี่ เธอก็ถูกรุมด่าว่าใจร้าย แต่พอเธอรีบเดินทางจากจีนแผ่นดินใหญ่ (บ้านเกิด) มาร่วมงานศพที่เกาหลี ชาวเน็ตก็โวยวายว่า “สายไปแล้ว มาอะไรป่านนี้” จนวิคตอเรียทนไม่ไหวต้องออกมาตอบโต้ทำนองว่า “อย่ามาตัดสินคนอื่น เก็บคำบางคำไว้กับตัวเองดีกว่านะ”
ปัญหาเรื่องการกลั่นแกล้งทางอินเทอร์เน็ต (cyberbully) เป็นประเด็นที่สังคมเกาหลีถกเถียงกันมาพักใหญ่แล้ว ตัวซอลลี่เองก็มีส่วนร่วมด้วยการเป็นหนึ่งในพิธีกรหลักของรายการโทรทัศน์ The Night of Hate Comments ที่ให้เหล่าคนดังมาอ่านคอมเมนต์แย่ๆ เกี่ยวกับตัวเองและวิธีการรับมือต่อมัน อย่างไรก็ดี หลังจากซอลลี่เสียชีวิตมีการถกเถียงกันว่ารายการนี้อาจจะส่งผลทางลบกับเธอ ทั้งการต้องมานั่งอ่านข้อความด่าทอตัวเองออกอากาศ รวมถึงการที่เธอแสดงท่าทีไม่แยแสต่อความเห็นเหล่านั้นก็ยิ่งทำให้ชาวเน็ตที่เป็น ‘กองแช่ง’ ยิ่งเดือดหนักและด่าหนักกว่าเดิม (ปัจจุบันรายการยุติการออกอากาศแล้ว)
ถามว่าทางศิลปินหรือต้นสังกัดมีนโยบายจัดการกับชาวเน็ตจอมป่วนอย่างไรบ้าง ที่เห็นเป็นประจำคือการประกาศว่าจะดำเนินการทางกฎหมายกับบรรดาความคิดเห็นแนวมุ่งร้าย (หรือที่เห็นตามข่าวบ่อยๆ ด้วยวลีทำนองว่า To take legal action against malicious comments บลาๆ) แต่พอทุกค่ายทยอยกันประกาศแบบนี้มันก็กลายเป็นคำขู่ที่ทุกคนชินชาและเฉยเมยต่อมันไปในที่สุด
ตัวซอลลี่เองเคยดำเนินคดีกับเกรียนคีย์บอร์ดที่ด่าเธอ แต่กลับกลายว่าอีกฝ่ายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่อายุเท่ากับเธอ สุดท้ายซอลลี่ใจอ่อนไม่แจ้งความต่อเพราะไม่อยากตัดอนาคตอีกฝ่าย หรือเมื่อไม่กี่วันก่อนชาวเน็ตที่ปล่อยข่าวว่าซันนี่วง Girls’ Generation มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนักแสดงรุ่นใหญ่อีซอจินก็ถูกตัดสินจำคุกหกเดือนและต้องทำงานบริการสังคม 80 ชั่วโมง เป็นเรื่องที่ดีเบตต่อได้ว่าเป็นการลงโทษที่สมควรหรือยัง นอกจากนั้นยังมีพรรคการเมืองที่พยายามผลักดันกฎหมายชื่อ Sulli Act ที่ให้ทุกคนใช้ชื่อ-นาสกุลจริงในการแสดงความเห็นทางอินเทอร์เน็ต
อาจเพราะผู้เขียนเคยออกพ็อกเก็ตบุ๊กเกี่ยวกับวงการเคป๊อป ช่วงที่ซอลลี่เสียชีวิตใหม่ๆ จึงมีหลายสำนักข่าวติดต่อขอสัมภาษณ์ แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธไปทั้งหมด เนื่องจากพอเดาได้ว่ามันต้องมีคำถามประเภท “เราได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้?” หรือ “เราจะทำเช่นไรไม่ให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก?” ซึ่งก็จนปัญญาจะสรรหาคำตอบ แถมส่วนตัวยังมองโลกในแง่ร้ายว่าเรื่องเช่นนี้จะขึ้นอีกในอนาคต
ถึงกระนั้นผู้เขียนไปอ่านเจอคำแนะนำของนักแสดงหญิงเบจางอ๊กผู้คร่ำหวอดในวงการมากว่าสามสิบปี เธอแนะนำเหล่ารุ่นน้องว่าอย่าอ่านคอมเมนต์ใดๆ ด้วยเหตุผลว่า “คนเราไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้อีกต่อไปเมื่อได้รู้ว่ามีใครสักคนไม่ชอบเรา พวกเขาบอกว่ามันโอเคที่จะถูกเกลียด แต่มันไม่ใช่เช่นนั้นหรอก เราต้องรู้จักยับยั้งตัวเองและแค่มุ่งไปยังเป้าหมายของเรา”
ฟังดูเป็นเรื่องที่ทำได้อยากเหลือเกินในยุคที่โซเชียลมีเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและช่องทางทำมาหากิน แต่ในโลกที่โหดร้าย การป้องกันตัวก็อาจจะต้องใช้วิธีที่หักดิบไม่ประนีประนอมเช่นนี้
Illustration by Kodchakorn Thammachart
You might also like
Share this article